ในรถม้า
หลังจากที่ได้ยินเื่ราวทั้งหมดแล้ว ซูเหอก็กะพริบตาปริบๆ มองดูเวินซีแล้วพูดว่า “สรุป พวกท่านอยู่ที่นั่นตั้งนาน แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าผู้ใดคือคุณหนูหรานหรือเ้าคะ?”
“ตัวปลอมนั่นรู้จักข้าดี นางรู้เื่ทุกอย่าง” หรานอิ่งชุนพูดอย่างเคร่งขรึม
ใบหน้าของนางมีความกังวล
“รู้จักเ้าหรือ? คุณหนูหราน ลองคิดดูดีๆ สิเ้าคะ ในตอนที่คุณหนูทำเื่เ่าั้ มีคนที่อยู่ข้างกายคุณหนูหรือไม่” เวินซีพิงหน้าต่างรถม้าแล้วเอ่ยถาม
“มีเ้าค่ะ” หรานอิ่งชุนมีแววตาที่จริงจังขึ้น
“ผู้ใด?” ซูเหอหันหน้าไปหาหรานอิ่งชุน พลางเอ่ยถามอย่างสงสัย
“สตรีรับใช้ส่วนตัวของข้า เสี่ยวเยว่ แต่นางถูกเหลียงฝูหรู่ฆ่าตายแล้ว ไม่มีทางที่จะเป็นาง นางเติบโตมากับข้า หากจะพูดว่าเป็สตรีรับใช้ เรียกว่าเป็เพื่อนรักของข้าเสียจะดีกว่า แม้นางจะไม่ตาย แต่ก็ไม่มีทางทำเื่เช่นนี้กับข้าได้”
“คุณหนูหราน บอกข้าได้หรือไม่ว่าเสี่ยวเยว่ตายเช่นไร?” จ้าวต้านมีแววตาสงสัย
หรานอิ่งชุนมองเขาแล้วพยักหน้า พลันพูดช้าๆ
“วันนั้นข้ากับนางรอดพ้นจากพวกโจรได้อย่างหวุดหวิด จนกระทั่งหลงทางเข้าไปในเมืองนั้นในที่สุด”
“ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเมื่อมาถึงเมือง เราจะถูกเหลียงฝูหรู่จับตามอง เขาตามเราไปที่โรงเตี๊ยม แสร้งเข้ามาสู่ขอข้า เสี่ยวเยว่โกรธมากจึงไล่เขาออกไป”
“ข้าคิดจะส่งจดหมายกลับจวนเพื่อให้มารับข้าในวันรุ่งขึ้น แต่ไม่คิดเลยว่าคืนนั้นเหลียงฝูหรู่จะพาพรรคพวกแอบเข้าไปในโรงเตี๊ยม เขาจึงจับข้ามัดเอาไว้”
“เพราะว่าเป็กังวล ทั้งยังมิได้พักผ่อน หลังจากที่ข้าฟาดเขาจนาเ็ก็พาเสี่ยวเยว่วิ่งหนีออกไป”
“แต่พวกเขามีจำนวนมาก ทั้งยังคุ้นเคยกับพื้นที่เป็อย่างดี พวกเราถูกไล่ตามจนทัน ที่ที่พวกเราเข้าไปยังเป็ทางตันอีกด้วย”
“เพื่อที่จะช่วยข้า เสี่ยวเยว่จึงต่อสู้อย่างสุดกำลัง นางถูกเหลียงฝูหรู่แทงจนล้มลงพื้นไป ข้าก็ถูกพวกเขาจับตัวไปที่จวน”
“หลังจากที่คุณหนูเวินช่วยข้าออกมาได้ ข้าก็รีบไปที่ซอยตันที่เสี่ยวเยว่ถูกแทง แต่บนพื้นกลับมีเพียงรอยเื ไม่พบแม้แต่เงาของเสี่ยวเยว่”
พูดจบ หรานอิ่งชุนก็ก้มหน้าลงเงียบๆ ความโศกเศร้าจากการสูญเสียสตรีรับใช้ทำให้นางต้องยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา
“เหตุใดเ้าถึงคิดว่านางตายแล้วล่ะ?” เวินซีหันหน้าไปหาหรานอิ่งชุน
“บนพื้นมีรอยเืเยอะมาก ที่ซอยตันนั้นก็ไม่มีผู้คนเดินผ่าน อีกทั้งเสี่ยวเยว่ไม่มีเงินติดตัว นางคงไม่รอดแน่”
“อีกทั้ง คืนนั้นข้าตามหานางทั้งคืนแต่ก็ไม่พบ”
