อาลู่ไม่ได้กลับไปยังที่พักของเ้าก้างปลา
แต่กลับมุ่งหน้าไปทางถ้ำแทน เพื่อกลับไปยังกระท่อมน้อยริมสระกระดูก รังหลบภัยของเขาและน้องสาว ที่ที่ต้นอ่อนสีเขียวที่ไม่น่าเชื่อว่าจะกินได้กำลังงอกงาม
เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับว่าร่างจะแหลกเหลว จึงได้หลีกหนีจากภาพเหล่าชายฉกรรจ์ที่กำลังสนุกสุดเหวี่ยงนั้น เดินกลับไปทางถนนเส้นเล็กบนเหวขาด ต่อด้วยสะพานเถาวัลย์ แล้วจึงเข้าสู่ถ้ำมืดเบื้องหน้า
อาลู่รู้สึกว่าตนนั้นอุ้มน้องสาวไม่ไหวแล้ว จึงวางนางลงบนหลังเ้ามืด ส่วนตัวเขายังคงขี่เ้าก้างต่อด้วยความทรมาน
ในถ้ำที่มืดมิด ม้าสองตัวเดินช้าๆ ตามกันไป
อาลู่นั้นไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะบังคับทิศทางเ้าก้างต่อ ทั้งร่างโอนเอนด้วยความวิงเวียน จึงได้แต่ฟุบลงบนหลังเ้าก้าง แล้วให้เ้าม้าสองตัวนั้นออกเดินต่อไปข้างหน้าเอง
ครั้งแรกที่อาลู่เดินผ่านถ้ำคดเคี้ยวแห่งนี้ ในใจเขายังเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง บัดนี้ยามอยู่บนหลังม้าแล้วมองเห็นเงาจากเส้นทางที่แสนคดเคี้ยว แม้จะยังรู้สึกว่ามันช่างดูคล้ายกับช้างป่าตัวั์ก็ไม่ปาน แต่ในใจเขากลับรู้สึกสงบไม่น้อยยามอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้
เ้าก้างนั้นดูเกรงกลัวเ้ามืดไม่เบา ดังนั้นเ้ามืดจึงได้เป็ฝ่ายนำทาง
ร่างเล็กๆ ของทารกน้อยบนหลังเ้ามืดนั้นไม่ได้นอนซบกับหลังมันดังวันวาน ทว่ากลับนั่งตรง ยามอาลู่เงยหน้าไปมอง ก็เห็นเ้าม้าที่ร่างใหญ่โตเหนือม้าทั่วไปกำลังแบกร่างน้อยๆ ของเฉินโย่วอยู่ ภาพตรงหน้าแท้จริงแล้วก็ดูน่าขันอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ท่าทางของทารกบนหลังเ้าม้านั้นช่างดูมีแววเคร่งขรึมแผ่ออกมา แผ่นหลังน้อยๆ นั้นเหยียดตรงจนดูไม่คล้ายกับท่าทางของเด็กทารกคนหนึ่ง
ปกตินั้นเขามักจะรู้สึกว่าน้องสาวนั้นช่างตัวนุ่มนิ่มราวกับก้อนแป้ง ยามนั่งก็มิอาจนั่งหลังตรงได้ ทว่าบัดนี้เมื่อได้เห็นท่าทางของนาง ในใจก็บังเกิดความคิดว่าน้ำนมนั้นช่างเป็ของวิเศษโดยแท้ หลังจากนางได้ดื่มนม ร่างกายก็โตไวดุจโบยบิน จนเวลานี้สามารถนั่งตัวตรงบนหลังม้าได้แล้ว
มิรู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าใดที่เ้าม้าทั้งสองเดินเอื่อยเฉื่อยจนมาถึงปากถ้ำ
ไม่นานนักก็มีแสงตะวันสาดมารำไร
