หลิงมู่เอ๋อร์นึกถึงเื่หนึ่งขึ้นมาได้ ที่นางกระตือรือร้นในการช่วยเหลือซูเช่อเช่นนี้ นอกจากความรับผิดชอบในฐานะแพทย์แล้ว ยังอยากจะโน้มน้าวท่อนขาที่ล่ำสัน [1] นี้ไว้เป็พวกด้วย เพราะอย่างไร หลังจากที่โรงหมอเปิดให้บริการ วันหลังอยากจะหลีกเลี่ยงที่จะไม่ล่วงเกินคนได้ ยังมี ในภายภาคหน้าเมื่อเหลาอาหารสกุลหลิงดำเนินกิจการขึ้นมา ก็้าความช่วยเหลือจากขาท่อนใหญ่เช่นกัน ตอนนี้แบ่งแยกความสัมพันธ์กับเขาอย่างชัดเจนมิใช่สิ่งที่ชาญฉลาด
หลิงมู่เอ๋อร์เข้าใกล้ซูเช่อพลางนั่งลงข้างกาย
มือที่ซูเช่อกุมพัดไว้กำแน่นครั้งหนึ่ง เขามองหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้า ดวงตาก็เปลี่ยนเป็มืดครึ้มขึ้นมา
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่พบความผิดปกติของซูเช่อ นางยังคงคิดอยู่ว่า จะใช้ข้ออ้างใดดึงความสัมพันธ์กับบุรุษผู้นี้ให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น เพราะคนผู้นี้อีกหน่อยจะต้องเป็ูเาลูกใหญ่ที่ให้นางได้พึ่งพิงแล้ว
“ท่านพูดถูกแล้ว ท่านก็ถือว่าเป็เพื่อนแล้ว เพราะผู้ที่มีบุพเพต่อกันเช่นพวกเรามีไม่มากนัก คำพูดทั่วไปกล่าวได้ดี หากมีวาสนาต่อกันห่างนับพันลี้ก็มารู้จักกันได้ หากไร้วาสนาแม้นพบหน้าก็ไม่รู้จัก พวกเราห่างกันด้วยูเานับพันแม่น้ำนับหมื่นก็ยังสามารถมาพบกันได้ อีกทั้งข้ายังตามท่านมาที่เมืองหลวงอีก เห็นได้ชัดว่าพวกเรามีวาสนาต่อกันจริงๆ ” หลิงมู่เอ๋อร์พูดเื่เหลวไหลเป็วรรคเป็เวร
“้าให้ข้าทำสิ่งใด?” ซูเช่อใช้พัดในมือเคาะหน้าผากของนางทีหนึ่ง “พูดมาตามตรงก็พอ อย่าได้เล่นลูกไม้เช่นนี้กับข้า”
หลิงมู่เอ๋อร์เบ้ปาก “ช่างไร้อารมณ์เสียจริง ท่านอยากฟังความจริง เช่นนั้นข้าก็พูดความจริง! โรงหมอและร้านอาหารของข้าล้วนจะเปิดกิจการแล้ว ท่านก็รู้ว่า สถานที่เช่นเมืองหลวงนี้ ซับซ้อนเป็ที่สุด ข้าเป็ราษฎรธรรมดาผู้หนึ่ง อยู่ที่นี่ไม่มีรากฐานอะไร ช้าเร็วจะต้องถูกคนรังแกจนตายแน่ ดังนั้น…ท่านคงจะให้ความช่วยเหลือใช่หรือไม่?”
“เ้ามาเพื่อข้า ข้าย่อมไม่มีทางไม่สนใจความเป็ตายของเ้า ทว่า ข้าก็ไม่อาจช่วยโดยไร้สิ่งตอบแทน ช่วยเ้าแล้ว ข้าจะได้รับผลประโยชน์ใด?” ซูเช่อหัวเราะมองนาง
“โรงหมอและร้านอาหารของข้า มอบส่วนแบ่งให้ท่านหนึ่งส่วน” หลิงมู่เอ๋อร์มองเขาด้วยสีหน้าเ็ป “เช่นนี้คงใช้ได้แล้วกระมัง?”
