บทที่ 2 ถ้าพูดไม่รู้เื่ก็หักนิ้วทิ้งซะ
แสงอรุณรุ่งสาดส่องผ่านรอยแตกของผนังดินอัดเข้ามาภายในห้องนอนที่คับแคบและอับชื้น ฝุ่นละอองเล็กๆ ล่องลอยคว้างกลางลำแสงสีทองราวกับิญญาไร้ที่ไป เสียงไก่ขันเจื้อยแจ้วจากเล้าข้างบ้านดังประสานกับเสียงสับมีดลงบนเขียงไม้จากครัวเรือนข้างเคียง บอกเวลาเช้าตรู่ของหมู่บ้านชนบทในปี 1980
หลินซีลืมตาตื่นขึ้น ความรู้สึกแรกที่ััได้คือความปวดร้าวที่เบาบางลงกว่าเมื่อคืนมากนัก แต่ร่างกายนี้ยังคงหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยตะกั่ว ความทรงจำของร่างเดิมบอกเธอว่า นี่คือผลพวงของการทำงานหนักเกินกำลังและการขาดสารอาหารมาอย่างยาวนาน
"ร่างกายคือทุนรอนของการปฏิวัติ ประโยคทองของท่านผู้นำยังคงใช้ได้เสมอ"
เธอพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ก่อนจะหลับตาลงเพื่อเชื่อมต่อกับจิติญญาอีกครั้ง
เพียงแค่คิด ร่างกายของเธอก็ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง แต่จิตกลับพุ่งตรงเข้าสู่มิติคลังแสงและห้างสรรพสินค้า
บรรยากาศภายในมิติช่างแตกต่างจากโลกภายนอกราวฟ้ากับเหว ที่นี่มีความเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศ กลิ่นหอมสะอาดของน้ำยาฆ่าเชื้อ และความสว่างไสวจากหลอดไฟ LED
หลินซีเดินตรงไปยังโซนซูเปอร์มาร์เก็ต เธอเมินเฉยต่อชั้นวางขนมขบเคี้ยวสีสันสดใส แต่พุ่งตรงไปยังตู้แช่ผลิตภัณฑ์นมและโซนอาหารสด
มือเรียวหยิบ นมโปรตีนสูงรสวานิลลา และไข่ต้มสมุนไพรซีลสุญญากาศ ออกมา พร้อมกับวิตามินรวมอัดเม็ด เธอกินมันอย่างรวดเร็วอยู่ภายในมิติ เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นอาหารเล็ดลอดออกไปเตะจมูกใครข้างนอก
รสชาติเข้มข้นของไข่ต้มและความหอมมันของนมไหลผ่านลงสู่กระเพาะ ความอุ่นวาบแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เซลล์ทุกเซลล์ที่หิวโหยราวกับผืนดินแตกระแหงได้รับน้ำฝนชโลมจนชุ่มฉ่ำ
เมื่อเติมพลังเสร็จ เธอเดินไปยังโซนยา หยิบครีมลดรอยฟกช้ำสูตรทหาร ออกมาทาบริเวณข้อมือและหัวไหล่ที่เจ็บ รอยเขียวช้ำจางลงอย่างเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่าราวกับเล่นกล
"เอาล่ะ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เมื่อท้องอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาออกไปทำา"
หลินซีลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งในโลกความเป็จริง แววตาของเธอใสกระจ่างและคมกล้ายิ่งกว่าเดิม
ทันทีที่เธอยันกายลุกขึ้นจากเตียง เสียงฝีเท้าหนักๆ หลายคู่ก็ดังตึงตังเข้ามาใกล้หน้าประตูห้อง ราวกับฝูงช้างสารกำลังกรีธาทัพ
ปัง!
