ไม่เพียงแค่ข่งเซวียนเอ๋อร์เท่านั้นที่ตกตะลึง กระทั่งเหล่าบัณฑิตที่ผ่านมายังตกตะลึงกับภาพที่เห็นด้วยเช่นกัน
“ชายผู้นั้นไม่ใช่มู่เฟิงหรอกหรือ? คลื่นพลังเมื่อครู่นี้ พลังระดับหนิงกัง! เขาทะลวงขึ้นสู่ระดับหนิงกังแล้ว!”
“โอ้์ นั่นเขายังเป็มนุษย์อยู่จริงหรือ เพิ่งจะเข้าสำนักศึกษาได้ไม่ถึงครึ่งปีก็สามารถทะลวงขึ้นสู่ระดับหนิงกังได้แล้ว”
“ดูเหมือนว่าชายสามคนนั้นจะเป็บัณฑิตของเป๋ยโต่วนะ ฮ่าๆ สมควรโดนแล้ว ใครให้พวกเขาไปยั่วโมโหมู่เฟิงกัน บัณฑิตใหม่ผู้นั้นบ้าระห่ำมากถึงขนาดถือหอกเข้าไปยังเขตของศิษย์สายในเพื่อจะฆ่าคนเชียวนะ”
“ถูกต้อง ลูกหลานเต่าที่มาแลกเปลี่ยนในสำนักศึกษาเทียนอวิ่นของเราต้องเจอคนแบบนี้แหละ ดีแล้ว!”
บัณฑิตบางส่วนของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นกำลังมองดูภาพนี้ด้วยความยินดี พวกเขามีความสุขที่ได้เห็นคนจากสำนักศึกษาเป๋ยโต่วกลายเป็ตัวตลก
มู่เฟิงเดินปรบมือไปด้านข้างขอบสระบัว ชายหนุ่มในชุดคลุมสีครามะโขึ้นมาจากสระบัวด้วยสภาพเปียกโชก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและจิตสังหาร
“เ้าบัดซบ ข้าจะฆ่าเ้า”
ชายหนุ่มะเิโทสะออกมาทันที ดาบยาวปรากฏขึ้นในมือของเขาโดยพลัน ดาบเล่มนี้ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยพลังกังชี่สีน้ำเงิน อีกฝ่ายเหวี่ยงดาบไปทางมู่เฟิงอย่างดุดัน
คมดาบพุ่งทะลวงผ่านอากาศดังหวีดหวิว ดาบอันบ้าคลั่งที่กวาดออกมานี้หมายจะผ่าร่างของมู่เฟิงออกเป็สองส่วน เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่าย้าจะสังหารเด็กหนุ่มจริงๆ
“คิดจะแสดงดาบต่อหน้าข้า เ้ายังไม่มีคุณสมบัติพอหรอก”
ดวงตาของมู่เฟิงทอประกายเ็า ลายเส้นสีเืตรงหว่างคิ้วของเขาเด่นชัดขึ้นมาเล็กน้อย พลังสายเืหลั่งไหลมารวมตัวกันที่แขนของเขาอย่างรวดเร็ว แขนที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมถูกปกคลุมด้วยชั้นเกล็ดสีโลหิต และร่างกายของเด็กหนุ่มก็ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยพลังกังชี่
เมื่อคมดาบฟาดฟันลงมา ฝ่ามือที่มีผิวเป็เกล็ดของมู่เฟิงก็พุ่งออกไปราวกับสายฟ้าฟาดทันที เขาใช้มือคว้าดาบของอีกฝ่ายเอาไว้โดยตรง
หลังจากก้าวขึ้นสู่ระดับหนิงกังและฝึกฝนการควบคุมพลังจนบรรลุระดับละเอียดอ่อนแล้ว มู่เฟิงในตอนนี้ก็สามารถควบคุมพลังสายเืของเขาได้ในที่สุด ทำให้เขาสามารถเปลี่ยนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายให้กลายเป็ชูร่าได้อย่างอิสระ
“อะไรกัน!”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีครามตกตะลึงเมื่อเห็นภาพนี้ สายตาของคนอื่นๆ ที่กำลังเฝ้าดูสถานการณ์ต่างก็เบิกกว้างด้วยความใเช่นกัน
“คิดไม่ถึงว่าจะจับมันได้!”