ซูเช่อมองท่าทางเ็ปของนางก็อดหัวเราะไม่ได้ “เยี่ยงนั้นก็ได้”
“ในเมื่อท่านรับปากแล้ว เช่นนั้นความปลอดภัยของโรงหมอและร้านอาหารของข้า ก็มอบให้ท่านเป็ผู้รับผิดชอบแล้ว หากมีความเสียหายใดเกิดขึ้น ข้าก็จะไปหาท่าน” หลิงมูเอ๋อร์แค่นเสียง “อย่างน้อยก็เป็ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตท่าน เื่นี้ก็เป็เื่ที่ท่านควรทำ”
“ขอรับ คุณหนูใหญ่” ในดวงตาของซูเช่อวาบประกายเอ็นดูออกมา
ทั้งหมดนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็มิได้สังเกตเห็น
เขาใช้หน้ากากที่อ่อนโยนเผชิญหน้ากับผู้คนมาโดยตลอด และแม้คุณหนูจากตระกูลใหญ่เ่าั้จะน่ารำคาญเป็พิเศษ เขาก็สามารถใช้ท่าทีที่สมบูรณ์แบบที่สุดสมาคมกับพวกนาง ทว่า กับสตรีนางนี้ เขากลับไม่รู้สึกว่านางน่ารำคาญแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่อยู่ร่วมกับนาง เขารู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก เขายินดีที่จะให้เวลาช้าลงหน่อย
และก็เป็นางที่ทำให้เขาได้เข้าใจว่า ที่แท้แล้ว บนโลกใบนี้ก็มีสตรีที่ไม่น่ารำคาญเช่นกัน
“ท่านพี่ ท่านให้นางเข้ามาทำไมกัน? ไม่ถูกต้อง ท่านรู้จักนาง?” เจาหยางจวิ้นจู่กำลังเตรียมตัวจะไปเที่ยวเล่นที่นอกจวน เห็นซูเช่อพาหลิงมู่เอ๋อร์เดินเข้ามา ก็พลันโยนม้าไปให้บ่าวรับใช้ นางวิ่งมาอย่างเร่งร้อนดุจเปลวเพลิง “ท่านพี่ ท่านอย่าได้โดนสตรีเช่นนี้หลอกเอาได้ พวกนางก็อยากจะเกาะัเพื่อกลายเป็หงส์กันทั้งนั้น”
ซูเช่อขมวดคิ้ว “ระหว่างพวกเ้ามีความเข้าใจผิดใดหรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์ยักไหล่ “ครั้งก่อนพี่ชายของข้าพาข้าไปเดินเล่น ข้าชอบผ้าพันคอผืนหนึ่งเข้า น้องสาวของท่านไม่พูดแม้แต่คำเดียวก็แย่งไปแล้ว ยังโบกแส้ตีคนอีกด้วย”
“เ้าเป็ถึงจวิ้นจู่ มีสิ่งใดไม่เคยเห็นมาก่อน เหตุใดจึงไปแย่งของกับคนบนท้องถนนได้”
ซูเช่อมองเจาหยางจวิ้นจู่อย่างไม่พอใจ เจาหยางจวิ้นจู่ไม่เคยถูกซูเช่อตำหนิมาก่อน แต่เล็กจนโต นางเรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน ท่านพ่อท่านแม่รักนาง ท่านย่ารักนาง นางยิ่งไม่เคารพกฎระเบียบ ไม่เห็นสิ่งใดอยู่ใดสายตา บัดนี้ พี่ชายที่รักที่สุดตำหนินางต่อหน้าคนนอก เช่นนี้จะให้นางเอาหน้าไปไว้ที่ใด? ทันใดนั้น ในใจของเจาหยางจวิ้นจู่ก็มีเปลวเพลิงลุกโชน ยิ่งไม่ชอบหลิงมู่เอ๋อร์เข้าไปใหญ่ นางจัดหลิงมู่เอ๋อร์เป็พวกหญิงชั้นต่ำที่มาเอาใจซูเช่อ
“ท่านเป็ถึงจวิ้นอ๋องน้อย ผู้หญิงแบบใดไม่เคยพบเจอ เหตุใดจึงถูกผู้หญิงคนนี้ทำให้เลอะเลือนเข้าได้ ท่านไม่เชื่อน้องสาวของตนเอง แต่กลับไปเชื่อคนนอกคนหนึ่ง ท่านไม่ใช่พี่ชายของข้าอีกต่อไปแล้ว” เจาหยางจวิ้นจู่จับเชือกบังเหียนม้าที่อยู่ด้านข้าง ขึ้นหลังม้าอย่างรวดเร็วแล้วขี่ออกจากจวนไป
หลิงมู่เอ๋อร์มองทิศทางของเจาหยางจวิ้นจู่ ดึงชายเสื้อของซูเช่อ “น้องสาวของท่านวิ่งออกไปเช่นนี้ไม่ค่อยดีนัก ท่านวางใจหรือ?”
