เย่ชิงหานฝันไปต่างๆ นานามากมาย ความจริงแล้วั้แ่ที่ถูกดูดเข้ามาภายในูเาสุสานทวยเทพเขาก็ฝันอยู่ตลอด
เริ่มแรกที่ถูกรูสีดำของม่านพลังหมอกสีขาวดูดเข้ามาร่างกายในตอนนั้นได้รับาเ็สาหัสอยู่จนเกือบจะทำให้เสียชีวิตไปเลยทันที ยังดีที่กระแสพลังสีขาวจากแหวนทองเหลืองไหลออกมาช่วยชีวิตไว้ได้ทันและรักษาฟื้นฟูอาการาเ็ให้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากร่างกายอ่อนแออย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้จึงนอนหลับลึกอยู่ตลอดและฝันไปต่างๆ นานามากมาย
หลังจากผ่านไปหลายวันอาการาเ็เริ่มทุเลาลงไปมากสามารถนั่งและขยับลุกเดินได้บ้างแล้วเล็กน้อย แต่เขาก็ยังหลับฝันอยู่บ่อยๆ ดังเดิม
ความฝันเ่าั้มีทั้งยินดี เศร้าโศก โกรธแค้น หวาดกลัว...ความฝันหลากหลายรูปแบบต่างๆ นานาครอบงำอยู่ภายในหัววนเวียนอยู่เช่นนั้น
เขาฝันเห็นน้องสาวเย่ชิงอวี่ถูกช่วยจนฟื้นขึ้นมา เงาร่างที่อ่อนแอและบอบบางของนางปรากฏออกมายังเบื้องหน้าของเขาพร้อมกับร้องเรียก “ท่านพี่” ขึ้นด้วยน้ำเสียงและอารมณ์ลึกซึ้ง
เขาฝันเห็นตนเองเข้าห้องหอกับเยว่ชิงเฉิง รูปร่างอ้อนแอ้นอรชรพร้อมกับเอวบางเล็กได้รูปน่าััของเยว่ชิงเฉิงขยับเคลื่อนไหวไปมาอยู่้าร่างของเขา
เขาฝันเห็นเสว่อู๋เหิน เสว่อู๋เหินใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับบอกกับเขาว่าตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ดีสุขสบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาจะทำให้ตนเองมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็อยู่
เขาฝันเห็นเย่เทียนหลง เย่เทียนหลงบอกกับเขาว่าความจริงแล้วบิดาของเขาไม่ได้เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด แต่เสียชีวิตเพราะมีคนปองร้าย
.................................
ความฝันต่างๆ นานาครอบงำวนเวียนอยู่ภายในหัวของเขา เริ่มแรกยังรู้สึกได้ว่าความฝันเ่าั้เป็แค่เพียงเื่ที่เกิดจากคิดความเพ้อฝันที่ไม่มีอยู่จริง แต่เวลานานเข้ากลับรู้สึกเหมือนว่ามันได้กลายเป็เื่จริงขึ้นมาจริงๆ เื่ราวต่างๆ เหมือนเกิดขึ้นจริงอย่างไรอย่างนั้น
ความฝันที่แสนหวานทำให้เขาเคลิบเคลิ้มไม่อยากที่จะตื่นขึ้น...
ความฝันที่เศร้าเสียใจทำให้จิตใจของเขาแหลกสลายจนทำให้เกิดอารมณ์ที่ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเกิดขึ้นมาภายในใจ...
ความฝันที่โกรธแค้นทำให้ภายในจิตใจของเขาเต็มไปด้วยความปรารถนาแห่งการฆ่าฟันไม่มีที่สิ้นสุด อยากจะบดขยี้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นมาต่อสายตาเบื้องหน้าทั้งหมด...
ความฝันที่น่าหวาดกลัวทำให้เขาไม่กล้าที่จะลืมตาขึ้น ไม่กล้าที่จะเชื่อว่ามันคือความจริง ยินยอมที่จะตกอยู่ในดินแดนแห่งความฝันไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก...
