หญิงสาวมองผู้เป็พ่อกินอาหารมื้อเย็นด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นว่าบิดากินอาหารได้มากนางก็พลอยเบิกบาน เพราะนี่เป็หน้าที่ของลูกสาวอย่างนางที่ต้องดูแลปรนนิบัติผู้ให้กำเนิดอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“นั่งมองพ่อกินแล้วเ้าจะอิ่มหรือไม่”
“เห็นท่านพ่อกินข้าวได้มาก ลูกก็พลอยอิ่มไปด้วย”
“เ้าทำอะไร พ่อก็กินทั้งนั้นละ” ผู้เป็บิดาส่ายหน้าไปมา แต่ลูกสาวทำหน้าโอดครวญ
“ท่านพ่อนี่ขี้เหนียวจริง จะชมฝีมือการทำอาหารของลูกสักคำมิได้หรือไร”
“เ้าก็ย่อมรู้อยู่ว่าฝีมือทำอาหารของเ้าไม่ธรรมดา” ผู้เป็พ่อพูดน้ำเสียงเนิบช้า แต่ลอบมองบุตรสาวด้วยความรักใคร่เอ็นดู “หลายปีมานี่ ลำบากเ้าจริงๆ”
“ลูกบ่นลำบากรึ” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส “ลูกโชคดีที่มีท่านพ่อเช่นท่าน”
“พูดจาเอาใจพ่ออย่างนี้ จะเอาอะไรจากพ่อเล่า”
“ท่านพ่อ ไยท่านคิดเช่นนั้นเล่า ลูกก็แค่เป็ห่วงท่านพ่อ วันทั้งวันต้องเคี่ยวยา ไหนจะต้องตรวจคนเจ็บป่วยอีก ลูกก็อยากให้ท่านพ่อได้พักผ่อน กินข้าวอิ่มท้องก็เท่านั้นเอง”
“เอาละ ยังไงเื่อาหารการกินของพ่อก็อยู่ในมือเ้าอยู่แล้ว ไหนเ้าบอกมาซิว่าเ้าอยากได้อะไร”
“ท่านพ่อพูดตรงเกินไป” หญิงสาวหัวเราะแก้เขินที่บิดารู้ทัน “ลูกแค่อยากจะ...”
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดจบประโยค เสียงเอะอะอยู่หน้าบ้านก็เรียกสายตาของสองพ่อลูกให้หันไปทิศทางของเสียง
“ไม่ทราบว่าท่านหมอมู่อยู่หรือไม่”
สองพ่อลูกหันมามองหน้ากัน คนเป็หมอเลือกเวลารักษาไม่ได้ หากมีคนเจ็บคนป่วยมาก็ต้องรีบรับไว้ มันเป็ความเคยชินที่หญิงสาวคุ้นเคยดี นางจึงลุกขึ้นหมายจะเดินไปเปิดประตู แต่บิดาห้ามไว้ก่อน
“มันค่ำแล้ว เ้าออกไปไม่ดีนัก เ้าเก็บสำรับอาหารก่อนเถิด พ่อจะออกไปดูเอง”
“เ้าค่ะ”
มู่ฟางเหนียงมองแผ่นหลังของบิดาเดินออกไปแล้ว ตนเองจึงจัดการเก็บสำรับอาหารที่แทบจะไม่มีอะไรเหลือแล้วไปไว้ในครัว ั้แ่จำความได้ นางก็หัดทำอาหารของกินเล็กๆ น้อยๆ คอยช่วยดูแลบิดามาตลอด เหตุเพราะท่านแม่จากไปั้แ่นางยังเด็ก บิดามีนางเป็บุตรสาวเพียงคนเดียว สองพ่อลูกร่อนเร่ไปเรื่อย ด้วยท่านพ่อของนางคือ ท่านหมอมู่หยางซัว ฉายา หมอเทวดาไร้เงา เหตุเพราะท่านพ่ออยู่ไม่เป็หลักแหล่ง ทั้งเพื่อช่วยผู้คนและหาความรู้เพิ่มเติม ทำให้ท่านพ่อกระเตงนางไปทั่วสารทิศ นางเองก็พลอยเป็ลูกมือของท่านพ่อศึกษาเรียนรู้วิชาแพทย์ไปด้วย การเล่นสนุกของนางจึงไม่เหมือนเด็กผู้อื่น นางคลุกคลีอยู่กับสมุนไพร รักษาสัตว์าเ็ เพียงสิบขวบนางก็ฝังเข็มเป็ ตอนนี้นางอายุสิบหก ความสามารถแม้ไม่เทียบเท่ากับบิดา แต่ก็ไม่ได้ด้อยจนทำให้บิดาต้องอับอาย
สองปีก่อนบิดาพานางมาที่ชายแดนแห่งนี้ด้วยได้ยินว่ามีา ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน นางไม่กลัวอันตราย ขอเพียงมีบิดาอยู่ด้วย ขึ้นเขาลงห้วยนางล้วนติดตามบิดาไปได้ทุกแห่งหน เมื่อมาถึงก็บังเอิญได้พบ เศรษฐีกู่หลิน เห็นว่าสองพ่อลูกเป็หมอที่มีเจตนาดีมาช่วยเหลือผู้เดือดร้อน จึงยกเรือนหลังเก่านี้ให้พักอาศัย ซ้ำยังดูแลเื่อาหารการกิน ทำให้ทั้งสองไม่ลำบากมากนัก หลังาสิ้นสุด เดิมทีท่านพ่อคิดจะเดินทางต่อ แต่เห็นว่ายังมีชาวบ้านที่้าหมอ อยู่ไกลเมืองหลวงเช่นนี้ไม่ค่อยมีหมอดีๆ หรือมีก็เก็บค่าตรวจรักษาค่อนข้างแพง บิดาจึงรั้งอยู่ต่อ เศรษฐีกู่หลินก็เห็นดีเห็นชอบ ยกเรือนหลังนี้ให้ท่านพ่อเปิดเป็โรงหมอเล็กๆ อยู่ไปอยู่มาจนถึงตอนนี้ก็เกือบสองปีแล้วกระมัง
“ฟางเหนียง พ่อต้องออกไปข้างนอกนะลูก”
เสียงบิดาทำให้นางตื่นจากภวังค์ รีบเช็ดมือแล้วเดินกลับเข้ามาเพื่อช่วยเตรียมล่วมยาให้ท่านพ่อ
“มีคนเจ็บหนักรึเ้าคะ” นางถามด้วยความกังวล
“เป็คนในจวนแม่ทัพจ้าว พ่อบ้านส่งรถม้ามารับพ่อ”
“จวนแม่ทัพจ้าว?” มู่ฟางเหนียงทวนในสิ่งที่ได้ยิน “ท่านพ่อให้ลูกติดตามไปด้วยนะ”
“ค่ำแล้ว เ้าพักผ่อนจะดีกว่า”
“อย่างไรลูกก็ต้องรอท่านกลับบ้านอยู่ดี สู้ให้ลูกติดตามไปด้วยมิดีกว่ารึเ้าคะ” นางยิ้มแย้มไม่แสดงอาการเหนื่อยหรือเบื่อหน่ายทำให้บิดาพยักหน้ารับ ตนเองก็เป็ห่วงลูกสาวที่ต้องอยู่บ้านตามลำพังอยู่แล้ว
หญิงสาวจึงรีบเตรียมล่วมยาแล้วเดินตามบิดาอย่างเรียบร้อย พ่อบ้านของจวนแม่ทัพมีท่าทีกระวนกระวาย พอเห็นสองพ่อลูกหมอเทวดาออกมาก็ยิ้มโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง คุณหนูของบ้านาเ็สาหัส ขนาดแพทย์ทหารก็ยังได้แต่ก้มหน้า มิอาจหาหนทางรักษาบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวได้ เขาจึงบากหน้ามาขอความเมตตาจากท่านหมอมู่