“ั้แ่เด็กนางก็ชอบก่อเื่ เื่เช่นนี้ก็มิใช่ครั้งสองครั้งแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องไม่วางใจ” ซูเช่อกล่าวเรียบ ๆ “พวกเราเข้าไปเถอะ!”
เมื่อได้พบกับซูเหล่าฟูเหรินในยามนี้อีกครั้ง ซูเหล่าฟูเหรินก็ราวกับเป็เด็ก กำลังนั่งถักเชือกลายวาสนาอยู่ที่นั่น นางอ้อมอยู่ครึ่งวัน ผลคือยิ่งอ้อมก็ยิ่งยุ่งเหยิง ไม่อาจไม่วางลงได้
“ไม่ไหวแล้ว ไม่อาจไม่ยอมแพ้ต่อความชราจริงๆ ตอนนี้มองอะไรก็ไม่ชัด เดิมคิดถักเชือกเล่นเสียหน่อย ผลกลับเป็ยิ่งถักยิ่งยุ่งเหยิง” ซูเหล่าฟูเหรินวางของในมือลง กล่าวอย่างจนใจ “เฮ้อ ไม่รู้จริง ๆ ว่าร่างกายที่แก่ชราของข้านี้ ยังจะสามารถอยู่เป็เพื่อนพวกเขาได้อีกนานเท่าใด คนอื่นข้าล้วนไม่เป็ห่วง ห่วงก็เพียงเจาหยาง เด็กคนนั้นถูกคนที่บ้านตามใจจนเสียคนแล้ว บัดนี้ นางก็ถึงเวลาที่จะพูดคุยเื่การแต่งงานแล้ว เ้าดูสิ ไม่มีแม้แต่ครอบครัวเดียวที่มาขอก็ไม่มี”
“คิดว่าองค์หญิงใหญ่จะต้องจัดการอย่างเรียบร้อยแน่เ้าค่ะ เหล่าฟูเหรินก็อย่าได้เป็กังวลแทนพวกเขาเลย ตอนนี้ ที่ท่านต้องทำก็คือทำอารมณ์ให้แจ่มใสเบิกบาน เช่นนี้ จวิ้นอ๋องน้อยจึงจะสามารถมีความสุขได้เช่นกัน” แม่เฒ่าชราที่อยู่ข้างกายเกลี้ยกล่อมซูเหล่าฟูเหริน
ซูเหล่าฟูเหรินเล่นก้อนเชือกที่อยู่ในมือ รอยยิ้มมีเมตตา “เช่อเอ๋อร์เป็คนกตัญญู เหมือนบิดาของเขา อยากจะมีชีวิตอยู่จนถึงยามที่เขาแต่งงานมีลูกจริงๆ อยากเห็นเหลือเกินว่าลูกชายของเขาจะมีหน้าตาเป็อย่างไร เช่อเอ๋อร์ของพวกเราหล่อเหลาเช่นนี้ ลูกชายของเขาจะต้องหล่อเหลาเช่นเดียวกันอย่างแน่นอน”
ในยามที่ซูเช่อเข้าประตูมานั้นได้ยินคำพูดนี้เข้าพอดี อารมณ์ของเขาจึงเปลี่ยนเป็ซับซ้อนขึ้นมา
“จวิ้นอ๋องน้อย” เมื่อแม่เฒ่าชราเห็นซูเช่อ ก็รีบเข้ามาต้อนรับ “วันนี้จวิ้นอ๋องน้อยไม่ยุ่งหรือเ้าคะ? เหตุใดจึงว่างแวะมาได้?”