“หากหรานอิ่งชุนตัวปลอมมิใช่นาง ก็คงจะมีความเกี่ยวข้องกับนาง วันพรุ่งเราลองทดสอบดู ก็คงรู้ได้” เวินซีผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อคาดเดาได้แล้วในใจ
“เ้ารู้ประวัติของเสี่ยวเยว่หรือไม่?” จ้าวต้านถามโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“รู้เ้าค่ะ แท้จริงแล้วเสี่ยวเยว่เป็บุตรสาวของตระกูลร่ำรวย แต่ตระกูลนั้นภายหลังกลับถูกฆ่ายกครัว นางจึงต้องกลายเป็เด็กกำพร้า ใช้ชีวิตเป็ขอทาน”
“ข้าเห็นว่านางน่าสงสาร จึงรบเร้าให้ท่านย่าพานางเข้าจวน ให้มาเป็สตรีรับใช้ของข้า”
หรานอิ่งชุนตอบตามความจริง
เวินซีพยักหน้าอย่างครุ่นคิด พลันสบตากับจ้าวต้าน
“เกรงว่าเื่นี้คงจะไม่ธรรมดา ต้องตรวจสอบหาสาเหตุที่ตระกูลของเสี่ยวเยว่ถูกฆ่ายกครัวแล้วล่ะ หากว่านางมีเป้าหมายในการอยู่ข้างกายเ้าล่ะ?” เวินซีกล่าว
“เป็ไปมิได้เ้าค่ะ ตอนที่ข้าพาเสี่ยวเยว่กลับจวน นางเพิ่งจะสี่ขวบ เด็กสี่ขวบจะมีเจตนาไม่บริสุทธิ์อันใดล่ะเ้าคะ” หรานอิ่งชุนปฏิเสธการคาดเดาของเวินซี
ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่าสิบปีของพวกนางทำให้หรานอิ่งชุนไม่สงสัยเสี่ยวเยว่เลย แต่เมื่อมองสีหน้าที่จริงจังของเวินซีและจ้าวต้าน นางก็ลำบากใจ
นางเงียบอยู่นานแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนว่า “หากเป็นางจริงๆ คุณหนูเวิน จะไว้ชีวิตนางได้หรือไม่เ้าคะ นางมิได้ชั่วร้าย นางเคยจริงใจต่อข้า คงจะเป็เพราะคืนนั้นเกิดเื่อันใดขึ้นเป็แน่ ถึงได้เป็เช่นนี้”
“ค่อยว่ากันเถิดเ้าค่ะ หากนางมิได้ทำเื่ร้ายแรงอันใด ข้าคงไว้ชีวิตนางได้”
“ขอบพระคุณคุณหนูเวินเ้าค่ะ ข้าทำให้คุณหนูต้องลำบาก หากเื่นี้จบลง ข้าจะตอบแทนคุณหนูแน่นอน”
เวินซีพยักหน้าโดยไม่พูดอันใด ทั้งสี่คนในรถม้าพลันตกอยู่ในความเงียบ
ในเวลานั้นซูเหอรู้สึกเบื่อ จึงเปิดม่านรถมองออกไปข้างนอก
ท้องฟ้ามืดสนิท แต่ทั้งเมืองซู่เหอมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น มีโคมไฟอยู่ในระยะห่างทุกๆ ห้าก้าว ส่องสว่างทั้งเมืองราวกับเป็ตอนกลางวัน
แม่น้ำที่อยู่ข้างทางเดินมีเรือสินค้าแล่นไปมา มีบุรุษและสตรีจำนวนมากเดินเล่นตามชายฝั่ง
ร้านค้าทั้งสองฝั่งมีลูกค้ามากกว่าตอนกลางวัน คนรับใช้พากันะโเรียกลูกค้าเสียงดัง
“พี่สะใภ้ ข้าหิวแล้ว เราไปทานอาหารกันดีหรือไม่เ้าคะ?” เมื่อได้กลิ่นหอมของอาหาร ซูเหอก็หันไปมองเวินซีด้วยแววตาน่าสงสาร
“ได้สิ พี่จะพาเ้าไปที่ร้านหนึ่ง” เวินซียิ้ม
“เ้าค่ะ” ซูเหอตอบรับอย่างดีใจ
ครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าก็มาจอดที่หน้าร้านแห่งหนึ่ง