หนึ่งวันที่แสนยาวนาน สำหรับอาลู่แล้วช่างยาวนานราวกับผ่านมาแล้วนานชั่วกัปชั่วกัลป์ ทั้งที่จริงแล้วพระอาทิตย์เพิ่งจะลับขอบฟ้าไปเท่านั้นเอง
เป็เพียงชั่วเวลาจากพระอาทิตย์ขึ้นจวบจนพระอาทิตย์ตกเพียงเท่านั้น
ยาวเ้ามืดมาถึงปากถ้ำก็ชะงักฝีเท้าลง ฝั่งเ้าก้างก็พลันลุกลี้ลุกลน ก้าวไปด้านหน้าทีด้านหลังที
ส่วนอาลู่นั้นกลับมองเห็นภาพเดิมในวันวานอีกครั้ง ภาพทุ่งหญ้าสีเขียวราวกับมรกต และลำธารสายน้อยที่กำลังไหลริน ฝูงแกะและวัวล้วนตัวอ้วนท้วน สาวน้อยหน้าตาพริ้มเพรา ยังมีใบหน้ากลมๆ ของท่านแม่ยืนอยู่อีกด้วย
“ฮี่!” เ้ามืดร้องเสียงแหลม
อาลู่พลันตื่นจากภวังค์ พบว่าเบื้องหน้าตนยังคงเป็ทุ่งหญ้าสีทองมิใช่สีเขียว ไม่มีฝูงวัวฝูงแกะ มีเพียงฝูงม้าที่กำลังห้อตะบึง และชายหลังค่อมคนหนึ่ง
เมื่อถึงกระท่อม อาลู่ใช้แรงเฮือกสุดท้ายพาร่างกลิ้งลงไปยังกองหญ้าเบื้องล่าง ทารกน้อยก็รีบไถลลงมาที่หัวเ้ามืดเช่นกัน
วันนี้เหล่าปาดูแลม้าอยู่เพียงลำพัง ยามไม่มีเ้าเด็กสองคนนั้น เขาก็รู้สึกแปลกๆ ราวกับหัวใจมันช่างว่างเปล่า
ไม่มีเ้าเด็กหนุ่มที่ทั้งหัวแข็งทั้งฉลาดเฉลียว
ไม่มีเสียงหัวเราะ “เอิ๊กๆ อ๊ากๆ” อย่างโง่งมของเ้าตัวน้อย
กระทั่งเ้าาาม้าก็ไม่อยู่
ทันใดเขาก็รู้สึกว่าทุ่งหญ้าแห่งนี้ช่างกว้างใหญ่ ช่างอ้างว้างเหลือเกิน
ลมพัดโบกโบยพาร่างกายหนาวสั่น ซ้ำยังรู้สึกว้าเหว่ไม่น้อย
กระทั่งหมั่นโถวที่ทั้งหอมทั้งนุ่มในวันนี้ก็รู้สึกว่าไม่อร่อยเหมือนเคย
ใจเขาในวันนี้ก็ไม่ค่อยสงบนัก
จวบจนเห็นเงาของเ้าเด็กสองคนนั้นไหวๆ มา เหล่าปาก็ออกวิ่งราวกับไม่ว่าหลังที่คดงอของตนนั้นจะหนักเพียงไรก็ไม่อาจหยุดยั้งฝีเท้าของเขาได้
ทว่าเมื่อเหล่าปาวิ่งมาถึงกระท่อมก็เห็นร่างเด็กหนุ่มอาบไปด้วยเื เมื่อมองไปยังเ้าตัวเล็ก ร่างนางก็เปื้อนเปรอะไปด้วยเืเช่นกัน
เหล่าปาเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกราวกับหัวตนจะะเิ
ไม่เป็ไร จะต้องไม่เป็ไร หากเป็อะไรไปจริงๆ เ้าเด็กนี่ย่อมต้องถูกโยนทิ้งไว้ในถ้ำเชลยแล้ว จะกลับมาที่นี่ได้ที่ไหน
เหล่าปาพยายามปลอบใจตัวเอง
แต่เดิมก็เป็เช่นนี้ เหล่าโจรที่าเ็สาหัสหากดูแล้วว่ามิมีทางรอด คนในค่ายก็จะไม่เปลืองแรงรักษาต่อ เพียงปล่อยให้ไปอยู่ในถ้ำเชลยรอวันตายเท่านั้น
