สำหรับข้อความท่อนแรกที่มารดาคังเหว่ยกล่าว คังเหว่ยไม่ใแม้แต่น้อย
เมื่อเหล่าสุภาพสตรีวัยแม่อยู่ร่วมกันจะไม่สนทนาสัพเพเหระได้หรือ? กวนฮุ่ยเอ๋อค่อนข้างสนิทกับกับมารดาเขามาโดยตลอด คุณน้ากวนไม่ถูกใจผู้หญิงที่พี่เฉิงจื่อคบ เธอออกไปโพนทะนาทั่วโลกไม่ได้ เป็ธรรมดามากที่จะแอบบอกมารดาของเขา
สิ่งที่คังเหว่ยใคือประโยคหลังต่างหาก!
แม่กำลังใส่ใจชีวิตส่วนตัวของเขา?
บางครั้งคังเหว่ยถึงกับสงสัย ว่าเซี่ยอวิ๋นมารดาของเขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกของเธอเอง ในโลกของเซี่ยอวิ๋น เวลาหยุดนิ่งไม่เดินหน้า นอกจาก ‘ความโศกเศร้า’ อารมณ์อื่นๆ ทั้งหมดถูกพรากไปโดยการตายของบิดาเขาแล้ว!
มีเพียงครั้งนี้ คังเหว่ยััได้ถึงความรักและห่วงใยในคำพูดของเซี่ยอวิ๋นผู้เป็มารดา
แม้น้ำเสียงของเซี่ยอวิ๋นยังไม่แน่ใจนัก เธอดูเหมือนกำลังลังเล การซักถามเกี่ยวกับชีวิตรักของคังเหว่ยแบบนี้ถูกต้องหรือเปล่า จึงไม่มีความมั่นใจขณะกล่าวประโยคนี้... คังเหว่ยปลื้มปีติเหลือล้น! นี่แม่กำลังใส่ใจเขา?
คังเหว่ยเก็บความรู้สึกตื่นเต้นไว้
“ต้องพามาให้แม่ดูอยู่แล้ว ถ้าเธอคนนั้นไม่ถูกใจแม่ ผมก็ไม่คบ!”
เซี่ยอวิ๋นไม่ได้จริงจังกับคำพูดของเขา
เธอแค่เพิ่งตระหนักว่าลูกชายกลายเป็ผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้ว และเธอก็พลาดหลายสิ่งหลายอย่างไป ในขณะที่เธอกำลังปล่อยปละละเลย คังเหว่ยเติบโตเป็หนุ่มในชั่วพริบตา นอกจากตัดสินใจแต่งบ้านใหม่ด้วยตนเองได้ ยังเข้าสู่วัยที่มีความรักได้อีกด้วย
ย่าคังเห็นบรรยากาศอันกลมเกลียวระหว่างสองแม่ลูก คิดว่าบ้านหลังนี้ตกแต่งใหม่ได้อย่างถูกต้องเหมาะควรยิ่งนัก!
เธอช่วยสร้างความสนิทสนมอีกแรงหนึ่งโดยการเสนอหัวข้อสนทนา
“โจวเฉิงมีคนรักแล้ว เป็สาวจากบ้านไหนกัน?”
ในวงสังคม โจวเฉิงก็คือลูกของบ้านอื่น [1] คนนั้น ทำอะไรก็ดีไปเสียทุกอย่าง เกิดการเปรียบเทียบให้เห็นว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันทำอะไรก็ไม่ได้เื่!
แน่นอนว่าชีวิตรักของเขาจะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่แค่บุคคลรุ่นแม่ที่สนใจใคร่รู้ กระทั่งรุ่นย่ายายก็ซุบซิบเหมือนกัน
ย่าคังได้ยินเป็ครั้งแรกด้วยซ้ำ เธอเองก็สงสัยมากว่าโจวเฉิงคบหากับใคร เป็หญิงสาวจากตระกูลไหนกันแน่ที่ทำให้กวนฮุ่ยเอ๋อไม่พอใจถึงขนาดนี้... ไม่ต้องพูดเื่แม่สามีกับลูกสะใภ้คือศัตรูตามธรรมชาติต่อกันเลย หากกวนฮุ่ยเอ๋อเป็คนไร้เหตุผลแบบนี้ เธอจะเป็สะใภ้ตระกูลโจวได้อย่างไร! แสดงว่าคนรักของโจวเฉิงต้องมีข้อบกพร่องที่กวนฮุ่ยเอ๋อยอมรับไม่ได้
พอโดนสายตาสองคู่จับจ้อง คังเหว่ยรู้สึกกดดันมาก คนอื่นไม่รับรู้รายละเอียดใดเกี่ยวกับเื่นี้ ั้แ่จุดเริ่มต้นในการพบกันของโจวเฉิงกับเซี่ยเสี่ยวหลาน คังเหว่ยคือพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์ เซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนแบบไหน นอกจากโจวเฉิงแล้ว ก็มีเพียงเขาที่รู้ดีที่สุด!