ประตูไม้บานเดิมที่เพิ่งจะซ่อมแซมไปลวกๆ ถูกถีบจนเปิดอ้าออกอีกครั้ง คราวนี้ผู้ที่ยืนตระหง่านอยู่หน้าประตูไม่ใช่แม่เลี้ยงจางชุ่ย แต่เป็หญิงชราผมขาวโพลน รูปร่างผอมเกร็งแต่ดูแข็งแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากการขมวดคิ้วบึ้งตึงมาตลอดชีวิต
นางคือแม่เฒ่าหลิน ย่าแท้ๆ ของหลินซี ผู้ถือคติ 'ลูกชายคือั ลูกสาวคือเศษสวะ' และเกลียดชังแม่แท้ๆ ของหลินซีที่ตายไปแล้วเข้ากระดูกดำ
ด้านหลังแม่เฒ่าหลิน คือจางชุ่ยที่ข้อมือพันด้วยผ้าดิบสีขาวหยาบๆ และหลินเจียวที่เดินตัวงอ กุมท้องน้อยด้วยสีหน้าเ็ป ทั้งสองคนยืนหลบอยู่หลังร่มเงาของผู้มีอำนาจสูงสุดในบ้าน พร้อมส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายมาให้
"นังตัวดี! แกยังกล้านอนกินบ้านกินเมืองอยู่อีกรึ!"
เสียงของแม่เฒ่าหลินแหบแห้งแต่ดังก้องกังวานเหมือนเสียงกาเหว่าที่กรีดร้อง นางชี้ไม้เท้าหัวัมาที่หน้าหลินซี มือไม้สั่นระริกด้วยความโกรธ
"เมื่อคืนแกทำอะไรลงไป? ฮึ! แกกล้าตบตีแม่เลี้ยง ถีบน้องสาว แกมันเป็สัตว์นรกมาเกิดจริงๆ! พ่อแกไม่อยู่ แกเลยคิดจะตั้งตนเป็ใหญ่ในบ้านนี้งั้นเรอะ?"
หลินซีนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ท่าทีสงบนิ่งดุจผิวน้ำในบ่อลึก เธอค่อยๆ จัดเสื้อผ้าเก่าๆ ของตัวเองให้เข้าที่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับหญิงชราอย่างไม่เกรงกลัว
"อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณย่า" น้ำเสียงของเธอราบเรียบ แต่แฝงความเ็าที่ทำให้คนฟังรู้สึกอึดอัด "เช้าขนาดนี้ ไม่รีบไปสวดมนต์แผ่เมตตา แต่กลับมาด่าหลานสาวแต่เช้า ระวังความดันจะขึ้นเอาเสียเปล่านะคะ"
"แก แกแช่งฉันรึ!" แม่เฒ่าหลินเบิกตากว้าง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง ปกติหลินซีเป็คนหัวอ่อน ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่เคยกล้าสบตาใคร แต่วันนี้เด็กคนนี้กลับกล้าต่อปากต่อคำ!
"ฉันไม่ได้แช่ง ฉันแค่เตือนด้วยความหวังดี" หลินซีแสยะยิ้มบางๆ "แล้วที่บอกว่าฉันตบตีแม่เลี้ยง ย่าเอาตาข้างไหนมองคะ? หรือฟังความข้างเดียวจากปากคนที่เกลียดฉันเข้าไส้? สุภาษิตเขาว่า 'ฟังความข้างเดียว เท่ากับตาบอดไปข้างหนึ่ง' ย่าคงไม่อยากตาบอดหรอกใช่ไหม?"
"สามหาว!" จางชุ่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังทนไม่ไหว ะโแทรกขึ้นมา "คุณแม่ดูมันสิคะ! มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เมื่อคืนมันบีบมือฉันจนกระดูกแทบแตก เจียวเอ๋อร์ก็โดนมันถีบจนช้ำใน มันผีเข้าชัดๆ!"
แม่เฒ่าหลินกระทุ้งไม้เท้าลงกับพื้นดินเสียงดัง ปึก!