ทว่าเมื่อเหล่าปาเปิดเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มแล้วได้เห็นว่าบนร่างของเด็กหนุ่มมีมีดเล่มหนึ่งปักอยู่ ก็อดหายใจแรงครั้งหนึ่งไม่ได้
เ้าเด็กนี่ทนมาจนถึงบัดนี้ได้อย่างไร เ้าเด็กนี่ยังไม่อาจนับว่าเป็ผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ มีดที่ปักอยู่ก็ปักลึกเหลือเกิน ลึกเสียจนเห็นเพียงด้ามจับที่ยังโผล่ออกมา ซ้ำเืก็ยังไหลไม่อยู่หยุดจนรอบๆ นั้นมีเืเริ่มจับกันเป็ก้อนสีดำคล้ำ
เฉินโย่วน้อยเมื่อเห็นพี่ชายเป็เช่นนี้ก็ไม่ร้องงอแง เพียงแต่คอยดูอาการพี่ชายอยู่เงียบๆ
พี่ชายหลับไปอีกแล้ว ทว่าพี่ชายยังคงกุมมือนางไว้ แต่ก็เพียงกุมเบาๆ ไม่ได้บีบจนแน่น คงเป็เพราะกลัวนางจะเจ็บ ราวกับเขากำลังแค่ััมือนางเท่านั้น มิได้ออกแรงแม้แต่น้อย
เหล่าปาแม้จะไม่ใช่หมอ แต่โดยปกตินั้นม้าในฝูงาเ็มาก็ล้วนแต่เขาเป็ผู้จัดการ มือไม้ของเหล่าปาจึงคล่องแคล่วนัก
เขาเริ่มจากต้มน้ำร้อนหม้อหนึ่งก่อน จากนั้นจึงเอาเหล้าที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดที่แอบเก็บไว้ออกมา
ในดินแดนที่พืชพันธุ์ธัญญาหารมีค่าดั่งทอง เหล้าที่หมักจากธัญญาหารยิ่งมีค่าเสียยิ่งกว่านั้น
เหล่าปาในวันปกตินั้นนึกเสียดายจนไม่กล้าดื่ม ทำได้เพียงเปิดฝาที่ปิดไว้ขึ้นมาสูดดมกลิ่นเพียงเท่านั้น
บัดนี้ที่เขานำเหล้าออกมาก็มิใช่เพื่อดื่มกิน และก็ไม่ได้นำออกมาเพื่อดมเช่นกัน
เมื่อก่อนมีครั้งหนึ่งที่เขาจัดการาแให้ม้า รอยถูกฟันบนท้องสาหัสนัก เ้าม้าตัวนั้นจึงเอาแต่ดิ้นทุรนทุรายจนไปชนเข้ากับไหเหล้าที่ซ่อนไว้ เหล้านั้นหกรดลงบนปากแผลของมันพอดี
ไม่คาดคิดว่าแผลที่โดนเหล้าหกรดนั้นจะหายไวยิ่งกว่าบริเวณอื่น ซ้ำยังไม่มีแววจะเน่าเปื่อย
นับแต่นั้นยามเขาเจอม้ามีแผลฉกรรจ์มา ก็จะใช้วิธีการทาเหล้าให้พวกมัน ทาทุกครั้งก็ออกฤทธิ์ดีเช่นนี้เสมอ จนวิธีการเช่นนี้กลายเป็ตำรายาผีบอกของเขาไปแล้ว เพียงแต่เขาเองก็ไม่เคยทดลองวิธีนี้กับคนสักครั้ง
เมื่อน้ำที่ต้มไว้เริ่มเดือด อากาศในห้องก็อุ่นขึ้นไม่น้อย
ภายนอกนั้นดวงตะวันเพิ่งจะลับหายไปหลังูเา ทำให้ความมืดค่อยๆ เข้าปกคลุมทั้งทุ่งหญ้าไว้
มือใหญ่ของชายหลังค่อมกุมด้ามมีดนั้นไว้ในมือแล้วออกแรงดึงออกมา เหล่าปานั้นทั้งแรงเยอะ ซ้ำยังมือนิ่ง เพียงพริบตาเดียวก็ดึงออกมาสำเร็จ เหตุการณ์ที่ตามมาก็ดังคาด เืสดๆ พลันพุ่งทะลักออกมา
หยาดเืพุ่งกระเซ็น บางส่วนกระเด็นไปโดนหน้าทารกน้อย โดนดวงตาคู่น้อยและโดนปากจิ้มลิ้มนั้น