เขาอยากแก้ต่างแทนเซี่ยเสี่ยวหลานเหลือเกิน พอนึกถึงข้อตกลงที่ทำไว้กับเส้ากวงหรง คังเหว่ยเผยยิ้มชวนฉงน
“ฮึ รออีกสองเดือนแม่กับย่าก็จะรู้เอง”
เซี่ยอวิ๋นกับแม่สามีมองหน้ากัน คังเหว่ยเติบโตขึ้นมากจริงๆ มีความคิดของตนเองแล้ว แต่ความกระหยิ่มยิ้มย่องที่ซุกซ่อนไว้ในน้ำเสียงนั้นคืออะไรกัน?
นั่นเป็คนรักของโจวเฉิงเขา ดีหรือไม่ยังไม่ทราบ เธอภาคภูมิใจเพื่ออะไรน่ะ!
----------------------------------------
หลิวหย่งจ้างคนถ่ายภาพจำนวนมาก จากนั้นก็ชำระค่าใช้จ่ายการตกแต่งภายในกับคังเหว่ยและเส้ากวงหรง
บ้านของทั้งสองคนเกินงบประมาณเล็กน้อย งบประมาณของบ้านคังเหว่ยคือ 31500 หยวน ในขณะที่ราคาสุดท้ายคือ 32000 หยวน อันที่จริงไม่รับ 500 หยวนนั่นก็ได้ หลิวหย่งไม่ขาดทุนอยู่แล้ว ทว่าคังเหว่ยยืนกรานจะให้ บอกว่าทำลายกฎเกณฑ์ไม่ได้
บ้านของเส้ากวงหรงหลังตกแต่งเสร็จก็เกินงบเล็กน้อยเช่นเดียวกัน อยู่ที่ 10400 หยวน
สองคนนี้ยอมรับได้ อีกทั้งมีเงินในมือพอดี จ่ายเงินค้างชำระที่เหลือให้แก่หลิวหย่ง ถือว่างานตกแต่งภายในในปักกิ่งสองชิ้นของหลิวหย่งเสร็จสมบูรณ์แล้ว!
เขาจะพาคนงานทั้งสองกลับซางตู แม้ปักกิ่งจะกว้างใหญ่และน่าสนใจเพียงใด พวกเขาอยู่ไกลบ้านนานกว่าสองเดือน ทุกคนล้วนคิดถึงบ้านแล้ว หลังจ่ายค่าแรงต่างๆ กับค่าวัสดุ หลิวหย่งพบว่างานสองชิ้นทำให้เขาได้กำไรราว 4000 หยวน
ราคาคนรู้จัก cและตอนแจ้งราคาครั้งแรกก็ไม่คิดว่าจะได้กำไรมาก แต่กำไรส่วนนี้... เกือบเทียบเท่าตอนเขาลักลอบขนสินค้าเถื่อน?
เนื่องจากเป็คนรู้จัก คังเหว่ยกับเส้ากวงหรงจึงจ่ายเงินล่วงหน้าและชำระเงินปิดท้ายอย่างรวดเร็ว ไม่ปล่อยให้หลิวหย่งต้องสำรองเงินมากนัก การค้าของเถื่อนกำไรงามแน่นอน ทว่าเงินส่วนมากถูกยึดโดยนายใหญ่ของขบวนการ หลิวหย่งเป็แค่ผู้ร่วมงานตัวน้อยๆ ได้ส่วนแบ่งสักเท่าไรเชียว!