“นั่นสิ เมื่อวานตอนที่บิดาของเ้ามาคารวะ บอกว่า่นี้ในราชสำนักมีเื่มาก เขากับเ้าล้วนยุ่งจนไม่อาจปลีกตัวได้” ซูเหล่าฟูเหรินมองซูเช่ออย่างเป็ห่วง “อย่าได้ทำให้ร่างกายของตนเองเหน็ดเหนื่อยจนย่ำแย่เสียเล่า หากเ้างานยุ่งแล้วล่ะก็ ก็ไม่ต้องมาคารวะแล้ว ย่าไม่อยากเห็นสภาพที่โหมงานหามรุ่งหามค่ำของเ้า”
ซูเช่อยิ้มบาง “ใต้ผืนฟ้านี้ยังไม่มีสิ่งใดสร้างความลำบากให้หลานได้ขอรับ เป็เพราะหลานคิดถึงท่านย่า หนึ่งวันใดมิได้เห็น ในใจก็จะรู้สึกไม่มั่นคง”
หญิงชรา คนชราคนเมื่อถึงอายุหนึ่ง ก็จะไม่ต่างจากเด็กนัก ยิ่งเป็คำพูดที่น่าฟัง ฟังแล้วก็ยิ่งมีความสุข ซูเหล่าฟูเหรินก็คือตัวอย่างผู้หนึ่ง
“เหล่าฟูเหรินยังจำข้าได้หรือไม่เ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์แทรกเข้าไปอย่างได้จังหวะพอดี
“หืม? นี่มิใช่แม่นางหลิงหรอกหรือ?” ซูเหล่าฟูเหรินเมื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ ก็อดตะลึงไปครู่หนึ่งไม่ได้ “หรือว่าร่างกายของข้ามีสิ่งใดไม่ถูกต้อง?”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่เ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์รีบโบกมือกล่าว "พูดไปแล้วก็รู้สึกละอายอยู่บ้าง ่นี้ ข้าพบกับผู้ป่วยที่รับมือยากอย่างมากผู้หนึ่ง โรคที่เขาเป็ค่อนข้างซับซ้อน ทั้งที่ข้าเคยพบมาก่อน แต่ไม่ว่าข้าจะทำการทดสอบอย่างไร ก็รู้สึกไม่ถูกต้องอยู่ร่ำไป ข้ารู้ว่าในจวนจวิ้นอ๋องมีตำราโบราณจำนวนมาก จึงกล่าวเื่นี้กับจวิ้นอ๋องน้อย อ๋องน้อยมีน้ำใจ จึงให้ข้าพลิกดูตำราที่นี่ได้เ้าค่ะ ทว่า อย่างไรนี่ก็เป็เื่ของเรือนหลัง ดังนั้นจึงอยากมาบอกกล่าวกับเหล่าฟูเหรินให้กระจ่างก่อนเ้าค่ะ อีกเื่ก็คือ ข้าเป็หญิงสาวที่มาจากข้างนอก ไม่เหมาะที่จะเดินไปทั่วจวน ดังนั้น ่นี้จะสามารถ…ให้ข้าอาศัยอยู่ในเรือนข้างของเหล่าฟูเหรินได้หรือไม่เ้าคะ เหล่าฟูเหรินโปรดวางใจ ข้าจะไม่สร้างความยุ่งยากให้ท่านแน่นอนเ้าค่ะ”
ซูเหล่าฟูเหรินยิ้มบางฟังคำพูดของนางจนจบ นางจับมือของหลิงมู่เอ๋อร์ กวาดตามองนางขึ้นลง “ช่างเป็หญิงสาวที่เลอโฉมจริง ๆ ไม่เพียงมีหน้าตาที่งดงามเท่านั้น ยังรักการเรียนรู้อีก เ้าที่เป็เช่นนี้ ทำให้คนมิอาจหยุดรักหยุดถนอมได้จริงๆ ”
หลิงมู่เอ๋อร์ก้มหน้าลงอย่างขัดเขิน “เหล่าฟูเหรินชื่นชมแล้ว”