“เชิญท่านหมอ”
“คนเจ็บรออยู่ อย่าได้พิธีเยอะเลย รีบเดินทางเถิด”
“ขอรับ”
สองพ่อลูกขึ้นรถม้าเป็ที่เรียบร้อยแล้ว พ่อบ้านก็เร่งให้ม้าออกเดินทางอย่างรวดเร็ว มู่ฟางเหนียงไม่รู้ว่าตนกับพ่อจะไปรักษาผู้ใด แต่นางก็อยากไปจวนแม่ทัพจ้าวอยู่แล้ว เพราะอยากรู้ข่าวคราวของ ‘พี่หลิ่งหลิน’ ของนาง นางรู้เพียงแค่ว่าเคอหลิ่งหลินทำงานและพักอาศัยอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าว สองปีก่อนด้วยความอยากแบ่งเบาภาระบิดา นางขึ้นเขาหาสมุนไพรเองโดยมิได้บอกผู้เป็บิดา แต่นางเป็คนที่หลงทิศง่ายเหลือเกิน เป็ข้อด้อยที่แก้ไม่หายเสียที นางหลงป่าหาทางออกไม่ได้อยู่สามวันสามคืน แม้ทำใจแข็งกลั้นน้ำตาแต่ก็หวาดกลัวจนแทบเสียสติ บังเอิญได้พบกับเคอหลิ่งหลิน หญิงสาวที่อายุมากกว่าแต่นิสัยโผงผางเหมือนเด็กผู้ชาย ตอนนั้นนางกลัวจนแทบไม่มีแรงเดิน เคอหลิ่งหลินให้นางขี่หลังและแบกจากเขาลงมาส่งถึงมือบิดาของนางอย่างปลอดภัย นับั้แ่นั้นนางก็ได้พบเคอหลิ่งหลินบ่อยๆ และเรียกนางว่า ‘น้องสาว’ นางซึ่งเป็ลูกคนเดียวมานาน พ่อพารอนแรมแต่เด็กจึงไม่ค่อยมีเพื่อนนัก พอได้รู้จักกับเคอหลิ่งหลิน ก็เรียกนางว่า ‘พี่สาว’ เต็มปากและเต็มใจ ทำให้สองปีที่ได้อยู่ที่นี่ นางไม่เหงาเหมือนที่ผ่านมา
รถม้าจอดสนิทแล้ว สองพ่อลูกค่อยๆ ลงจากรถโดยมีคนรับใช้มาคอยช่วยถือสัมภาระให้ด้วยกิริยานอบน้อม หมอไม่ใช่อาชีพที่คนทั่วไปนับถือนัก แต่เมื่อเห็นกิริยาของคนรับใช้จวนแม่ทัพแล้ว แสดงว่าได้รับการอบรมมาดี มู่ฟางเหนียงเดินตามแผ่นหลังของบิดา คฤหาสน์หลังงามหรือแม้แต่บ้านไร้หลังคานางล้วนผ่านมาหมดแล้วจึงไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นออกไป มีเพียงท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เดินตามทางที่พ่อบ้านเดินนำไปถึงห้องพัก นางก็ได้ยินเสียงกลั้นสะอื้นของหญิงวัยกลางคน มู่ฟางเหนียงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความเข้าใจความรู้สึกนี้ คนบนเตียงนั้นคงเป็ที่รักของคนที่รายล้อมอยู่