ระหว่างลักลอบขนสินค้าเถื่อนกับตกแต่งภายใน งานตกแต่งภายในเหน็ดเหนื่อยกว่า คนงานทำงานไม่หยุดพักเป็เวลาสองเดือน หลิวหย่งก็ทำงานแบบเดียวกับพวกเขา เมื่อไรที่ลงมือเองได้จะไม่บ่ายเบี่ยงเด็ดขาด เขาไม่เพียงแต่ต้องทำงาน ยังต้องกังวลเกี่ยวกับผลลัพธ์และความคืบหน้าของโครงการโดยรวมอีกด้วย ภาพจำลองผลการออกแบบก็อยู่ตรงนั้น จะตกแต่งให้เหมือนกันอย่างกับแกะได้อย่างไร หลิวหย่งต้องนำคนงานลองผิดลองถูกหลายหนทีเดียว
หลานสาวเขายังบอกอีกว่า ่ปีแรกของการทำงานตกแต่งภายในอาจไม่ได้มีกำไรมาก สิ่งสำคัญคือการทำความคุ้นเคยกับอาชีพนี้ก่อน สั่งสมประสบการณ์ก่อน ชิงพื้นที่ในตลาดก่อน ถึงกระนั้นหลิวหย่งก็ค่อนข้างพึงพอใจแล้ว งานลักลอบขนสินค้าเถื่อนต้องเสี่ยงภัยอันตราย ส่วนเงินสี่พันหยวนนี้เป็เงินที่ได้มาอย่างสุจริต
ภายในเวลาสองเดือนกว่า เขาทำเงินได้ประมาณสี่พันกว่าหยวน ยังมากสู้เงินปันผลที่หลี่เฟิ่งเหมยรับจากร้านเสื้อผ้าไม่ได้ แต่แก่นทั้งสองอย่างแตกต่างกัน หลิวหย่งทำธุรกิจตกแต่งภายในได้ ต่อให้มีอุปสรรค อย่างไรเสียก็อยู่ในขอบเขตความสามารถของหลิวหย่ง ถ้าให้เขาไปขายเสื้อผ้าผู้หญิง แม้รู้ดีว่ามันจะทำเงินมาก ทว่ามันช่างน่าอายเหลือเกิน
หลิวหย่งรู้ดี ‘ลูกค้า’ ในอนาคตจะไม่เจรจาง่ายเหมือนคังเหว่ยกับเส้ากวงหรง ในตอนนี้มีคนไม่มากนักที่จะนำเงินหลักหมื่นมาแต่งบ้าน หนึ่งงานอาจมีงบประมาณเพียงหลักพัน ไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่เขาจะสามารถหากำไร 200 หยวนจาก 1000 หยวน... แล้วจะเป็อะไรไปเล่า โครงการตกแต่งภายในที่งบน้อย เวลาที่ใช้ย่อมน้อยเช่นกันอย่างแน่นอน หลิวหย่งกำลังขบคิด สองสามปีแรกสำหรับธุรกิจนี้คงมีกำไรไม่เท่าไร แต่ไม่มีปัญหาในการเลี้ยงครอบครัว!
หลิวหย่งกลับมาถึงซางตูพร้อมเงินจากการทำงานและแปลนออกแบบที่ใช้แล้ว รวมถึงภาพถ่ายสีหลังการตกแต่งบ้านอีกหนึ่งกอง
เขายังไม่รู้ว่าตนเองได้กลายเป็ ‘ประธานหลิว’ ตัวจริงเรียบร้อยแล้ว เวลานี้ยังไม่มีการประกาศใช้《กฎหมายว่าด้วยหุ้นส่วนบริษัท》ในประเทศ ยังไม่กำหนดเงินทุนหมุนเวียนขั้นต่ำที่สุดสำหรับการจดทะเบียนบริษัทของเอกชน มิเช่นนั้นแค่ทุนจดทะเบียนก็จะทำให้ ‘ตกแต่งภายในหย่วนฮุย’ ของหลิวหย่งลำบากไม่ใช่น้อย
และแน่นอน เนื่องจากกฎหมายยังไม่สมบูรณ์ การจะขึ้นทะเบียนบริษัทจึงยากมาก จะจดทะเบียนสำเร็จหรือไม่นั้นเป็ไปได้ทั้งสองทาง มีคนช่วยเจรจาในเวลาวิกฤติย่อมดีกว่าอะไรทั้งสิ้น
สำหรับจุดนี้ หลิวหย่งอาศัยเซี่ยเสี่ยวหลาน ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานต้องพึ่งพาเส้นสายของโจวเฉิง เลขาโหวถึงกระตือรือร้นจะช่วย!