“ข้าโดดเดี่ยวมานานแล้ว มีหญิงสาวมาอยู่สร้างความครึกครื้นเป็เพื่อนข้า ข้ายังดีใจแทบไม่ทัน จะปฏิเสธได้อย่างไร” ซูเหล่าฟูเหรินผินศีรษะหันไปพูดกับแม่เฒ่าชราว่า “เ้าไปจัดการความเรียบร้อยห้องห้องหนึ่งออกมาด้วยตัวเอง จะต้องทำให้หลิงมู่เอ๋อร์อยู่อย่างสุขสบายใจ”
“ไม่ต้องยุ่งยากเช่นนั้นเ้าค่ะ ข้าพักไม่กี่วันก็จะจากไปเ้าค่ะ ขอเพียงผ้านวมธรรมดาก็พอแล้วเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว
ซูเหล่าฟูเหรินส่ายหัวกล่าวว่า “นี่นับเป็เื่ยุ่งยากอย่างไรได้? เ้าเพียงต้องเห็นที่นี่เป็บ้านของตนก็พอ อย่าได้เกรงใจข้าเป็อันขาด ้าอะไรก็บอกข้า เข้าใจหรือไม่?”
“เ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวขอบคุณอย่างเกรงใจ
ซูเหล่าฟูเหรินจัดการให้นางพักที่เรือนด้านข้าง ห้องมีขนาดใหญ่มาก การจัดตกแต่งในห้องก็ให้ความรู้สึกสบายเป็อย่างมาก เห็นได้ชัดว่าใส่ใจแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์มาที่นี่ก็เพื่อดูอาการให้ซูเหล่าฟูเหริน นางจะตรวจสอบหาสาเหตุที่ซูเหล่าฟูเหรินถูกพิษออกมา ด้วยเหตุนี้ ทางซูเหล่าฟูเหรินนั้นเป็สถานที่ที่นางต้องไปรายงานตัวเป็ประจำ เพื่อเอาใจซูเหล่าฟูเหริน คืนวันนั้น นางเข้าครัวด้วยตนเอง ทำอาหารบำรุงร่างกาย โดยปกติแล้ว ความอยากอาหารของซูเหล่าฟูเหรินไม่ค่อยดีนัก ทว่าคืนนั้นกลับทานข้าวสวยไปถึงสองถ้วย
ผ่านการบำรุงไปสองสามวัน ผิวของซูเหล่าฟูเหรินยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ พิศดูแล้วก็ราวกับอ่อนเยาว์ลงอีกสิบปีก็ไม่ปาน หลิงมู่เอ๋อร์ก็ได้ใช้น้ำพุิญญาในมิติขับพิษให้ซูเหล่าฟูเหริน หลังจากพิษในร่างกายของนางจางหายไป ร่างกายของนางก็ย่อมแข็งแรงมากขึ้น
“นี่คือสิ่งใด?” หลิงมู่เอ๋อร์พูดคุยกับเหล่าฟูเหรินอยู่ครู่หนึ่ง ขณะกำลังจะออกจากห้องไป ก็เห็นแม่เฒ่าชราอุ้มแมวตัวหนึ่งเดินเข้ามา
แมวตัวนั้นไม่ร่าเริง ดูแล้วไร้ชีวิตชีวา แน่นอนว่า ที่นางสนใจมิใช่แมวตัวนั้น แต่เป็ขนของแมวตัวนั้น
ขนของแมวตัวนั้นมีความสวยงามเป็อย่างยิ่ง เส้นขนสีเงินเปล่งประกายเจิดจรัสภายใต้แสงสุริยา อย่าพูดถึงผู้อื่น แม้แต่ตัวนาง ก็ยังอยากลูบสักสองสามครั้ง
ซูเหล่าฟูเหรินเห็นท่าทางกระตือรือร้นของหลิงมู่เอ๋อร์ ก็สะกดกลั้นอาการหัวเราะ ส่งแมวในมือให้แก่นาง “ลูบเถอะ! เ้าลูกหนังอ้วนของพวกเราก็ทำให้คนรักใคร่เช่นนี้แหละ”