หมอมู่หยางซัวยกมือประสานคารวะแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง แม่ทัพเพียงผงกศีรษะรับ
“เป็ข้าที่ต้องขอบคุณที่ท่านมากลางดึกเช่นนี้”
“คนเจ็บคนป่วยล้วนรอไม่ได้ ท่านแม่ทัพอย่าได้เกรงใจไปเลย”
หมอมู่หยางซัวเดินเข้าไปใกล้เตียงของคนเจ็บ เพราะอาการสาหัสจึงไม่มีม่านโปร่งบังตามธรรมเนียม ทว่าเพียงเห็นใบหน้าซีดเซียวของคนที่นอนหายใจรวยรินก็ต้องสะดุ้ง อาการตื่นใของท่านหมอมู่ทำให้ท่านแม่ทัพขมวดคิ้วด้วยเข้าใจว่าอาการของลูกสาวบุญธรรมคงหนักหนาแน่แล้ว
“ฟางเหนียง” มู่หยางซัวเรียกลูกสาว
“เ้าค่ะท่านพ่อ” นางเดินเข้าไปหาตามคำเรียก เพราะหลายครั้งที่คนเจ็บคนป่วยเป็หญิง นางจะได้รับหน้าที่จับชีพจรหรือตรวจวินิจฉัยแทนบิดา แต่พอเห็นหญิงสาวที่อยู่บนที่นอน นางก็อ้าปากค้าง
“พี่สาว” ฟางเหนียงทั้งใปนดีใจ ดีใจที่ได้พบและใที่นางอยู่ในห้องนี้ แสดงว่าฐานะของนางไม่ธรรมดาแน่นอน
“พวกท่านรู้จักลูกสาวของเรารึ” เสียงฮูหยินอี้ซิ่วถามพลางเช็ดน้ำตา
“ลูกสาว?” ฟางเหนียงถามอย่างลืมรักษามารยาท พอนึกได้ก็รีบอธิบาย “สองปีก่อนข้าน้อยขึ้นเขาไปหาสมุนไพรแล้วหลงป่าอยู่สามวันสามคืน ์เมตตาให้พี่หลิ่งหลินมาพบและช่วยพาข้าน้อยกลับบ้าน นับั้แ่นั้นพี่หลิ่งหลินก็มักมาหาเป็เพื่อนเล่นข้าน้อยเสมอเ้าค่ะ”
“นั่นแหละนาง นางเป็เช่นนี้เสมอ ชอบช่วยผู้อื่น แต่ไม่รู้คราวนี้ไปล่วงเกินผู้ใดเข้าจึงาเ็หนักเช่นนี้”
มู่ฟางเหนียงหันไปทางบิดา เพียงมองตาก็เข้าใจกัน นางจึงเชิญให้ทุกคนออกจากห้องพักนี้ไปก่อน
“ท่านพ่อ นี่จะเกี่ยวกับที่พี่หลิ่งหลินไปหาไข่มุกหมื่นราตรีหรือไม่” เมื่อไม่มีใครแล้วนางก็รีบพูดอย่างร้อนใจ
“สงบใจหน่อยเหนียงเอ๋อร์” ผู้เป็พ่อปรามเบาๆ “อาการาเ็คล้ายกับที่ต้าซื่อเคยได้รับมา แต่ดูเหมือนนางจะโดนพิษ มาเถอะ เ้าช่วยพ่อจับชีพจรนางก่อน”
“เ้าค่ะ” หญิงสาวนั่งลงตรวจชีพจร อธิบายอาการให้บิดาฟัง
“น่าจะเกิดจากพิษของไข่มุกหมื่นราตรี”
“มียารักษาหรือไม่เ้าคะท่านพ่อ”
คราวนี้บิดาเข้ามาตรวจอาการเองอีกครั้ง และก็ตรงกับที่ลูกสาวรายงานไป “โชคดีที่พิษถูกสกัดจนกระอักออกมาบางส่วนแล้ว เราช่วยนางขับพิษที่เหลือก็น่าจะปลอดภัย”