"หุบปาก! ไม่ต้องให้แกมาสอนฉัน!" นางหันไปตวาดลูกสะใภ้ที่พยายามจะใส่ไฟ ก่อนจะหันกลับมาจ้องหลินซีเขม็ง แววตาเต็มไปด้วยความรังเกียจเหยียดหยาม
"นังเด็กเหลือขอ! ไม่ว่ายังไง จางชุ่ยก็เปรียบเสมือนเป็แม่แก แกเป็ลูก ไม่มีสิทธิ์แตะต้องผู้ใหญ่! วันนี้ฉันจะสั่งสอนแกแทนพ่อแกเอง!"
หญิงชราก้าวสามขุมเข้ามาใกล้ ในมือไม่ได้มีแค่ไม้เท้า แต่นางยังคว้า ไม้เรียวหวาย ที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมาด้วย ไม้เรียวเส้นนี้เคยหวดลงบนหลังหลินซีมานับครั้งไม่ถ้วนในความทรงจำของเ้าของร่าง
"คุกเข่าลง! แล้วสำนึกผิดซะ!" แม่เฒ่าหลินตวาดลั่น ง้างไม้เรียวขึ้นสุดแขน
บรรยากาศในห้องตึงเครียดจนแทบขาดผึง จางชุ่ยและหลินเจียวแสยะยิ้มอย่างสะใจ รอคอยที่จะเห็นหลินซีถูกตีจนเนื้อแตกเืสาด
ทว่า ภาพที่เกิดขึ้นถัดมากลับทำให้พวกนางต้องกลืนน้ำลายลงคอ
หลินซีไม่เพียงแต่ไม่คุกเข่า เธอยังลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แม้ร่างกายจะผอมบาง แต่แผ่นหลังกลับเหยียดตรงดุจต้นสนที่ท้าทายพายุหิมะ ดวงตาหงส์หรี่ลงเล็กน้อย ประกายสังหารวาบผ่านั์ตา
"ย่าจะตีฉันด้วยข้อหาอะไร?" เธอถามเสียงต่ำ
"ข้อหาอกตัญญู! ข้อหาทำร้ายคนในครอบครัว!"
"คนในครอบครัว?" หลินซีหัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะนั้นแห้งแล้งและขมขื่นประดุจลมฤดูหนาวที่พัดผ่านทุ่งหญ้าร้าง
"ช่างเป็คำว่าครอบครัวที่น่าขันสิ้นดี ย่าคะตลอดสิบเก้าปีที่ผ่านมา ครอบครัวแบบไหนกันที่ปล่อยให้หลานสาวคนโตใส่เสื้อผ้าขาดวิ่นกินน้ำข้าวต้ม ในขณะที่หลานสาวคนเล็กใส่ชุดใหม่กินไข่ต้มทุกมื้อ? ครอบครัวแบบไหนกันที่จ้องจะฮุบสมบัติของคนตาย แล้วถีบหัวส่งลูกเลี้ยงให้ไปอดตายข้างถนน?"
"หุบปาก! นังเด็กเนรคุณ!" แม่เฒ่าหลินหน้าแดงก่ำ เส้นเืที่ขมับปูดโปนด้วยความเดือดดาล นางไม่เคยถูกท้าทายเช่นนี้มาก่อน ศักดิ์ศรีของประมุขหญิงแห่งบ้านสกุลหลินกำลังถูกเหยียบย่ำ "วันนี้ถ้าฉันไม่ตีแกให้ตายคาไม้เรียว ฉันจะไม่ขอแซ่หลินอีก!"
ขวับ!
ไม้เรียวหวายเส้นหนาถูกฟาดลงมาเต็มแรง แหวกอากาศจนเกิดเสียงหวีดหวิว เป้าหมายคือใบหน้าของหลินซี จางชุ่ยและหลินเจียวยิ้มกริ่ม รอคอยวินาทีที่ใบหน้านั้นจะแตกยับเยิน
ทว่า...
หมับ!