หลังหลิวหย่งกลับซางตู ไม่จำเป็ต้องพูดถึงการต้อนรับอย่างอบอุ่นเลย หลี่เฟิ่งเหมยสงสารที่เขาผอมลง หลิวหย่งมอบเงินจากการทำงานให้ภรรยา และตัวเขามีความมั่นใจมาก
เมื่อปีก่อนหลังจากเขาได้รับาเ็ ก็กลายเป็ ‘คนว่างงาน’ ที่อาศัยภรรยาเลี้ยงดู ร้านเสื้อผ้าทำรายได้เป็กอบเป็กำ ทางด้านหลิวหย่งไม่มีรายได้สักนิดเดียว แม้หลี่เฟิ่งเหมยไม่พูดอะไร ทว่าหลิวหย่งไม่สบายใจ ปัจจุบันนี้ดีขึ้นแล้ว ในที่สุดเขาสามารถกลับมาหาเงินได้ด้วยตนเองอีกครั้ง และความรู้สึกของการใช้ชีวิตอย่างเต็มภาคภูมิก็สดชื่นเป็ที่สุด!
“สองเดือนที่ผ่านมาในปักกิ่งของคุณ ไม่ได้กินข้าวรึ?”
หลิวหย่งร่างผอมมาั้แ่ไหนแต่ไร ตะบี้ตะบันรับประทานเนื้อสัตว์เพื่อฟื้นฟูร่างกายตอนรักษาาแ อุตส่าห์บำรุงจนอ้วนขึ้นเล็กน้อย ไปปักกิ่งเพียงหนเดียว เนื้ออันน้อยนิดนั่นหมดเกลี้ยงแล้ว ดูผอมแห้งกว่าเดิมเสียอีก
หลี่เฟิ่งเหมยสงสาร ส่วนตัวเขาไม่คิดมากนัก “ฉันอายุตั้งเท่าไร จะไม่รู้จักกินข้าวกินปลาหรือ? เธออย่าเพิ่งขัดสิ ให้เสี่ยวหลานอธิบายเื่ ‘ประมูล’ ในเผิงเฉิงกับฉันชัดๆ ที ฟังจากโทรศัพท์อู้อี้มาก”
“เช่นนั้นฉันจะเล่าให้ลุงฟังอย่างละเอียดนะ แม้จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่รู้แน่ว่าลุงจะต้องประมูลโครงการไหน... แต่เมื่อคว้างานนี้ได้ ลุงจะเปิดตลาดตกแต่งภายในของเผิงเฉิง!”
มีอาคารที่กำลังก่อสร้างตั้งเท่าไรในเผิงเฉิง!
ทุกอาคารที่มีลักษณะเป็บริษัทหรือหน่วยงาน ไม่ใช่ประเภทวางโครงด้วยอิฐแดงกับซีเมนต์ก็เพียงพอ ล้วน้าการตกแต่งภายใน
ส่วนลุงของเธอจะประมูลสำเร็จหรือไม่ และหลังประมูลสำเร็จจะทำงานเสร็จสมบูรณ์โดยรักษาคุณภาพงานคงที่ได้หรือไม่ ทุกอย่างส่งผลว่าทังหงเอินจะยอมเกื้อกูลสนับสนุนต่อไปในอนาคตหรือไม่
ดังที่สารถีเสี่ยวหวังกล่าวไว้ หัวหน้าเอ่ยปากช่วยเหลือไม่บ่อยนัก จะทำให้หัวหน้าอับอายไม่ได้เด็ดขาด ถูกต้องไหมเล่า
เชิงอรรถ
[1] 别人家的孩子 ลูกบ้านอื่น มีที่มาจากเวลาพ่อแม่เปรียบเทียบลูกของตัวเองกับลูกของครอบครัวอื่น และลูกของตนเองมักด้อยกว่าลูกของคนอื่นเสมอ คำนี้จึงมีความหมายว่า บุคคลที่เป็เลิศในทุกด้าน ไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้ อีกทั้งถูกผู้ปกครองใช้เป็มาตรฐานความยอดเยี่ยมในการเปรียบเทียบกับลูกหลานของตนเอง