แต่ว่าฟังไม่รู้เื่
ชีวิตในฝันของชวีเสี่ยวปอ คงจะสามารถสรุปออกมาได้ภายในแปดคำนี้
กิน ดื่ม เที่ยว เล่น ล่องลอย กิน และ รอวันตาย
ทว่าประโยคที่เซี่ยเจิงพูดว่า “ออกจากสิ่งที่เป็อยู่ในตอนนี้” ชวีเสี่ยวปอกลับไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันสักเท่าไหร่ แต่ฟังดูแล้วเหนื่อยมากเลยทีเดียว
ออกจากที่ไหน
ออกไปได้ไหม?
ต้องแลกกับอะไรบ้าง?
ผลที่เกิดจะเป็ไปตามที่คาดหวังไว้หรือเปล่า?
แล้วก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ ตัวเขาเองจะทำได้ไหม?
ภายใต้ความสับสนเหล่านี้ ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าคำว่า “การทำลายสภาพที่เป็อยู่ในตอนนี้” มันช่างเป็ความยากลำบากที่หนักอึ้ง ถึงแม้ว่าสภาพในตอนนี้จะเรียกได้ว่าแย่มาก แต่ตัวเขาเองก็ไม่เคยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงมันเลยแม้แต่น้อย
แต่พอวันนี้เซี่ยเจิงพูดขึ้นมา ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่า แอ่งน้ำที่สงบนิ่งภายในจิตใจของเขาก็ถูกกวนจนเกิดเป็ระลอกคลื่นขึ้นมา
ทุกคำถามที่เซี่ยเจิงถามออกมาล้วนเป็เหมือนกับค้อนเล็กๆ ที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นมาจากไหนเข้ามาทุบตีบนตัวเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่ามันจะไม่ได้เบาหรือแรงมากนัก แต่ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกราวกับว่าสักแห่งบนร่างกายของเขาถูกตีจนเกิดเป็รอยแตก จากนั้นแสงสว่างจากภายนอกก็ส่องทะลุผ่านรอยแตกอันน้อยนิดเข้าไปถึงในหัวใจของเขา
“นายไม่เคยคิดเื่พวกนี้มาก่อนเลยเหรอ? ” เซี่ยเจิงถามออกไปเสียงเบา “ถ้างั้นก็เริ่มจากคำถามที่ง่ายที่สุดก่อนก็แล้วกัน นายอยากสอบเข้ามหาลัยไหน? ”
“นายก็ยังไม่เข้าใจฉันอยู่ดี” ชวีเสี่ยวปอฝืนยิ้มพร้อมทั้งบีบนิ้วตัวเองไปด้วย “คำถามนี้มันยากเกินไปสำหรับฉัน นายควรถามว่า คะแนนฉันเป็แบบนี้มหาลัยไหนเขาจะรับฉันมากกว่า”
“งั้นนายก็คิดแค่ว่าจะรวมใบคะแนนให้จบๆ ไปก็พอแล้วเหรอ? ”
ไม่รู้ว่าทำไม ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าคำถามที่เซี่ยเจิงถามออกมาอย่างติดต่อกันนั้น มันช่างบีบบังคับให้เขาหายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียเลย แต่เขากลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเซี่ยเจิงไม่ได้มีเจตนาร้าย และยิ่งไม่ได้ตั้งใจทำให้เขาไม่เป็ตัวของตัวเองเช่นนี้
“ไม่ใช่” ชวีเสี่ยวปอมองเขา แต่กลับไม่เห็นเซี่ยเจิงแสดงสีหน้าอะไรออกมา เขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่าควรจะเริ่มพูดจากตรงไหนก่อน พอเข้าอ้าปากขึ้นมาก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่จะอธิบายออกไป