ภาพเหตุการณ์กลับหยุดนิ่งราวกับมีใครกดปุ่มหยุดเวลา ฝ่ามือเรียวบางของหลินซียกขึ้นคว้าจับปลายไม้เรียวหวายเอาไว้ได้อย่างแม่นยำกลางอากาศ ห่างจากใบหน้าเพียงไม่กี่เิเ
ดวงตาของแม่เฒ่าหลินเบิกกว้างจนแทบถลน นางพยายามกระชากไม้กลับ แต่กลับพบว่าเรี่ยวแรงของหญิงชราไม่อาจสู้แรงยึดจับอันมั่นคงของหลานสาวได้เลยแม้แต่น้อย
หลินซีจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่สั่นระริกของย่า แววตาของเธอสงบนิ่ง ลึกล้ำ ราวกับบ่อน้ำไร้ก้นบึ้งที่พร้อมจะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง
"ย่าแก่แล้ว เก็บแรงไว้ตักข้าวเข้าปากเถอะค่ะ อย่ามาเปลืองแรงรังแกฉันเลย"
เปรี๊ยะ!
สิ้นคำพูด หลินซีออกแรงหักข้อมือเพียงเล็กน้อย ไม้หวายที่ผ่านการแช่น้ำมันจนเหนียวทนทาน กลับถูกหักสะบั้นออกเป็สองท่อนคามืออย่างง่ายดายราวกับกิ่งไม้ผุ
เศษไม้ร่วงกราวลงสู่พื้นดิน ก่อเกิดความเงียบงันที่น่าสะพรึงกลัวขึ้นในห้อง
จางชุ่ยอ้าปากค้าง หลินเจียวตัวสั่นเทาถอยกรูดไปหลบหลังแม่ แม่เฒ่าหลินมองไม้เรียวที่หักในมือด้วยความตกตะลึง ร่างกายชราภาพเซถอยหลังไปสองก้าวอย่างเสียหลัก
"แก แก" หญิงชราชี้นิ้วที่สั่นระริกมาที่หน้าหลินซี พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
หลินซีโยนท่อนไม้ในมือทิ้งอย่างไม่ไยดี ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปหาคนทั้งสามอย่างช้าๆ ทุกย่างก้าวหนักแน่น กดดัน จนจางชุ่ยและหลินเจียวรู้สึกหายใจไม่ออก เหมือนมีก้อนหินหนักอึ้งทับอยู่กลางอก
"จำไว้นะคะ" หลินซีกวาดตามองหน้าทีละคน สายตาคมกริบดุจเหยี่ยวล่าเหยื่อ "ความกตัญญูมีไว้สำหรับผู้มีพระคุณ ไม่ใช่สำหรับ เดรัจฉานที่สวมหนังมนุษย์จ้องจะสูบเืสูบเนื้อลูกหลานตัวเอง!"
ถ้อยคำนั้นเปรียบเสมือนแส้ที่ฟาดลงกลางใจดำมืดของคนทั้งสาม หลินซีไม่เพียงแต่ด่าทอ แต่ั์ตาคู่นั้นยังฉายแววรังเกียจเดียดฉันท์อย่างปิดไม่มิด ราวกับกำลังมองก้อนอาจมที่น่าสะอิดสะเอียน
“อย่าเอาคำว่ากตัญญูมากดหัวฉัน! สำหรับคนอย่างพวกคุณ มันไม่คู่ควร!”
"แก แก" แม่เฒ่าหลินอ้าปากพะงาบๆ หน้าซีดเผือดสลับแดงก่ำ ลมหายใจติดขัดจนต้องยกมือกุมหน้าอก ความเกรงขามที่เคยสั่งสมมาตลอดชีวิตพังทลายลงต่อหน้าเด็กสาวอายุสิบเก้าปีผู้นี้
หลินซีขยับเท้าก้าวเข้าไปประชิดอีกหนึ่งก้าว รัศมีกดดันแผ่ออกมารุนแรงจนจางชุ่ยต้องรีบถอยกรูดไปจนชิดฝาผนัง ส่วนหลินเจียวเข่าอ่อนจนแทบทรุดลงไปกองกับพื้น
เด็กสาวโน้มใบหน้าลงต่ำ จ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางของหญิงชรา ก่อนจะกระซิบด้วยน้ำเสียงแ่เบา แต่ชัดเจนทุกพยางค์ราวกับสลักลงบนแผ่นหิน
"ไม้เรียวอันนี้มันหักง่ายเกินไปค่ะคุณย่า ครั้งหน้าถ้าใครหน้าไหนกล้ายกมือใส่ฉันอีก ฉันรับรองว่าสิ่งที่หัก จะไม่ใช่แค่ไม้ แต่จะเป็นิ้วมือของคนคนนั้น!"
