กู้เจิงที่ยังไม่ได้กินอะไรั้แ่เช้าตอนนี้จึงตาลายไปหมด กลิ่นหอมของบะหมี่ทำให้นางรีบกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณเ้าค่ะท่านแม่”
นายหญิงเสิ่นนั่งลงมองลูกสะใภ้ของนางกินบะหมี่อย่างเรียบร้อยกินบะหมี่ร้อนๆ ยังต้องระวังกิริยาอยู่อีก เด็กสาวคนนี้คงจะระวังตัวเกินไปแล้ว
กู้เจิงเห็นแม่สามีนั่งมองนางเงียบๆคงรอให้นางกินบะหมี่จนเสร็จก่อน
เมื่อนางซัดบะหมี่ลงท้องไปเป็ที่เรียบร้อย แม่สามีจึงเอ่ยขึ้น
“อาเยี่ยนเล่าเื่ของเ้าให้ข้าฟัง" นายหญิงเสิ่นเอ่ยปากแม้สีหน้าจะเ็าอยู่บ้าง แต่ความอบอุ่นในดวงตายังคงไม่หายไป
“เซี่ยงกง[1] พูดอะไรกับท่านหรือเ้าคะ?" กู้เจิงรู้สึกว่าน่าจะไม่ใช่เื่ดีอะไรนัก
“อาเยี่ยนเล่าเื่เ้ากับองค์ชายห้าให้ข้าฟังและเหตุการณ์ที่เขาช่วยเ้าตอนตกน้ำ ยังมีเื่ที่เกิดขึ้นในงานล่าสัตว์อีก”
กู้เจิง “...” ดูท่าเสิ่นเยี่ยนกับมารดาของเขาจะสนิทกันมากมีอะไรก็เล่าให้ฟังหมด ไม่รู้ว่าเขาพูดกับแม่ของเขาว่าอย่างไรแต่นางรู้สึกไม่ค่อยดีนัก“ท่านแม่ ที่จริงเื่ต่างๆที่เกิดขึ้นมันไม่ได้เป็อย่างนั้น ข้า” กู้เจิงไม่รู้จะอธิบายเื่ของตนเองอย่างไรดี
จู่ๆ ก็ได้ยินนายหญิงกล่าวว่า “ข้าเชื่อเ้า”
กู้เจิงและชุนหงตะลึงงัน ทั้งสองคนเบิกตากว้างมองนายหญิงเสิ่น
นายหญิงเสิ่นยิ้มบางๆ “ั้แ่ที่เ้าก้าวเข้ามาในบ้านของตระกูลเสิ่นทุกอากัปกิริยาล้วนดูออกว่ามีการอบรมที่ดี นิสัยก็สุภาพอ่อนโยนนัก”
นางก็แค่เดินไปไม่กี่ก้าว ยังไม่ได้ทำอะไรสักนิดเลยกระมังกู้เจิงคิดไม่ออกว่าั้แ่นางเริ่มก้าวเข้ามาผ่านประตูใหญ่ของตระกูลเสิ่นนางได้ทำอะไรให้แม่สามีคิดเช่นนี้
“นับจากวันนี้เ้าก็เป็ลูกสะใภ้ของข้าแล้ววันหน้าเพียงเ้าดีต่ออาเยี่ยนก็พอ” นายหญิงเสิ่นพูดจบก็ลุกขึ้นเดินจากไป
กู้เจิงกับชุนหงมองหน้ากัน
“ท่านแม่ของเสิ่นเยี่ยนช่างเป็คนดีจริงๆ”
“ฮูหยินเสิ่นดี ท่านบุตรเขยก็ดีเช่นกันเ้าค่ะ”
ตลอดบ่าย มีคนแวะเวียนเข้ามาในเรือนหอเพื่อมาทักทายเ้าสาวกู้เจิงจึงรู้จักบรรดาญาติพี่น้องของตระกูลเสิ่นมากมาย
เมื่อในที่สุดไม่มีใครเข้ามาแล้วสองนายบ่าวก็นั่งดื่มน้ำบนเก้าอี้อย่างอ่อนเพลีย
เมื่อความมืดมิดยามค่ำคืนย่างกลายมาถึง
ลานด้านหน้าเริ่มคึกคักขึ้นอีกครั้งมีทั้งเสียงชนแก้วดื่มสุราและเสียงอวยพรซึ่งกันและกัน จนกระทั่งดึกดื่นจึงค่อยๆจางหายไป
“คุณหนูใหญ่ ท่านบุตรเขยมาแล้วเ้าค่ะ” ชุนหงชะโงกส่งเสียงเตือนมาจากหน้าประตู
กู้เจิงรีบหยิบพัดขึ้นมาปิดหน้า