ยังไม่ทันจะลงจากรถ คนรับใช้ภายในร้านก็เดินเข้ามาทักทายพวกเขาอย่างเป็มิตร
“พวกท่านมาจากนอกเมืองใช่หรือไม่ขอรับ? มาที่นี่โดยเฉพาะเลยหรือขอรับ? เชิญขอรับ เชิญด้านในก่อน”
หรานอิ่งชุนลงจากรถม้าก่อน คนรับใช้ก็ช่วยพยุงนางเข้าไป
ซูเหอะโลงจากรถม้า เมื่อได้กลิ่นหอมที่ไม่คุ้นเคย ความอยากรู้อยากเห็นในดวงตาของนางก็เพิ่มมากขึ้น นางะโโลดเต้นเข้าไปในร้าน
เวินซี จ้าวต้าน สืออี ต้วนจิงเย่ ทั้งสี่คนค่อยๆ ลงจากรถม้าและยืนรวมกัน
เมื่อมองดูคำว่า “เวินเซียงเก๋อ” ที่ป้ายประตู รอยยิ้มบนใบหน้าของเวินซีก็กว้างขึ้น
“ไปกันเถิด” นางพูดอย่างมีความสุขพลันเดินเข้าไป
ในห้องโถงเวินเซียงเก๋อ ทุกโต๊ะเต็มไปด้วยลูกค้า ควันที่พวยพุ่งออกมาจากหม้อไฟลอยอยู่กลางอากาศทำให้ร้านทั้งร้านราวกับอยู่ในแดน์
“ทุกท่านจะอยู่ที่โถงหน้า หรือว่าห้องส่วนตัวขอรับ? ที่โถงต้องต่อแถว หากห้องส่วนตัว...ราคาก็จะสูงขึ้นน่ะขอรับ”
คนรับใช้เมื่อครู่เดินมาถามอย่างกระตือรือร้น ด้านหลังของเขาคือซูเหอที่อยากจะทานอาหารและหรานอิ่งชุนที่เป็กังวล
“เอาห้องส่วนตัวที่ดีที่สุด” เวินซีพูดนิ่งๆ
“ขอรับ ทุกท่านตามข้ามาขอรับ” คนรับใช้มีสีหน้ายิ้มแย้ม เขาพาทุกคนขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวเอ้อ จ่างกุ้ยที่ร้านนี้ชื่อโจวอวี่ชางใช่หรือไม่?” เวินซียืนมองชั้นหนึ่งอยู่ที่ทางเดิน พลันเอ่ยถาม
“คุณหนูรู้จักจ่างกุ้ยของเราหรือขอรับ?” เขาทำหน้าแปลกใจ พลันหันไปถามเวินซี ฝีเท้าในการก้าวเดินก็ช้าลง
“รู้จัก จะให้ข้าพบเขาหน่อยได้หรือไม่?”
“ขอโทษขอรับคุณหนู จ่างกุ้ยของเราไม่พบผู้ใดขอรับ” เมื่อได้ยินคำของนาง คนรับใช้ก็มีสีหน้ามืดมนพร้อมกับปฏิเสธทันที
“เหตุใดกัน?”
“จ่างกุ้ยของเรามิใช่คนเมืองซู่เหอ เขาเป็คนจากนอกเมือง ไม่รู้จักผู้ใด ร้านของเราก็เพิ่งเปิดแต่กิจการกลับดีเป็เทน้ำเทท่า เดือนนี้มีคนมาขอพบเขามากมาย เหตุผลอันใดเราล้วนได้ยินมาหมดแล้วขอรับ”
คำพูดของคนรับใช้ก็คือมองว่าเวินซี “โกหก”
หากนางไม่ขอพบเขา เขาก็คงนำไปบอกโจวอวี่ชางเอง แต่เมื่อขอพบแล้วนางก็เป็เพียงคนต้มตุ๋นเจตนาร้ายคนหนึ่ง
เขามีประสบการณ์จากเื่นี้แล้ว
“ข้ารู้จักกับจ่างกุ้ยของเ้าจริงๆ” เวินซีเข้าใจคำพูดของเขาพลันยิ้มบางๆ
“คุณหนู แต่จ่างกุ้ยบอกไว้แล้วขอรับ ว่ารู้จักก็ไม่พบ”
“เ้าเอานี่ไปให้เขา เขาจะมาพบข้าหรือไม่ ก็ถือเป็เื่ของเขาล่ะ” เวินซีหยิบขวดหยกออกมายื่นให้คนรับใช้
เขาลังเลอยู่นานแต่ก็เอื้อมมือไปรับไว้
หลังจากที่พาเวินซีและคนอื่นๆ เข้าไปในห้องส่วนตัวแล้ว เขาก็รีบเรียกคนรับใช้อีกคนมาดูแล พลันวิ่งไปที่สวนหลังพร้อมกับขวดหยก