“หรือว่ารับ่ต่อธุรกิจของพ่อนาย? ” เซี่ยเจิงลองคิดดู แล้วพูดเสริมออกไปแทนเขา
“จะเป็ไปได้ยังไง” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะเยาะตัวเอง พอพูดถึงเื่นี้ขึ้นมาเขาเองก็ลำบากใจอยู่ไม่น้อย “นายคงจะยังไม่ค่อยรู้ว่า......เมียหลวงกีดกันเมียน้อยเขาทำกันยังไง”
“ฉันไม่ควรพูดถึงเื่นี้เลย” เมื่อเซี่ยเจิงได้ยินเช่นนั้น หัวใจเขาก็กระตุกสั่นขึ้นมา
“ไม่เป็อะไรหรอก” ชวีเสี่ยวปอส่ายหน้า “มันคือความจริง”
เมื่อพูดถึงเื่นี้จู่ๆ ทั้งสองคนก็เงียบขึ้นมาทันที ชวีเสี่ยวปอดื่มน้ำโค้กอึกสุดท้ายลงไปอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งปัดฝุ่นที่กางเกงออก
“ไปกันเถอะ กลับห้องเรียนกัน”
แต่หลังจากผ่านไปหลายนาที เซี่ยเจิงก็ไม่มีท่าทีที่จะขยับเขยื้อนเลย
ชวีเสี่ยวปอก็ยืนรอเขาอย่างเงียบๆ จนกระทั่งเซี่ยเจิงพูดขึ้นมา
“แล้วนายชอบหรือเปล่า? ”
ในคาบเรียนด้วยตัวเองภาคค่ำทั้งสองคนค่อนข้างที่จะเงียบด้วยกันทั้งคู่ เงียบถึงขนาดที่ว่าชวีเสี่ยวปอได้ยินเสียงพึมพำของเจียงอี้หยางที่นั่งอยู่ด้านหลังว่า “เขาสองคนทะเลาะกันอีกแล้วเหรอเนี่ย” แต่ชวีเสี่ยวปอไม่มีแรงที่จะไปอธิบายเื่นี้ให้เจียงอี้หยางฟังสักเท่าไหร่ เพราะว่าตลอดทั้ง่เย็นในหัวสมองของเขาก็อัดแน่นเต็มไปด้วยคำพูดของเซี่ยเจิงประโยคนั้น
วนเวียนไม่ยอมไปไหน
“นายชอบหรือเปล่า? ”
“ชีวิตที่ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วทุกอย่างแบบนี้ นายชอบมันไหม? ”
ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็พบว่า เขาและเซี่ยเจิงมีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน......เมื่อก่อนเขาเพียงแต่รู้สึกว่าเซี่ยเจิงเป็คนที่คิดมากชอบคิดแล้วคิดอีก โดยเฉพาะหลังจากที่รู้เื่ราวอันเลวร้ายของครอบครัวเขาแล้ว มันยิ่งทำให้เขารู้ว่าการที่เซี่ยเจิงเขาต้องอดทนอดกลั้นและต้องโตเป็ผู้ใหญ่มากกว่าคนที่อยู่ในวัยเดียวกันนั้นล้วนมีคำอธิบายเอาไว้อย่างดี แต่ในตอนนี้ชวีเสี่ยวปอกลับรู้สึกว่า สิ่งเ่าั้สำหรับเซี่ยเจิงแล้วมันดูเหมือนจะเป็สัญชาตญาณของเขาเสียมากกว่า
การเลือกโดยใช้สัญชาตญาณของเซี่ยเจิง เขา้าที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายที่ชัดเจนของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างที่จะมั่นใจกับความสำเร็จในอนาคตของเขา
แต่สิ่งเหล่านี้ เป็สิ่งชวีเสี่ยวปอไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนเลย
คำพูดเหล่านี้ของเซี่ยเจิงล้วนกระตุ้นความสงสัย......และความหวาดหวั่นของชวีเสี่ยวปอได้เป็อย่างดี
และมันทำให้เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี
ดังนั้น เมื่อกริ่งเลิกเรียนคาบเรียนด้วยตัวเองภาคค่ำดังขึ้น ชวีเสี่ยวปอจึงไม่ได้ะโโลดเต้นด้วยความดีใจเหมือนอย่างทุกที แต่เขากลับหยิบกระเป๋าขึ้นมาและกำลังจะเดินออกจากห้องเรียนไปอย่างเหนื่อยหน่าย
“ท่าทางนายเป็แบบนี้ ฉันกลัวว่าตอนลงบันไดเดี๋ยวนายจะตกลงไปเอาน่ะสิ” เซี่ยเจิงดึงเขาไว้จากทางด้านหลัง โดยจับแขนเสื้อของเขาเอาไว้อยู่ “รอฉันด้วย ไปพร้อมกัน”
“ไม่ใช่เพราะนายเอาแต่พูดไม่หยุดเหรอ” ชวีเสี่ยวปอเขม่นตาใส่เขา “ถ้าฉันได้ต่อยนายสักหมัดอาจจะรู้สึกคึกคักขึ้นมาหน่อยก็ได้นะ”
“มา ต่อยมาเลย” เซี่ยเจิงยื่นหน้าไปให้เขา แล้วใช้เสียงที่ได้ยินเพียงแค่สองคนพูดออกไปว่า : “เลิกคิดได้แล้ว นายทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมาตลอดทั้งเย็นแล้วนะ นายไม่รู้เหรอว่านายถอนหายใจจนฉันจะร้องไห้ไปด้วยแล้วเนี่ย? ”
ชวีเสี่ยวปอผงะไปชั่วขณะ แล้วเขาก็ส่งเสียง “เฮ้” ออกมา เขาอยากที่จะพูดอะไรสักอย่าง แต่เขาก็รู้สึกว่าไม่ว่าจะพูดอะไรมันก็ไม่เหมาะไปซะหมด ดังนั้นเขาจึงส่งเสียงเรียกยาวออกมาอีกครั้ง
ทว่าอารมณ์ของเขาดีขึ้นมากกว่าเมื่อครู่นี้อย่างเห็นได้ชัด
ว่าแต่ทำไมเซี่ยเจิงถึงควบคุมสวิตช์อารมณ์ของเขาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ เื่นี้เขาต้องเก็บเอาไปคิดดูอย่างละเอียดสักหน่อยแล้วละ
แต่อย่างน้อยเขาก็รู้สบายใจขึ้นมาในชั่วพริบตา
ทั้งสองคนก็เดินไหล่ชนไหล่ออกจากห้องเรียนมาพร้อมกัน แต่ในขณะที่เพิ่งจะเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงะโมาจากด้านหลังว่า :
“เซี่ยเจิง !”
ทั้งสองคนหันหน้าไปดูพร้อมกัน แล้วจึงเห็นเซี่ยเจิงกำลังวิ่งเหยาะๆ มาตามระเบียงทางเดิน จากนั้นก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งคู่
ถ้าจะพูดให้ถูกคือ ยืนตรงหน้าเซี่ยเจิง
ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอปรับสีหน้าของตัวเองพร้อมทั้งก้าวออกไปยืนอยู่ด้านข้าง กอดอกยืนมองพวกเขาทั้งสองคน
ถึงยังไงเซี่ยเจิงก็ไม่ได้เรียกเขา ใช่ไหม
“ชวีเสี่ยวปอ นายก็อยู่ด้วยเหรอ”
เอ่อ เรียกแล้ว
“อ๋อ อืม” ชวีเสี่ยวปอจึงจำต้องเดินไปอย่างทำตัวไม่ถูก นึกถึงครั้งก่อนที่เขาทั้งสามคนยืนอยู่ด้วยกัน จริงๆ มันก็เป็ตอนที่เขาแอบฟังเซี่ยเจิงสารภาพรักนั่นแหละ และในตอนนั้นเองชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ขึ้นมานิดนึงแล้ว “มาหาเขามีเื่อะไรเหรอ? ”
หลังจากพูดจบเขาก็รู้สึกว่าความไม่สบอารมณ์ของเขาได้เพิ่มระดับขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เกี่ยวอะไรกับตัวเองด้วย! เซี่ยเจิงยังไม่ได้เปิดปากพูดอะไรเลย แล้วทำไมเขาต้องพูดขึ้นมาด้วยเนี่ย!