“เช่นนั้นแล้วเหตุใดบรรดาแพทย์ทหารจึงรักษามิได้ล่ะเ้าคะท่านพ่อ”
“ก็มิใช่ทุกคนที่จะรู้จักพิษไข่มุกหมื่นราตรี เราต่างเคยได้ยินสรรพคุณของไข่มุกหมื่นราตรี แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าที่เ้าตัวหอยมุกนี้เคลือบพิษป้องกันตนเองไว้ นางไปนำไข่มุกหมื่นราตรีอย่างไรก็ต้องโดนพิษที่เปลือกของมันอยู่ดี”
“แต่ว่า...คนที่นำไข่มุกราตรีมารักษาคุณชายเฉินเป็ผู้หญิงที่มาจากเมืองหลวง พี่หลิ่งหลินหุนหันออกไปในคราวนั้นก็หายไปนานเกือบสิบวัน ข้าเองก็เป็ห่วงแต่จนใจจะออกตามหา ทีแรกก็คิดว่าจะขอร้องท่านพ่อให้มาลองสอบถามที่จวนแม่ทัพจ้าว ก็บังเอิญได้มาพบเสียก่อน” แต่ได้พบสภาพนี้ นางไม่ดีใจเลยสักนิด
“เอาเถอะๆ เ้าไปต้มยาให้พ่อก่อน พ่อจะฝังเข็มในนาง ให้เืลมไหลเวียนเป็ปกติ”
“เ้าค่ะ”
หญิงสาวรับคำสั่งแล้วหยิบล่วมยาของท่านพ่อออกมา หน้าห้องมีคนรอฟังอาการด้วยความกระวนกระวายใจ
“พี่สาว เอ๊ย! ท่านหญิงถูกพิษไข่มุกหมื่นราตรี ข้าน้อยต้องไปต้มยาให้ท่านหญิง ขอโปรดให้คนนำทางด้วยเ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็มีหนทางรักษาแล้วละสิ” ฮูหยินอี้ซิ่วเช็ดน้ำตา “ชุนเอ๋อร์ เ้าไปช่วยแม่นางน้อยต้มยาให้คุณหนูที”
“เ้าค่ะ ฮูหยิน”
ชุนเอ๋อร์รับคำสั่งแล้วพามู่ฟางเหนียงไปทางห้องครัวเพื่อจะได้ต้มยาให้คุณหนู นางคอยช่วยเหลือมู่ฟางเหนียงทุกอย่างด้วยความเต็มใจ ซึ่งน้อยครั้งนักที่มู่ฟางเหนียงจะได้เจอ เพราะแค่พูดว่าเป็หมอหญิงแล้ว คนทั่วไปก็มักมองอย่างดูแคลน นางชินเสียแล้ว แต่ขณะเดียวกันนางเองก็ได้พบน้ำใจมากมายตอบแทนการดูแลพวกเขายามเจ็บไข้
“เอ่อ พี่สาว...ท่านหญิงาเ็ได้อย่างไรเ้าคะ” นางลองถามดู
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ชุนเอ๋อร์เป็หญิงรับใช้ประจำตัวเคอหลิ่งหลิน พูดแล้วก็ถอนหายใจหนักๆ “คุณหนูของข้าชอบออกไปนอกจวน ทำอะไรมิมีใครรู้ใครเห็น ก่อนไปข้าก็รั้งคุณหนูไม่ทัน นางเพียงแค่ยิ้มแล้วบอกว่าจะรีบกลับมา แต่ไม่คิดว่าคุณหนูจะกลับมาสภาพเช่นนี้”
“ท่าทางพี่สาวจะรักคุณหนูมากนะเ้าคะ”
“ถ้าข้าเจ็บแทนได้ข้าก็ยินดี ข้าเองก็ได้คุณหนูช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะถูกขายไปอยู่ที่ไหน ไม่ได้กินอิ่มนอนหลับมีเสื้อผ้าใส่เช่นนี้หรอก”