“มันเรียกเ้าลูกหนังอ้วนหรือเ้าคะ?” นี่เป็ชื่อที่ผู้ใดตั้งกัน หลิงมู่เอ๋อร์รับมา ลูบขนของแมว ในยามที่นิ้วมือติดเศษสีเงินนั้น นางก็มั่นใจว่า นี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้ซูเหล่าฟูเหรินต้องพิษ
ผู้ที่วางยาพิษเฉลียวฉลาดเป็อย่างยิ่ง ผู้อื่นวางยาพิษ ล้วนวางไว้ในอาหารโดยตรง หรือวางไว้ในสิ่งของที่ใช้เป็ประจำ ซูเช่อกับหลิงมู่เอ๋อร์ก็คิดเช่นนี้ ใน่เวลาสั้นๆ นี้ หลิงมู่เอ๋อร์มักจะแวะมาวนเวียนที่นี่เสมอ ก็เพราะไม่สามารถหาต้นตอของพิษได้ หากมิอาจหาที่มาของพิษได้ ต่อให้แก้พิษให้ซูเหล่าฟูเหรินแล้ว ก็ไม่มีทางรักษาจากต้นตอให้หายขาดได้ ทว่าไม่ว่าจะคาดคำนวณอย่างไร ไม่มีผู้ใดคิดว่าพิษจะอยู่บนขนของแมวตัวหนึ่ง ขนของแมวตัวนั้นสวยงามนัก เ้านายของมันย่อมชอบที่จะลูบไล้ััมัน ทุกครั้งที่ลูบมันหนึ่งครั้ง พิษก็จะเข้าสู่ร่างกายของนางส่วนหนึ่ง สรุปแล้ว ผู้ที่วางยาทราบถึงความชื่นชอบของซูเหล่าฟูเหรินเป็อย่างดี
“ยังจะมีผู้ใดได้อีกเล่า? นี่เป็ชื่อที่เช่อเอ๋อร์ตั้งตอนยังเล็ก อย่าเห็นว่ามันตัวเล็กๆ ที่จริงแล้วเป็แมวชราตัวหนึ่งแล้ว หากนับตามอายุของแมวแล้ว มันก็อายุไม่ต่างจากข้านัก” ซูเหล่าฟูเหรินทอดถอนใจอย่างเสียดาย “เ้าดูท่าทางของมัน แล้วดูข้า คิดว่าพวกเราเหมือนกันมากใช่หรือไม่?” นี่ก็คือความโศกเศร้าของการแก่ชรา
“เหล่าฟูเหรินกำลังคิดเหลวไหลอีกแล้วเ้าค่ะ อายุของท่านนี้ ควรจะเสพสุขกับความกตัญญูของบุตรหลาน เื่อื่นไม่ต้องคิดมากจนเกินไป การกังวลมากจนเกินไปไม่มีผลดีต่อท่าน” หลิงมู่เอ๋อร์ช่วยให้คำชี้แนะอยู่ด้านข้าง “ท่านไม่ต้องคิดถึงสิ่งอื่นใด เพียงคิดถึงจวิ้นอ๋องน้อยก็พอเ้าค่ะ ”
“เ้าสาวน้อยคนนี้ช่างรู้จักเกลี้ยกล่อมคนเสียจริง” ซูเหล่าฟูเหรินกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ถูกเ้าตำหนิเช่นนี้ ข้าไม่เพียงไม่โกรธ กลับยังรู้สึกยินดีอยู่เล็กน้อย ข้ามีหลานสาวคนหนึ่ง แต่เด็กสาวคนนั้นรู้จักแต่ก่อเื่สร้างปัญหา หากนางเชื่อฟังได้เพียงครึ่งหนึ่งของเ้า ข้าก็พึงพอใจแล้ว”
[1] ท่อนขาที่ล่ำสัน หรือท่อนขาใหญ่ หมายถึงผู้มีอิทธิพลหรืออำนาจที่สามารถเป็ที่พึ่งพิง และให้ความช่วยเหลือได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้