“นิดหน่อยน่ะ” เซี่ยเจิงยิ้มแบบเม้มปาก จึงทำให้ลักยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเธอ จากนั้นเธอก็พูดอย่างเขินอายออกไปว่า : “คือว่า พรุ่งนี้วันเกิดฉัน ฉันจัดงานปาร์ตี้ด้วย นายมาได้ไหม? ”
“ชวีเสี่ยวปอนายก็มาด้วยสิกัน” เซี่ยเจิงเอียงศีรษะมองไปที่เขา
ได้
ท่าทีตอบกลับแรกของชวีเสี่ยวปอคือหันไปมองเซี่ยเจิง แต่บลูทูธของอีกฝ่ายกลับไม่เชื่อมต่อเข้ากับเขา ทั้งยังไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด
“ห้ามปฏิเสธนะ” เซี่ยเจิงไม่รอให้เซี่ยเจิงพูดขึ้นมา ก็รีบเสริมขึ้นมาทันที เหมือนกับกลัวว่าตัวเองจะได้รับคำตอบที่ไม่พอใจอย่างไงอย่างนั้น
“ก็ได้” เซี่ยเจิงพยักหน้าอย่างไม่มีทางเลือก “ฉัน......พวกเราไปอยู่แล้ว” ในตอนนั้นเซี่ยเจิงถึงจะหันมามองชวีเสี่ยวปอครั้งหนึ่ง แต่อีกฝ่ายตอบกลับเขามาด้วยการกลอกตาใส่
“โอเค งั้นพรุ่งนี้ฉันจะรอนายนะ !” เซี่ยเจิงยิ้มร่าพร้อมทั้งเดินถอยหลังออกไปสองก้าวก่อนที่หันหลังและวิ่งออกไป
จากนั้นจึงเห็นเงาของเซี่ยเจิงหายลับไปตรงทางลงบันได ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอก็บีบไหล่ของเซี่ยเจิงอย่างแรง
“นายหึงเหรอ? ” เซี่ยเจิงมีความสุขขึ้นมาทันที
“หึงบ้านนายสิ ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอแล้ว นายจั๊กจี้ตรงไหล่หรือไง? ” จากนั้นชวีเสี่ยวปอก็พึมพำออกมาเสียงเบาอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ “เธอก็ฉลองวันเกิดด้วยเหรอเนี่ย”
“อะไรนะ? ” เซี่ยเจิงได้ยินไม่ชัด
“ไม่มีอะไร” ชวีเสี่ยวปอะโออกมาราวกับว่ากำลังระบายความโกรธ “นี่มันอะไรกันเนี่ย! ฉันไม่อยากไป”
“เมื่อกี้นายยังบอกอยู่เลยว่าไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว” เซี่ยเจิงชำเลืองมองเขาไปครั้งหนึ่ง “ถ้างั้นทำไมถึงไม่ไป”
ทันทีที่คำพูดประโยคนี้ของเซี่ยเจิงลอยเข้ามาในหูของชวีเสี่ยวปอ เขาก็รู้สึกว่าแฝงการยั่วยุแฝงเอาไว้อย่างบอกไม่ถูก ราวกับจะบอกว่าเขาไม่มีความกล้าพอที่จะไป
“อารมณ์เสีย !” ชวีเสี่ยวปอะโออกมา “นายดูไม่ออกเหรอว่าเธออยากเชิญนาย แต่เห็นฉันยืนอยู่ข้างๆ นาย เลยชวนไปอย่างนั้นแหละ”