“อืม” มู่ฟางเหนียงพยักหน้ารับ หูฟังแต่มือก็ง่วนอยู่กับการเคี่ยวยา มิผิดหรอก คนดีๆ อย่างพี่เคอหลิ่งหลินต้องปลอดภัยแน่นอน
“พี่สาวเ้าคะ ข้ารบกวนท่านนำน้ำร้อนสักอ่างไปให้ท่านพ่อของข้าที ข้าเคี่ยวยาอีกสักครู่จะตามไป”
“ได้ๆ ข้าจะนำน้ำร้อนไปก่อน เดี๋ยวข้าจะมารับเ้านะ เ้าไม่เคยเข้าจวนเดี๋ยวจะหลงทาง”
“เ้าค่ะ”
พอพูดว่าหลงทาง นางก็ยิ้มฝืนไปทันที ข้อด้อยที่สุดของนางคือนิสัยหลงทิศและจำทางไม่ได้นี่แหละ
ตอนที่ยังเด็กกว่านี้ นางมักหลงทางอยู่บ่อยๆ แม้จะพยายามจดจำแค่ไหน ระยะทางใกล้หรือไกลนางก็หลงอยู่เสมอ พ่อจะถักสร้อยร้อยกระพรวนใส่ข้อมือให้ อย่างน้อยก็ได้ยินเสียงเวลาที่นางเดินไปไหนมาไหน นางฝึกฝนท่องตำรายาและจดจำการกดจุดฝังเข็มได้อย่างแม่นยำ ทว่ากลับหลงทางง่ายยิ่งกว่าเด็กเจ็ดแปดขวบเสียอีก ยิ่งพยายามก็รู้สึกว่ายิ่งทำให้แย่ลง แอบบำรุงตัวเองด้วยสมุนไพรแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้หลงทิศน้อยลงสักนิด นานวันเข้าก็เริ่มถอดใจ นางจึงเลี่ยงที่จะไม่ไปไหนคนเดียว แม้หัวใจของนางจะโบยบินไปในท้องฟ้าแล้วก็ตาม
ยาเคี่ยวได้ที่แล้ว แต่ยังไม่มีคนมารับนาง หัวคิ้วขมวดยุ่ง เอาอย่างไรดี ยาควรดื่มตอนที่ยังร้อนอยู่ เอาเถอะ ถือออกไปก่อน คนในจวนมีเยอะแยะ นางถามทางกับใครก็ได้ เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ประคองชามยาออกไป อาจเพราะว่าดึกแล้ว ในจวนถึงเงียบนัก เงียบไม่เท่าไหร่แต่นางไม่เห็นใครที่จะถามทางได้สักคน
ใจเย็นหน่อยฟางเหนียง เมื่อครู่เดินผ่านอะไรมาบ้างนะ ค่อยๆ นึกและเดินตามทางเดิมซิ
หญิงสาวสงบใจแล้วเดินตามทางที่ตัวเองคิดว่าเดินผ่านมาเมื่อครู่ ขณะนั้นเองนางเห็นเงาร่างไหวๆ อยู่ไม่ไกลนัก หัวใจก็เต้นแรงด้วยความดีใจรีบประคองชามยาในมือ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เงาร่างที่เห็นเป็ร่างของบุรุษรูปร่างสูงและกำยำ กำลังตวัดกระบี่ในมือร่ายรำเพลงกระบี่คล้ายกำลังระบายโทสะมากกว่าฝึกฝนตนเอง
“เอ่อ...” นางอึกอักอย่างไม่รู้จะเรียกอย่างไร โทสะของเขารุนแรงจนนางที่ยืนอยู่ห่างยังัักรุ่นไอนั้นได้
“เป็ผู้ใด!!!”