มู่เฟิงคว้าดาบของคู่ต่อสู้เอาไว้ด้วยมือข้างเดียว จากนั้นเขาก็ใช้มืออีกข้างต่อยไปยังใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแรง
“อ๊าก…!”
ชายหนุ่มกรีดร้องโหยหวนออกมา ฟันของเขาถูกหมัดกระแทกจนร่วงออกจากปาก แต่มู่เฟิงไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น เขายังระดมหมัดลงไปบนใบหน้าของอีกฝ่ายต่อ จนปรากฏเสียงหมัดดังอย่างต่อเนื่อง
ดวงตา ปาก จมูกและใบหน้าของชายหนุ่มถูกมู่เฟิงโจมตีอย่างโเี้ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเตะไปที่ทรวงอกของอีกฝ่าย ทำให้ร่างของเขาลอยกระเด็นตกลงไปในสระบัวอีกครั้งและต้องกลืนน้ำผสมโคลนลงไปอีกหลายอึก
“นี่มันรุนแรงเกินไปจริงๆ จุ๊ๆ”
เมื่อเห็นภาพนี้ฝูงชนก็พากันส่ายหน้า
ชายหนุ่มนอนจมอยู่ในสระบัว ร่างของเขาเกิดอาการกระตุกเป็ระยะ ส่วนใบหน้าก็ถูกทุบจนกลายเป็หัวหมูและรู้สึกมึนงงอยู่ชั่วขณะ
“พี่ตง”
บัณฑิตสองคนที่พ่ายแพ้ไปก่อนหน้านี้รีบเข้ามาประคองร่างชายหนุ่มในชุดคลุมสีครามทันที
“ดี ดี เยี่ยมมาก...”
ข่งเซวียนเอ๋อร์ปรบมือร้องเชียร์อยู่ข้างสนาม เห็นได้ชัดว่านางจงใจยั่วยุให้เกิดเหตุการณ์นี้ แต่เหมือนนางจะมีความสุขยิ่งกว่าใคร
“ดีกับผีน่ะสิ”
มู่เฟิงเดินตรงเข้าไปหาข่งเซวียนเอ๋อร์อย่างขุ่นเคือง เขาบีบจมูกเล็กของนางอย่างแรงและตีนางอีกครั้ง
“ต่อไปอย่าโยนความเกลียดชังมาให้ข้าแบบนี้อีก”
มู่เฟิงดุอีกฝ่าย
“ข้าเพียงอยากให้เ้าช่วยสั่งสอนบทเรียนให้พวกเขาสามเท่านั้นเอง ใจแคบเสียจริง”
ข่งเซวียนเอ๋อร์แค่นเสียงอย่างหงุดหงิด
“อึก...แค่กๆ...เ้าสารเลว เ้า เ้ารอข้าก่อนเถอะ มันไม่จบแค่นี้แน่”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีครามถูกประคองให้ลุกขึ้น ระหว่างนั้นเขาก็พ่นน้ำโคลนออกมาหลายคำ และเขายังคงประกาศกร้าวออกมาด้วยความคับแค้นใจ จากนั้นคนทั้งสามคนก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว
“หากพวกเ้ากล้ามา พวกเ้าจะถูกทุบตีจนกลายเป็หัวหมูแน่”
ประโยคนี้มู่เฟิงไม่ได้เป็คนกล่าว แต่เป็ข่งเซวียนเอ๋อร์ที่ะโด้วยความโกรธ
“เอาเถอะ เมื่อครู่ข้าทำผิดเอง ให้ข้าเลี้ยงข้าวเ้าดีหรือไม่ พี่เฟิง”
ข่งเซวียนเอ๋อร์จับแขนของมู่เฟิงพร้อมกับทำตัวออดอ้อนราวกับเด็ก น้ำเสียงของนางไพเราะน่าฟังเป็อย่างยิ่ง
เมื่อเห็นท่าทางของนาง มู่เฟิงก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที เขารีบสะบัดมือของข่งเซวียนเอ๋อร์ออกก่อนจะกล่าวว่า “เอาละ เอาละ ข้ายกโทษให้เ้าแล้ว”
หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินไปยังโรงอาหารและทานข้าวด้วยกัน จากการรบเร้าไม่ยอมหยุดของข่งเซวียนเอ๋อร์ มู่เฟิงจึงตัดสินใจจะไปดูสถานการณ์ของแท่นสังเวียนโลหิตกับนาง
แท่นสังเวียนโลหิตตั้งอยู่ทางด้านเหนือของทะเลสาบเทียนอวิ่น ซึ่งการออกแบบของเวทีต่อสู้นั้นน่าสนใจมากทีเดียว
แท่นสังเวียนโลหิตมีความยาวและความกว้างสามสิบเมตร ตั้งอยู่ในทะเลสาบเทียนอวิ่น โดยรอบมีสะพานที่ทำจากไม้กระดานตั้งอยู่ห่างจากแท่นเวทีราวสิบเมตร แต่ว่าไม่มีไม้กระดานที่มุ่งไปยังแท่นเวทีโดยตรงเลย ผู้ที่้าจะขึ้นสังเวียนจำเป็ต้องะโจากไม้กระดานขึ้นไปบนแท่นเวทีด้วยตนเอง ส่วนผู้ที่้ารับชมก็เพียงยืนชมอยู่บนไม้กระดานเท่านั้น ทัศนียภาพที่ถูกโอบล้อมด้วยดอกบัวและใบบัวกลางทะเลสาบนั้นดูงดงามเป็อย่างมาก
นอกจากนี้อันดับยอดฝีมือของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นยังถูกคัดเืขึ้นที่นี่ ตราบใดที่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ติดต่อกันสิบครั้ง ก็มีสิทธิ์ที่จะท้าประลองกับยอดฝีมือที่ถูกจัดอันดับได้
ยอดฝีมือทุกคนที่อยู่ในการจัดอันดับล้วนมาจากการแสดงความแข็งแกร่งของตนเองให้ทุกคนได้เห็น ไม่ใช่การจัดแบบส่งๆ ไปเท่านั้น
ในบรรดาบัณฑิตจำนวนมากของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น มีผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับหนิงกังจำนวนแปดร้อยคน ฉะนั้นผู้ที่จะเข้ามาอยู่ในอันดับของยอดฝีมือได้แน่นอนว่าต้องผ่านการโค่นล้มผู้อื่นมาไม่น้อย
ดังนั้นการอยู่บนแท่นสังเวียนโลหิตนี้จึงเป็การสร้างความเกลียดชังให้กับผู้คนได้อย่างลึกซึ้งเลยทีเดียว เป็สถานที่ที่มีการลงนามต่อสู้เป็ตาย และมีบัณฑิตจำนวนไม่น้อยที่ต้องจบชีวิตลงที่นี่ ทำให้บนแท่นสังเวียนมีกลิ่นอายของความโหดร้ายเข้มข้นอยู่มาก
เวลานี้บัณฑิตจำนวนมากกว่าพันคนกำลังมารวมตัวกันบนสะพานไม้ ทำให้มันดูแน่นขนัดเป็อย่างมาก พวกเขาส่งเสียงโห่ร้องและวิพากษ์วิจารณ์กันเป็ระยะ สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปที่บัณฑิตสองคนที่กำลังต่อสู้กันบนแท่นสังเวียนอย่างดุเดือด
สองคนนั้น คนหนึ่งเป็ศิษย์ของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น ส่วนอีกคนเป็ศิษย์ของสำนักศึกษาเป๋ยโต่ว พวกเขาสองคนต่างก็มีวรยุทธ์อยู่ในระดับหนิงกังขั้นสามเหมือนกัน
“หลี่เฟิง หลี่เฟิง หลี่เฟิง...!"
บัณฑิตหลายคนของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นส่งเสียงเชียร์คนของสำนักตัวเอง
“จางเจี้ยน เ้าห้ามทำให้สำนักศึกษาเป๋ยโต่วของเราต้องขายหน้านะ”
กลุ่มบัณฑิตจากสำนักศึกษาเป๋ยโต่วก็ส่งเสียงะโเชียร์ด้วยเช่นกัน
คนทั้งสองต่างก็พุ่งเข้าไปปะทะกัน พวกเขาะเิพลังกังชี่ของตัวเองออกมา ทำให้คลื่นพลังสาดซัดออกไปบริเวณโดยรอบทันที
“หมัดราชสีห์คำราม!"
จางเจี้ยนเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือของหลี่เฟิง ก่อนจะปล่อยหมัดออกมาอย่างแรง
โฮก…!
เสียงคำรามของราชสีห์ดังสนั่น หมัดที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยพลังกังชี่สีเหลืองของจางเจี้ยนพลันพุ่งออกไปข้างหน้า
เมื่อเห็นหมัดอันทรงพลังกำลังพุ่งเข้ามา สีหน้าของหลี่เฟิงก็เปลี่ยนไปเป็อย่างมาก เขารีบยกแขนไขว้กันพร้อมกับสร้างเกราะป้องกันพลังกังหยวนสีทองออกมาทันที
เปรี้ยง...!
หมัดอันทรงพลังพุ่งเข้าปะทะเกราะพลังกังหยวนอย่างแรง และแรงกระแทกนี้ก็บีบให้หลี่เฟิงต้องถอยออกไปอย่างต่อเนื่อง มุมปากของเขามีเืไหลออกมาเป็สาย เขาถอยออกไปจนถึงขอบของแท่นเวที ทันใดนั้นจางเจี้ยนก็ะเิพลังหมัดอันทรงพลังออกมาอีกครั้ง
ปัง...!
ครั้งนี้ถึงกับทำให้หลี่เฟิงกระอักเืออกมา ร่างของเขาร่วงตกลงไปในทะเลสาบเทียนอวิ่น และแพ้การแข่งขันอย่างหมดรูป
“ดีมาก!”
ศิษย์จากสำนักศึกษาเป๋ยโต้วต่างก็ปรบมือพร้อมกับโห่ร้องออกมาเสียงดัง ส่วนศิษย์ของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นต่างก็ทอดถอนใจ
“เฮ้อ นี่ก็เป็คนที่สิบแล้ว เ้านั่นมีคุณสมบัติที่จะท้าประลองกับยอดฝีมือที่ถูกตัดอันดับของเราแล้ว”
“ถูกต้อง หมัดราชสีห์คำรามของจางเจี้ยนผู้นั้นอยู่ในระดับสัมฤทธิ์แล้ว อีกทั้งยังเป็ทักษะหมัดในระดับนิลกาฬด้วย”
บัณฑิตของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นส่งเสียงฮือฮาออกมา
“ฮ่าๆ เว่ยอี้อวิ๋น คนในสำนักศึกษาเทียนอวิ่นของพวกเ้าช่างอ่อนหัดเสียจริง ระดับความแข็งแกร่งของจางเจี้ยนยังไม่สามารถจัดอยู่ในอันดับยอดฝีมือสำนักศึกษาของเราได้ด้วยซ้ำ”
ชายหนุ่มร่างสูงในชุดคลุมสีดำที่ยืนอยู่บนไม้กระดานกล่าวเย้ยหยัน
สีหน้าของเว่ยอี้อวิ๋นยังคงเรียบเฉยราวกับไม่คิดจะแยแส ไม่ว่าจะเป็เกียรติยศหรือความอัปยศของสำนักศึกษาล้วนไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขา
สำหรับจางเจี้ยน เขาสามารถเอาชนะศิษย์ของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นได้ติดต่อกันสิบคน ดังนั้นตอนนี้เขาจึงมีคุณสมบัติที่จะท้าประลองกับคนที่อยู่ในอันดับยอดฝีมือของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นแล้ว ทว่าไม่รู้ว่าเขาจะเลือกท้าประลองกับใคร