“ท่านบุตรเขย” ชุนหงเปิดประตูเดินตามเสิ่นเยี่ยนเข้ามาอย่างเบิกบานใจท่านบุตรเขยอยู่ในชุดแต่งงานสีแดง รูปคิ้วคมกริบ ดวงตาเป็ประกายจมูกโด่งเป็สันดูมีสง่าราศี ช่างเหมาะสมกับคุณหนูใหญ่จริงๆ “บ่าวขอให้คุณหนูใหญ่กับท่านบุตรเขยฉินเซ่อสอดประสาน[2] เข้าใจซึ่งกันและกัน รักกันไปชั่วชีวิตและให้กำเนิดบุตรชายในเร็ววันเ้าค่ะ” กล่าวจบ ชุนหงก็รีบออกไปจากห้องอย่างมีความสุขทั้งยังไม่ลืมที่จะปิดประตูด้วย
เ้าเด็กคนนี้ไปแอบเรียนสำนวนมากมายขนาดนี้มาจากไหนกัน
กู้เจิงรีบลุกขึ้นยืน นางสูงเพียงแค่ไหล่ของเสิ่นเยี่ยนเท่านั้น
อยู่ๆ ภายในห้องก็เงียบสงัดลงแสงเทียนส่องประกายระยิบระยับไปทั่วเรือนหอ
กู้เจิงได้กลิ่นสุราจากเขาเล็กน้อยแต่เมื่อครู่เขาเดินมาอย่างมั่นคง น่าจะยังไม่เมามาก
พัดในมือถูกนำออกไป กู้เจิงเงยหน้ามองเข้าไปในดวงตาสีนิลที่เปล่งประกายวาววาม เขาไม่ได้เมาจริงๆ
“สะ สวัสดี” กู้เจิงรู้สึกประหม่าพออ้าปากจะพูดกลับเอ่ยคำทักทายไปโดยไม่รู้ตัว นางรู้สึกอับอายในทันที
เสิ่นเยี่ยนกล่าวเสียงเรียบ “เ้าก็ดีเช่นกัน”
กู้เจิง “...”
“แลกจอกสุราดื่มกันเถอะ” เสิ่นเยี่ยนเทสุราลงบนจอกเล็กๆ สองจอก หนึ่งจอกนั้นมอบให้กู้เจิง
หลังจากดื่มไปครึ่งแก้ว เสิ่นเยี่ยนก็ยื่นสุราครึ่งแก้วของตนเองให้กู้เจิงกู้เจิงรับมาแล้วยื่นจอกสุราที่นางดื่มไปครึ่งแก้วให้เขา
สิ่งที่เรียกว่าแลกจอกสุรา ก็คือต่างคนต่างดื่มไปก่อนครึ่งจอกส่วนอีกครึ่งจอกที่เหลือให้แลกกันดื่มจนหมด หรือที่เรียกว่าเหอจิ่น[3] ถือเป็การจูบทางอ้อมทั้งยังเป็สัญลักษณ์ของสามีภรรยาที่ครองคู่เป็หนึ่งเดียว ร่วมทุกร่วมสุขรักกันตราบชั่วนิรันดร์
เห็นเสิ่นเยี่ยนดื่มสุราของตนจนหมด กู้เจิงรู้สึกหวานล้ำขึ้นมาในใจ
“นอนเถอะ”
กู้เจิงส่งเสียงอืมเบาๆ ในใจทั้งตื่นเต้นและตึงเครียดการร่วมหอที่กำลังใกล้เข้ามา นางอายุเพียงแค่สิบหกปีเท่านั้นก่อนหน้านี้นางก็คิดว่านางทำใจได้แล้ว แต่ยามนี้กลับไม่รู้สึกอย่างนั้น
เสิ่นเยี่ยนถอดเสื้อนอกและปลดเข็มขัดออกเมื่อเหลือเพียงเสื้อชั้นในและกางเกงชั้นในสีอ่อนบางๆ เพียงตัวเดียวทำให้พอมองเห็นรูปร่างของเขา ร่างกายหนั่นแน่นหน้าอกแข็งแรงสมตัว
“เ้ามองพอหรือยัง?”
ตอนที่เสียงของเสิ่นเยี่ยนทะลุเข้าไปในแก้วหูกู้เจิงก็หน้าแดงขึ้นทันที นางรีบหันหลังและปลดเสื้อผ้าออกเช่นกัน
ขณะที่นางหันหลังถอดชุด เสิ่นเยี่ยนก็เปิดผ้าห่มออกแล้วนอนลง
กู้เจิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางพยายามจะปีนเข้าไปนอนด้านในโดยไม่ให้ััถูกตัวเขา
-------------------------------------
[1] เซี่ยงกง เป็คำที่ภรรยาในยุคสมัยบาณใช้เรียกสามีในเชิงยกย่องเคารพ
[2] ฉินเซ่อสอดประสาน เปรียบเปรยถึงสามีภรรยาที่รักใคร่กันราวกับดนตรีที่สอดประสานกันเป็อย่างดีเนื่องจากฉินและเซ่อเป็เครื่องดนตรีที่จะใช้บรรเลงร่วมกัน