หลายต่อหลายครั้งที่เขาเกือบจะหลับใหลอยู่ในความฝันตลอดกาล หลายต่อหลายครั้งที่จะปลิดชีพตนเองภายในความฝัน หลายต่อหลายครั้งที่เกือบจะสูญเสียสติสัมปชัญญะและเกือบจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย เพียงแต่ทุกครั้งที่อันตรายถึงชีวิตกล้ำกลายเข้ามาแหวนทองเหลืองที่อยู่บนนิ้วมือก็จะปล่อยกระแสพลังเย็นสดชื่นสายหนึ่งออกมาทำให้หัวสมองของเขาปลอดโปร่งได้สติกลับมา ตื่นขึ้นมาพบกับเหงื่อเย็นที่ไหลท่วมกายตนเองและความตื่นตระหนกอย่างถึงที่สุด
เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝันแต่เป็ภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นมาจากูเาสุสานทวยเทพ ด่านแรกของูเาสุสานทวยเทพดินแดนแห่งภาพลวงตา ดินแดนที่สามารถทำให้คนเป็บ้าเสียสติและตายไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวได้
เพียงแต่ว่าแม้จะรู้ทั้งรู้แต่ตนเองกลับไม่สามารถหลบหลีกได้ ทุกๆ ่ระยะเวลาหนึ่งที่แน่นอนตนเองก็จะตกเข้าไปอยู่ภายในดินแดนของภาพลวงตานั้นโดยอัตโนมัติราวกับมีพลังมารที่มองไม่เห็นดึงดูดให้จมดิ่งและเคลิบเคลิ้มอยู่ภายใน อีกทั้งความฝันยังดูเสมือนจริงหมดทุกอย่างโดยไม่สามารถที่จะแยกแยะจริงเท็จออกได้
เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร? ไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไร? ไม่รู้ว่าวันไหนตนเองจะตายไปภายในความฝันที่ไม่อาจจะหลบหลีกป้องกันนั้น...
จนกระทั่งตอนเช้าของวันหนึ่ง
วันนี้เหมือนทุกๆ วันเขาฝึกฝนพลังปราณรบอยู่สักพักแล้วเดินขยับร่างกายไปมาอยู่หลายก้าวแต่ไม่กล้าที่จะเดินออกไปไกลจากที่อยู่เดิมมากนัก เนื่องจากทุกที่เต็มไปด้วยหมอกสีขาวจางๆ ลอยปกคลุมไปทั่ว ไม่รู้ว่าที่ไหนมีอันตรายที่ไหนเป็เส้นทางแห่งความตาย
เขาล้วงเสบียงอาหารแห้งและน้ำดื่มที่เหลืออยู่ไม่มากออกมาจากอกดื่มกินพอประทังความหิวพอให้ร่างกายอยู่ได้ เสบียงอาหารแห้งและน้ำดื่มเหลืออยู่ไม่มากแล้วดังนั้นหลายวันมานี้เขาจึงทนหิวกินเพียงทีละน้อยเพื่อประคองร่างกายให้อยู่ได้ต่อไปเท่านั้น เขาไม่รู้ว่าจะสามารถอดทนไปได้อีกกี่วัน ไม่รู้ว่าเสบียงอาหารแห้งและน้ำดื่มจะหมดไปในวันไหน ตนเองจะอดตายอยู่ภายในูเาสุสานทวยเทพแห่งนี้หรือไม่ หรืออาจจะหลับตายไปในฝันอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็เป็ได้
ในขณะที่จิตใจของเขากำลังเศร้ารันทดมองไม่เห็นจุดหมายปลายทางข้างหน้าอยู่นั้น ทันใดนั้นเองข้างหูของเขาพลันมีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมา
“เ้าก็คือเย่ชิงหาน?”
