บทที่ 29 กฎที่ไร้ผล
“ทำไมศิษย์พี่หลัวถึงไม่พอใจศิษย์น้องกันเล่า” เสวี่ยอินอมยิ้มมองหลัวเจิน
แม้จะถูกจับได้ว่ามาทาบทามฉินชู แต่สีหน้าของเสวี่ยอินกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้เธอเองก็เคยทำเื่เช่นนี้มาก่อน ซ้ำยังทำจนชินไปแล้ว
“เ้าก็รู้ ว่ามันไม่ใช่เื่ง่ายที่ยอดเขาชิงจู๋จะมีอัจฉริยะเก่งๆ โผล่มาสักคน ขืนถูกเ้าทาบทามไป เ้าจะให้ยอดเขาชิงจู๋ตกอับแบบนี้ไปตลอดเลยงั้นหรือ ยอดเขาทั้งเจ็ดของสำนักชิงหยุนรับรู้ ว่าเขาเป็คนของยอดเขาชิงจู๋ หากถูกเ้าทาบทามไปยอดเขาเชียนหลัวสำเร็จ แล้วข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” หลัวเจินมองเสวี่ยอินด้วยสายตาไม่พอใจ
เสวี่ยอินได้แต่อมยิ้ม “ในเมื่อศิษย์พี่หลัวพูดถึงขนาดนี้แล้ว เช่นนั้นศิษย์น้องล้มเลิกความคิดก็ได้ เอาไว้วันหลังศิษย์น้องมาเชิญไปดื่มชา”
“หากเ้ายังคิดจะทาบทามต่อก็เชิญ!” หลัวเจินมองเหยียดเสวี่ยอิน ตอนที่เสวี่ยอินมาถึงผาหินตัดได้ไม่นาน เขาก็ตามมาติดๆ และได้ยินสิ่งที่ฉินชูพูดทั้งหมด ทำให้เขารู้ว่าเสวี่ยอินไม่มีทางทาบทามได้สำเร็จแน่
“ไม่แล้วเ้าค่ะ หมดความสนใจแล้ว” เสวี่ยอินหันกลับไปมองผาหินตัดอย่างเสียดายก่อนจะจากไป เธอรู้ดีว่าฉินชูเป็อัจฉริยะที่โดดเด่น ซ้ำยังเป็คนแน่วแน่ ทำให้เธอรู้สึกชื่นชมเป็ยิ่งนัก ในเวลาเดียวกันเธอก็เข้าใจดีว่าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ฉินชูก็คงจะอยู่ที่ยอดเขาชิงจู๋ไปตลอด
เมื่อเห็นเสวี่ยอินจากไป หลัวเจินก็รู้สึกวางใจ เหตุผลที่ทำให้เขาวางใจไม่ใช่การจากไปของเสวี่ยอิน แต่เป็ท่าทีของฉินชู
ณ ผาหินตัด
หลังจากเสวี่ยอินจากไป ฉินชูกินข้าวเย็นเสร็จก็เข้าฌานฝึกปราณต่อ เขาต้องบรรลุขั้นหนิงหยวนให้เร็วที่สุด จะได้มีพลังมากพอสำหรับการต่อสู้ครั้งถัดไป เพราะศิษย์สายในแตกต่างจากศิษย์สายนอกลิบลับ หลิ่วเจ๋อมีตบะอยู่ระดับสูงสุดของขั้นที่สาม ไม่นานก็จะได้เลื่อนขั้นเป็ศิษย์สายหลัก ไม่ว่านิสัยของเธอจะเป็อย่างไร แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอมีทักษะการต่อสู้ขั้นสูง
ฉินชูฝึกปราณจนกระทั่งรุ่งสาง และเมื่อฉินชูกำลังจะเดินหน้าขัดเกลาวิชากระบี่พื้นฐานต่อ เอ้อพั่งกับไป๋อวี้ก็มาหา
“ทำไมพวกเ้าถึงมาที่นี่ มีเื่งั้นหรือ” ฉินชูเก็บกระบี่
“ลูกพี่ ข้าส่งคนไปสืบข้อมูลมาและได้รู้เื่ที่ไม่ค่อยดีเท่าไร นางหลิ่วเจ๋อคนนั้นมีเส้นสายอยู่เื้ัไม่น้อย นอกจากผู้าุโระดับสามอย่างจางจี้แล้ว ลูกพี่ลูกน้องของหลิ่วเจ๋อที่ชื่อว่า หลิ่วหนาน กับว่าที่สามีของนางล้วนเป็ลูกศิษย์สายหลักแห่งยอดเขาชิงหยุน ซึ่งหลิ่วหนานมีศักดิ์เป็ถึงหนึ่งในผู้สืบทอดแห่งเมืองเชียนหลิ่ว ได้เข้าเป็ศิษย์สายหลักั้แ่สามปีที่แล้ว ไหนจะว่าที่สามีของนางอีก