เธอเว้นจังหวะ พลางปรายตามองไปที่มือสั่นเทาของแม่เฒ่าหลิน แล้วเลื่อนสายตาไปยังข้อมือที่บวมเป่งของจางชุ่ย
"ลองดูไหมคะ? ว่าระหว่างกระดูกคนแก่กับไม้หวายผุๆ อะไรมันจะเปราะกว่ากัน?"
ประโยคนั้นเป็ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำลายกำแพงจิตใจของแม่เฒ่าหลิน ความหวาดกลัวที่เย็นวาบจับขั้วหัวใจแล่นพล่านไปทั่วร่าง นางไม่เคยเห็นแววตาฆาตกรแบบนี้จากหลานสาวมาก่อน สัญชาตญาณบอกนางว่า นังเด็กนี่ทำจริงแน่!
"ป... ไป! ชุ่ยเอ๋อร์! พาฉันออกไป! เร็วเข้า!"
หญิงชราร้องสั่งเสียงหลง ขาทั้งสองข้างสั่นเทาจนแทบก้าวไม่ออก จางชุ่ยและหลินเจียวได้สติ รีบถลันเข้ามาประคองร่างแม่เฒ่าหลิน ทั้งสามคนเบียดเสียดกันหนีออกจากห้องราวกับฝูงหนูที่หนีตายจากไฟไหม้ ลืมสิ้นซึ่งมาดผู้ยิ่งใหญ่คับบ้าน ทิ้งไว้เพียงเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบและสับสน
ปัง!
หลินซีเดินตามไปปิดประตูแล้วลงกลอนไม้ขัดอย่างแ่า เสียงกระแทกประตูดังสนั่นเหมือนเป็การประกาศปิดฉากละครลิงในเช้านี้
ความเงียบสงบกลับคืนมาสู่ห้องอีกครั้ง หลินซีพิงหลังกับบานประตู ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกยาวเหยียด
เธอยกฝ่ามือข้างที่รับไม้เรียวขึ้นมาดู รอยแดงเป็ปื้นปรากฏชัดเจน แม้จิตใจจะแกร่งกล้า แต่ร่างกายนี้ก็ยังเป็เพียงเนื้อหนังมังสาที่บอบบาง
"เจ็บชะมัด" เธอพึมพำเบาๆ แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจ
ในยุคสมัยที่กฎหมายยังเอื้อมไม่ถึงทุกซอกมุม และคติธรรมโบราณคร่ำครึยังถูกใช้เป็เครื่องมือรังแกคนอ่อนแอ วิธีเดียวที่จะเอาตัวรอดได้คือต้อง ร้าย ให้ยิ่งกว่า
และวันนี้ เธอได้ปักธงรบลงกลางบ้านสกุลหลินแล้ว
หลินซีหมุนตัวเดินกลับไปนั่งที่ขอบเตียง มือเรียววาดผ่านอากาศเบาๆ เรียกเอาสเปรย์ยาชาเฉพาะจุด จากมิติออกมาฉีดพ่นลงบนฝ่ามือ ความเย็นซ่านทำให้ความเ็ปมลายหายไปในพริบตา
ดวงตาหงส์ทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง มองดูแสงตะวันที่เริ่มแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ
นี่เป็เพียงยกแรกเท่านั้น พวกมันคงไม่ยอมรามือแค่นี้แน่ แต่ก็ช่างปะไร
ในเมื่อ์ส่งเธอมาเกิดใหม่พร้อมกับคลังแสงและห้างสรรพสินค้า ระดับพระกาฬใครที่กล้าดาหน้าเข้ามา ก็เตรียมตัวจองศาลาวัดไว้ได้เลย!