เสียงที่ดังขึ้นอย่างฉับพลันนั้นทำให้ทั่วทั้งร่างของเย่ชิงหานตื่นตัวตอบสนองขึ้นมาทันที สายตาของเขาเหม่อมองไปทั่วทั้งสี่ทิศรอบหนึ่งก่อนที่จะเอามือเกาหัวพร้อมกับเกิดความสงสัยขึ้นว่า ทำไมภาพลวงตาของวันนี้ถึงได้ทำงานเร็วกว่าปกติทุกๆ วัน เมื่อก่อนที่ผ่านมายังต้องรออีกหนึ่งชั่วโมงภาพลวงตาถึงจะเริ่มทำงานมิใช่รึ?
ครั้นแล้วเขาจึงส่ายหัวและไม่ได้ให้ความสนใจอีกต่อไป นั่งขัดสมาธิฝึกฝนพลังปราณรบต่อไปอีกเรื่อยๆ
“เ้าก็คือเย่ชิงหาน?”
เสียงที่ได้ยินดังขึ้นอีกครั้ง ทำเอาเย่ชิงหานเริ่มจะรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว คิดขึ้นภายในใจว่าภาพลวงตาในครั้งนี้มาแปลกเป็พิเศษไม่ปรากฏเงาร่างของผู้คนแต่กลับมีเพียงแค่เสียงที่แปลกประหลาดดังลอยมาเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถามคำถามโง่ๆ ออกมาถึงสองครั้ง ครั้นแล้วเขาจึงถอนหายใจออกมาแล้วพูดขึ้น “เย่ชิงหานก็คือข้านายน้อยผู้นี้ เ้าเป็ใคร?”
เสียงนั้นหยุดนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะดังลอยมาอีกครั้ง “ข้าคือปรมาจารย์บรรพบุรุษของเ้า!”
โอ้โห! เย่ชิงหานลุกยืนขึ้นอย่างรวดเร็วในทันทีพร้อมด้วยมีโทสะ ภาพลวงตาของูเาสุสานทวยเทพในครั้งนี้ทำไมถึงได้สามหาวเช่นนี้ แม้ทุกครั้งสิ่งที่ปรากฏจะแตกต่างกันออกไปไม่ซ้ำแบบ แต่รอบนี้กลับเล่นของสูงกล้าปลอมเป็ปรมาจารย์บรรพบุรุษของเขาเชียวรึ ดังนั้นเขาจึงพูดตอบโต้กลับไปอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “ไอ้เวรเอ๊ย ข้าสิถึงจะเป็ปรมาจารย์บรรพบุรุษของเ้า...!”
“ข้าเป็ปรมาจารย์บรรพบุรุษเย่รั่วสุ่ยของเ้าจริงๆ!”
“ไสหัวไปไกลๆ เลยไอ้เวร ข้าสิถึงจะเป็ปรมาจารย์บรรพบุรุษตัวจริงของเ้า! เย่รั่วสุ่ย? เ้าคิดจะหลอกใครกัน เย่รั่วสุ่ยตายไปตั้งหลายร้อยปีไปแล้ว ดินแดนแห่งภาพลวงตารอบนี้ทำไมถึงได้แสดงภาพลวงตาที่งี่เง่าปัญญาอ่อนเช่นนี้ออกมาได้ ไม่มีระดับเอาซะเลย! เปลี่ยนอันใหม่มาเถอะ!”
“เอ่ออ...จะพูดอธิบายให้เ้าเข้าใจอย่างไรดี? เช่นนั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ความจริงแล้วตอนนี้เ้าไม่ได้อยู่ในดินแดนของภาพลวงตา ข้าคือเย่รั่วสุ่ยจริงๆ ข้ายังไม่ตายและตอนนี้กำลังส่งกระแสเสียงมาหาเ้า นี่ไม่ใช่ภาพลวงตา!”
“ก็ได้ๆ นี่ไม่ใช่ภาพลวงตา เ้าคือเย่รั่วสุ่ยจริงๆ เ้ายังไม่ตาย เ้าฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง...คำพูดนี้ถ้าพูดออกไปมีแต่คนปัญญาอ่อนเท่านั้นแหละที่จะเชื่อ...”
“เอาเถอะ ในเมื่อเ้าไม่เชื่อรออีกสักพักให้เ้าผ่านภาพลวงตาเสร็จก่อนค่อยพูดอธิบายอย่างละเอียดให้เ้าฟังอีกทีก็แล้วกัน!”