ภูมิหลังของเ้าหมอนี่ไม่ธรรมดาเช่นกัน ว่ากันว่าเป็ถึงลูกศิษย์ของเ้าสำนัก เป็เพราะมีเส้นสายไม่ธรรมดาคอยหนุนหลัง จึงทำให้หลิ่วเจ๋อมีนิสัยชอบข่มเหงผู้อื่น หากนางแพ้ที่ศึกประลองยุทธ์เป็ตายขึ้นมา พวกเราจะยิ่งมีปัญหาใหญ่ขึ้นกว่าเดิมแน่นอน หลิ่วหนานคนนั้นจะต้องไม่อยู่เฉยเป็แน่ ส่วนว่าที่สามีของนาง ถึงแม้จะแต่งงานกับนางเพื่อผลประโยชน์ก็ตาม ปกติดูเหมือนไม่ค่อยใส่ใจนางเท่าไร แต่ถ้าหากนางแพ้ แน่นอนว่าจะต้องส่งผลต่อภาพลักษณ์ และเพื่อภาพลักษณ์แล้ว เขาจะต้องทำอะไรสักอย่างแน่นอน” ไป๋อวี้พูดขึ้น
หลังจากได้ยิน ฉินชูคิดว่าข้อมูลนี้สำคัญเป็อย่างมาก แต่ในเมื่อหลิ่วเจ๋อเป็ฝ่ายรังแกเขาก่อน เขาเองก็ไม่มีทางทนอยู่เฉยแน่นอน
“สำนักมีขื่อมีแป ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเขาทำตัวตามอำเภอใจได้ อีกอย่างไม่ว่าจะเป็ใครหน้าไหนที่คิดรังแกพวกเรา พวกเราจำเป็ต้องเอาคืน ข้าจะยังคงเดินหน้าเอาเื่หลิ่วเจ๋อต่อไป หากมีเื่ไม่ดีเกิดขึ้น ข้าจะรับเอาไว้เอง” สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ฉินชูก็พูดแสดงจุดยืนออกมา เขาไม่มีทางหดหัวเพียงเพราะเหตุผลแบบนี้แน่นอน
“เช่นนั้นก็ตามนั้น พวกเราจะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับลูกพี่” ไป๋อวี้พูดขึ้น
“ลูกพี่ เป็เพราะมีลูกพี่อยู่ พวกเราศิษย์รับใช้ถึงได้มีเกียรติมีศักดิ์ศรีขึ้นมา ดังนั้นพวกเราทุกคนก็ไม่กลัวเช่นกัน” เอ้อพั่งพูดตาม
ก่อนไป๋อวี้กับเอ้อพั่งจากไป ฉินชูได้สั่งให้พวกเขาสืบข้อมูลของว่าที่สามีของหลิ่วเจ๋อเพิ่มเติมมาอีก เพราะเขาไม่อยากตกเป็เป้านิ่งของคนที่ไม่รู้ลึกตื้นหนาบาง
ไป๋อวี้กับเอ้อพั่งจากไปได้ไม่นานก็กลับมาที่ผาหินตัดอีกครั้ง “ลูกพี่ มีคนมาหาลูกพี่ที่ด้านนอกหอศิษย์รับใช้”
“ใคร” ฉินชูเก็บกระบี่ลง
“คนของหลิ่วเจ๋อ” ไป๋อวี้ตอบ
ฉินชูจัดแจงเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ให้เป็ระเบียบ ก่อนมุ่งหน้าไปที่หอศิษย์รับใช้
ด้านนอกหอศิษย์รับใช้ มีผู้ดูแลของยอดเขาชิงจู๋สองคนยืนประจันหน้ากับชายหนุ่มคนหนึ่ง ชายหนุ่มในชุดคลุมเรียบหรูยืนเอามือไพล่หลัง ท่าทางวางตัวสูงส่งและเย่อหยิ่ง
“หลิ่วหนาน ที่นี่คือยอดเขาชิงจู๋ ไม่ใช่สถานที่ที่เ้าจะบุกเข้ามาได้ตามใจชอบ” ผู้ดูแลแห่งยอดเขาชิงจู๋เอ่ยปากพูด
“ข้าบุกเข้ามางั้นหรือ ข้าเพียงแค่จะมาพูดคุยสองสามประโยคเท่านั้น” ดวงตาของชายหนุ่มที่ประจันหน้ากับผู้ดูแลฉายแววชั่วร้ายอำมหิตขึ้นรำไร
ผู้ดูแลเลื่อนมือไปแตะที่ด้ามกระบี่ทันที “หากคนที่เ้า้าพบ ้าจะเจอเ้าก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ เ้าก็อย่าหวังว่าจะได้เจอ”