มู่ฟางเหนียงสะดุ้งเฮือกแต่ยังยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ปลายกระบี่จ่อที่ปลายจมูกของนาง คล้ายว่าถ้านางหายใจแรงสักนิด กระบี่นั่นก็จะปลิดชีพนางได้
บุรุษตรงหน้าขมวดคิ้ว หญิงสาวแปลกหน้ายืนนิ่งสงบได้โดยไม่ส่งเสียงร้องโวยวายและไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้กระบี่อยู่ตรงหน้า เขาเลื่อนสายตาจากโครงหน้าหมดจดไปที่มือของนางที่ถือถาดไม้มีชามใส่น้ำสีเข้มอยู่ เขาจึงลดกระบี่ลง
“ข้าน้อยติดตามท่านหมอมู่มารักษาท่านหญิงและต้องนำยาชามนี้ไปให้ท่านหญิงแต่หลงทาง” นางหลงทางจนชินจึงไม่รู้สึกกระดากอายที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ท่านหมอมาแล้วรึ” ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปทันที ความแข็งกร้าวเมื่อครู่จางลงไป “มาเถอะ ข้าจะพาไปเอง”
“เ้าค่ะ”
นางมองเขาหมุนตัวเดินนำหน้าไป แผ่นหลังของเขาช่างกว้างและเต็มไปด้วยพละกำลัง ท่วงท่าการเดินก็องอาจ คงไม่ได้เป็คนธรรมดาอย่างแน่นอน นางกำลังเดาว่าเขาเป็ใครพลางอมยิ้มน้อยๆ ขนาดพี่หลิ่งหลิน นางยังเคยหลงคิดไปว่าเป็คนเลี้ยงม้าในจวนแม่ทัพจ้าว มาบัดนี้กลายเป็ท่านหญิงไปเสียนี่ แล้วชายผู้นี้จะเป็ใครกัน
“แม่นางน้อย” เสียงชุนเอ๋อร์ร้องทักทันที นางรีบวิ่งกลับมาด้วยท่าทีกระหืดกระหอบ พอเห็นบุรุษหนุ่มก็ยอบกายลง แต่เขาโบกมือห้ามไว้ก่อน
“ขออภัยที่ข้ามารับเ้าช้า คุณหนูกระอักลิ่มเืข้าต้องเช็ดตัวให้คุณหนู” นางรีบยื่นมือไปรับถาดยามาถือเอง
มู่ฟางเหนียงเห็นเพียงเขาปรายตามองนางเล็กน้อย หญิงสาวสำรวมกิริยาเดินไปถึงห้องพักของเคอหลิ่งหลิน พอไปถึง บิดาก็เรียกนางให้เข้าไปช่วยทันที ประตูปิดลงไปอีกครู่ใหญ่จึงเปิดออก
“อาการเป็อย่างไรบ้าง” ฮูหยินอี้ซิ่วใจร้อนจนต้องชิงถามเสียก่อน
“ขอบังอาจพูดอย่างตรงไปตรงมา ท่านหญิงถูกพิษร้ายแรงแต่มีผู้ขับพิษออกให้นางแล้ว ทว่าวิธีขับพิษนั้นทำให้ท่านหญิงสูญเสียกำลังภายในไป และอวัยวะภายในยังบอบช้ำสาหัส ระหว่างที่ร่างกายพักฟื้นนางจะหลับนิทราเช่นนี้”
“เมื่อไหร่นางจะฟื้น” ฮูหยินอี้ซิ่วยังไม่วางใจนัก แม้ลูกสาวบุญธรรมคนนี้จะซุกซนจนนางปวดเศียรเวียนเกล้าบ่อยครั้ง แต่นางก็อยากเห็นความร่าเริงนั้นมากกว่านอนนิ่งเช่นนี้
“มิอาจแจ้งระยะเวลาที่แน่ชัดได้ เมื่อร่างกายนางแข็งแรงดี นางจะตื่นเอง”
มู่ฟางเหนียงลอบมองใบหน้าของชายหนุ่มที่เดินนำทางให้นาง สีหน้าเรียบนิ่งมีเพียงแววตาไหวระริก เขาไม่ได้มองนางจึงไม่รู้ว่านางมองเขา หญิงสาวเหลือบตามองทิศทางของสายตานั้น เขาจ้องมองคนที่หลับใหลบนเตียง นางอาจจะอายุเพียงสิบหกและเป็ผู้หลงทิศ แต่ด้วยการติดตามบิดารอนแรมไปทั่วสารทิศทำให้นางเห็นอะไรมามากต่อมาก
สายตาเช่นนี้...นางเข้าใจความหมายดี.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้