เสียงพูดหยุดลง ดังลอยมาอย่างไร้ร่องรอยแล้วก็เงียบหายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับว่าไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนฉะนั้น
เย่ชิงหานเองก็รู้สึกแปลกประหลาดอยู่ภายในใจเช่นเดียวกัน นั่งจับเจ่ารอดูอยู่เนิ่นนานก็ไม่เห็นจะมีเหตุการณ์แปลกประหลาดอันใดเกิดขึ้นตามมาอีก
เขาจึงเริ่มที่จะสงสัยขึ้นมาว่าหรือว่าเมื่อสักครู่ไม่ใช่ภาพลวงตา? แต่ความคิดนี้ก็ถูกปฏิเสธขึ้นมาในทันที เย่รั่วสุ่ยเขารู้จักเพราะเป็หัวหน้าตระกูลที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่งเมื่อห้าร้อยปีก่อน สามารถเรียกอสูรศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้เช่นเดียวกันกับเขา เพียงแต่...บุคคลเมื่อห้าร้อยปีก่อนตอนนี้ปรากฏตัวขึ้นแล้วบอกให้คนอื่นเชื่อว่าเป็ตัวเขาที่กำลังพูดอยู่ นอกเสียจากว่าเขาเป็ผีหรือว่าเป็เทพเพียงเท่านั้นนอกนั้นคงเป็ไปไม่ได้
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ภาพลวงตาระลอกแรกของทุกๆ วันก็ทำงานขึ้นอย่างตรงเวลา ม่านหมอกสีขาวค่อยๆ สลายไป ทัศนียภาพโดยรอบทั้งสี่ทิศเปลี่ยนแปลงไปเป็ภาพเหตุการณ์ของเทือกเขารกร้าง ฝูงหมาป่าเพลิงที่อยู่ด้านหลังพุ่งกระโจนเข้ามาหาเขาอย่างต่อเนื่อง เบื้องหน้าปรากฏเงาร่างของคนปกปิดใบหน้าห้าคนที่อยู่ในชุดคลุมสีดำ เย่ชิงหานถูกอิทธิพลจากพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นภายในภาพเหตุการณ์นั้นทำให้ดวงตาทั้งคู่เริ่มค่อยๆ แดงก่ำไปด้วยเื ทั่งทั้งร่างเริ่มแผ่พุ่งไอพลังสังหารโหดร้ายกระหายเืออกมา จากนั้นเขาดึงกริชออกมาแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหาเงาร่างของคนชุดดำทั้งห้า...
ครึ่งชั่งโมงผ่านไป บนพื้นนอนเกลื่อนกลาดไปด้วยซากร่างของหมาป่าเพลิงและร่างของคนชุดดำทั้งห้า จากนั้นไม่นานร่างของหมาป่าเพลิงและคนชุดดำทั้งห้าเริ่มค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย ต้นไม้ใบหญ้ารอบด้านเริ่มเลือนหายไปด้วยเช่นกัน หมอกสีขาวในตอนแรกเริ่มเข้ามาปกคลุมแทนอีกครั้ง
แม้ทัศนียภาพเ่าั้จะเลือนหายไปแล้วแต่เย่ชิงหานยังคงดวงตาแดงก่ำอยู่เช่นเดิม ยังคงกวัดแกว่งกริชทำการสังหารไปมาราวกับว่าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอยู่เช่นนั้น หรืออาจจะเป็ไปได้ว่ารอให้เขาหมดแรงที่จะควงกริชกวัดแกว่งสังหารไปมาเขาถึงจะหยุดลงเอง แต่เมื่อถึงเวลานั้นเขาอาจจะตายไปจริงๆ ก็เป็ได้...
ดินแดนแห่งภาพลวงตาอานุภาพยิ่งนานวันยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที หมอกสีขาวที่ลอยปกคลุมอยู่ทั่วยิ่งนานวันยิ่งเข้มข้นหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นเดียวกัน...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้