ในกรณีทั่วไป เหล่าผู้ดูแลตามแต่ละยอดเขาจะไม่ทำตัวมีปัญหากับพวกศิษย์สายหลัก แต่สถานการณ์ของยอดเขาชิงจู๋ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะหลัวเจินสั่งไว้ว่าห้ามบุคคลภายนอกเข้ามาสร้างความปั่นป่วนที่หอศิษย์รับใช้
“ฉินชูผู้นั้นอวดเก่ง ไปท้าสู้กับศิษย์สายนอกกับศิษย์สายในมาไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้หดหัวแล้วล่ะ” ชายหนุ่มพูดขึ้น
“หลิ่วหนาน ฉินชูจะเก่งหรือไม่ หลังจากสู้เสร็จคงได้รู้กัน แต่ไม่ว่าเ้าจะพูดอะไรตอนนี้ก็ไม่มีความหมายทั้งนั้น” คำพูดระคายหูทำเอาผู้ดูแลเริ่มโมโห
“ใครมาหาข้า” ฉินชูปรากฏตัวขึ้นมา เขาไม่มีทางปล่อยให้คนอื่นออกหน้าปกป้องเขาแน่
“เ้าคือฉินชู?” หลิ่วหนานในชุดคลุมสีเขียวอ่อนมองฉินชูด้วยสายตาเหี้ยมโหดรำไร
ฉินชูพยักหน้าและมองชายหนุ่มคนนี้อย่างไม่เกรงกลัว ฉินชูรู้แล้วว่าเขาเป็อะไรกับหลิ่วเจ๋อ
“วันนี้ข้ามาเพื่อพูดคุยกับเ้าสักเล็กน้อย จงไปขอโทษหลิ่วเจ๋อที่ยอดเขาหลักเสีย จากนั้นก็ไปคุกเข่าสำนึกผิดที่หน้าประตูสำนัก โทษฐานที่เ้าเสนอหน้าไปท้าทายยอดเขาหลัก จงทำตามนี้ แล้วเ้าจะมีชีวิตรอดปลอดภัย” หลิ่วหนานพูดกับฉินชู
“พูดจบหรือยัง ถ้าพูดจบแล้วก็ไปให้พ้นๆ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินชูก็ไม่มีความจำเป็ที่จะพูดคุยต่อ เพราะพูดไปก็เท่านั้น มีเพียงต้องสู้เพียงอย่างเดียวถึงจะจบ ต่อให้ตอนนี้จะยังสู้อีกฝ่ายไม่ได้ก็ตาม
ตอนนี้ผู้ชายในชุดคลุมผ้าแพรคนหนึ่งก็ได้พูดขึ้นแทรก “คนที่คิดตั้งตัวเป็ปรปักษ์กับเฉียนชิงอย่างข้า อย่าหวังจะได้ตายดี และยิ่งไม่ต้องหวังว่าจะมีสิทธิ์เรียกร้องวิธีตายของตัวเอง หลิ่วหนาน ไม่ต้องมาเสียเวลากับคนพวกนี้หรอก”
ผู้ชายชุดผ้าแพรกวาดมองฉินชู ก่อนเรียกหลิ่วหนานกลับไป
เมื่อได้ยินเสียงของผู้ชายในชุดผ้าแพรคนนั้น ผู้ดูแลของยอดเขาชิงจู๋ถึงกับหน้าถอดสีฉับพลัน หนึ่งในบุคคลระดับสูงจากยอดเขาหลักถึงกับออกโรงเอง ซ้ำยังไม่คิดจะใช้เหตุผลพูดคุย
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ฉินชูก็ยกมือซ้ายขึ้นมาที่หน้าอกและกำมือแน่น “ไม่มีใครมารังแกข้าได้ ไม่มีใครมาดูิ่ข้าได้”
ไป๋อวี้รีบลากฉินชูกลับเข้าหอศิษย์รับใช้ “ข้ารู้จักภูมิหลังของเฉียนชิงคนนี้ดี คนคนนี้เป็ถึงผู้ปกครองเขตพื้นที่จากราชวงศ์เฉียน เป็คนจากตระกูลเชื้อพระวงศ์ เพราะมีแต่คนจากตระกูลเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่ใช้แซ่เฉียน”
“ไม่ว่าเขาจะเป็ใคร หากเขาดูถูกข้า ข้าจะเอาให้ถึงตาย” ใบหน้าของฉินชูเต็มไปด้วยความโกรธ เขาเกลียดสายตาดูถูกของคนอื่นยิ่งนัก ดีที่เขาพอจะควบคุมสติตัวเองได้ ไม่งั้นคงพุ่งเข้าใส่ไปแล้ว
“ลูกพี่อาจจะยังไม่รู้ ผู้าุโที่จับหลิ่วเจ๋อขังหนึ่งเดือนและคิดจะขับไล่หลิ่วเจ๋อออกจากสำนักถูกเก็บไปเรียบร้อยแล้ว กฎทั้งหลายล้วนไม่เป็ผลกับคนพวกนี้” ไป๋อวี้พูดเตือนฉินชู