เฉินโย่วน้อยตวัดลิ้นเลียริมฝีปากทีหนึ่ง ก็พบว่าเืของพี่ชายนั้นขมเหลือเกิน ขมเสียจนเด็กน้อยอย่างนางต้องเสียน้ำตา
ในกระแสความทรงจำของนางก็ราวกับว่ามีภาพเหตุการณ์เช่นนี้อยู่ เพียงแต่บนเตียงนั้นกลับเป็ร่างของสตรีนางหนึ่งนอนอยู่ พร้อมกับเืโทรมกาย
เมื่อเหล่าปาดึงมีดออกมาแล้วก็ราดเหล้าลงไปบนแผลทีหนึ่ง จากนั้นก็โปะยาสมุนไพรให้เรียบร้อย ต่อจากนี้ก็เพียงรอความเมตตาจาก์เท่านั้น
เหล่าปานั่งเฝ้าอาลู่อยู่เกือบค่อนคืน
เมื่อเห็นว่าอาลู่ไม่มีสัญญาณว่าจะเป็ไข้ ก็สัปหงกหลับไป
ในยามกลางดึกนั้นอาลู่ตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด พร้อมกับความรู้สึกหนาวจับใจ ราวกับเืทุกหยดของตนนั้นไหลออกมาจากกายจนเหือดแห้งไปหมด ความหนาวเหน็บพลันจู่โจมั้แ่กระดูก ราวกับทุกส่วนในร่างกายนั้นจะกลายเป็น้ำแข็ง
ความอบอุ่นเดียวที่เหลืออยู่คือความอบอุ่นจากอุ้งมือของเขา เขากุมมือข้างน้อยๆ นั้นเบาๆ
มือของน้องสาวนั้นทั้งนุ่มนิ่ม ทั้งอบอุ่น
เดิมเหล่าปานั้นกลัวว่าเฉินโย่วนั้นอาจจะไปโดนาแของอาลู่ได้ จึงคิดจะอุ้มนางไปนอนตรงอื่น ทว่าอาลู่นั้นกุมมือน้องสาวไม่ยอมปล่อย เขาหมดหนทางจึงได้แต่ปล่อยให้เ้าตัวน้อยนอนข้างอาลู่ดังเดิม
อาลู่เพียงขยับมือเบาๆ เฉินโย่วน้อยก็ตื่นเสียแล้ว
นางไม่ได้ร้องไห้ออกมา เพียงแค่เบิกตามองพี่ชาย ดวงตาทั้งคู่ของนางดำทั้งขลับและมืดมิดราวกับสระกระดูก เพียงพริบตา เด็กหนุ่มก็พลันสะดุ้ง
เฉินโย่วน้อยรีบปิดตาทันใด แล้วจึงโถมศีรษะลงมาหนุนบนฝ่ามือของอาลู่ จากนั้นแพขนตาคู่น้อยนั้นก็ปิดลงอีกครั้งพร้อมกับดวงตาของนาง
จมูกน้อยๆ และริมฝีปากจิ้มลิ้มค่อยๆ พ่นลมร้อนเบาๆ ลงบนฝ่ามือเขา
น้องสาวเข้ามาใกล้อย่างเป็ธรรมชาติเหลือเกิน ซ้ำยังทำตัวราวกับเตาไฟ นางหนุนลงมาบนมือเขา เพื่อจะได้เข้าใกล้อ้อมกอดเขาที่สุด
ความหนาวพลันค่อยๆ สลายไป แล้วแทนที่ด้วยความอบอุ่น
ยามราตรีดึกสงัด
าแบนร่างกายก็ช่างเ็ป
อาลู่หลับตาลง
ฟังเสียงลมหายใจของเหล่าปาที่ผสานไปกับเสียงหัวใจที่ดังตึกตักของเขา
บัดนี้เขามีชีวิตรอดมาได้ อนาคตย่อมจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้
มองน้องสาวที่กำลังหนุนบนมือเขา ราวกับว่านางนั้นจะหลอมรวมไปกับอ้อมกอดของเขา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้