วันที่สองที่อวิ๋นซีเข้ามารักษาโรคในเขตโรคระบาด จำนวนผู้เสียชีวิตในเมืองเฟิงยังคงสูงถึงสามร้อยกว่าศพ ทำให้มีเสียงร่ำลือมากมายแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง ข่าวลือเ่าั้ต่างบอกว่า อวิ๋นซีเป็ผู้นำหายนะไปสู่เมืองเฟิง
ข่าวเหล่านี้ จวินเหยียนไม่แม้แต่จะให้คนควบคุมไว้ แต่กลับยิ่งปล่อยให้โหมกระพือไปอย่างรุนแรง ถึงขนาดที่เรียกได้ว่า เขาคือคนหนึ่งที่คอยชักใยอยู่เื้ั ทำให้ข่าวเหล่านี้ยิ่งไปเร็ว ทั่วทุกซอกทุกมุมของเมืองหลวงราวกับติดปีกบิน ในพระราชวังนอกจากเหล่าพระสนมที่สติฟั่นเฟื่อนในตำหนักเย็นแล้ว คนมากมายต่างก็ทราบเื่เหล่านี้
ถึงกระนั้นท่าทีของคนในพระราชวังจะเป็อย่างไร จวินเหยียนก็หาได้สนใจสักนิด แต่เมื่อเป็เื่สมุนไพรที่อวิ๋นซี้ามาถึงหูเขาและอวิ๋นซาน นับแต่คราวแรกที่ได้ยิน คนทั้งสองต่างก็ลอบเตรียมสมุนไพรเ่าั้ในจำนวนไม่น้อยขนส่งไปยังเขตโรคระบาด
วันที่สามที่อวิ๋นซีเข้ามารักษาโรคในเขตโรคระบาด จำนวนผู้เสียชีวิตในเมืองเฟิงสูงขึ้นถึงห้าร้อยกว่าศพ ผลตอบรับนี้ราวกับเป็ตัวช่วยยืนยันข่าวลือเ่าั้ และยิ่งทำให้ผู้คนพากันลือไปมากกว่าเดิม
วันที่สี่ที่อวิ๋นซีเข้ามารักษาโรคในเขตโรคระบาด จำนวนผู้เสียชีวิตในเมืองเฟิงลดลงเหลือสองร้อยกว่าคน ทว่าข่าวนี้กลับถูกเว่ยซานปิดไว้ และไม่รู้ว่ามีข่าวลือมาจากที่ใดที่บอกกล่าวไปว่า จำนวนผู้เสียชีวิตในเมืองเฟิงมีเกินกว่าหนึ่งพันคนไปแล้ว
ข่าวนี้ ทำให้ราชสำนักไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เนื่องจากไทเฮาในตำหนักสืออันขัดเคืองแล้วจริงๆ เช่นเดียวกันกับองค์ฮ่องเต้ในตำหนักจินหลวนที่ก็กริ้วไม่ต่างกัน ถึงแม้ทุกคนจะช่วยกลบเกลื่อนข่าวลือนั้นได้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งเหล่าคนที่พยายามจะกระจายข่าวลือนี้อย่างอุกอาจอยู่ในที่ลับ
วันที่ห้าที่อวิ๋นซีเข้ามารักษาโรคในเขตโรคระบาด จำนวนผู้เสียชีวิตในเมืองเฟิงเหลือไม่ถึงห้าสิบศพ ขณะที่ผู้ป่วยชุดสุดท้ายที่ถูกส่งตัวมาก็ไม่มีการตายเกิดขึ้นแล้ว และเช่นเคยข่าวนี้ถูกปิดไว้
และในวันเดียวกันนี้ อวิ๋นซีก็ได้ต้อนรับแขกผู้มาใหม่ที่คุ้นเคยกันเป็อย่างดีผู้หนึ่ง ทันทีที่นางเห็นพี่รองในรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปกำลังยืนอยู่เื้ัตน นางก็อดไม่ได้ให้ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “พี่รอง เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่? ”
าาจันทราเงินแค่นเสียงเ็า “เ้ายังมาได้ แล้วตัวข้าจะมาบ้างไม่ได้หรือไร”
อวิ๋นซีรู้สึกปลง “ที่นี่เป็เขตโรคระบาด”
“เ้ารู้ด้วยหรือว่าที่นี่คือเขตโรคระบาด? ” อย่างไรเสีย เื่ราวเกี่ยวกับน้องสาว คนในเมืองหลวงก็เล่าลือกันไปทั่ว เขาถึงได้รู้ว่ายามนี้น้องสาวของตนอยู่ที่นี่แล้ว เขาผู้เป็พี่ชายสามารถพูดได้หรือไม่ว่าน้องสาวของเขาผู้นี้ช่างกล้าบ้าบิ่น?
อวิ๋นซีรู้สึกปลงเล็กน้อย นางพูดเสียงเบา “ท่านพี่ ข้าเป็หมอ”
“เป็หมอกับก้นสุนัขน่ะสิ ข้ารู้เพียงว่าเ้าคือน้องสาวของข้า เ้าสามน้อย หากเ้าเป็อะไรไปสักนิด พี่คงไม่จำเป็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ข้าจะบีบคอตัวเองให้ตายแล้วไปขอขมาต่อท่านพ่อท่านแม่ในปรโลก” าาจันทราเงินขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เมื่อก่อนน้องสาวเขาไม่ใช่คนบ้าบิ่นเพียงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่นางแต่งงานแล้ว กระทั่งลูกก็มีแล้ว นางควรจะเห็นครอบครัวสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ถึงกระนั้นนี่ก็เป็เหตุผลเดียวกันที่ทำให้เขาเดาได้ไม่ยากว่า เหตุใดนางถึงได้เลือกเดินทางเข้ามายังเขตโรคระบาดนี้ นั่นต้องเป็เพราะรู้ว่า ตัวเขา ซินหลาน และลูกๆ ทั้งสองอยู่ที่นี่
ถึงแม้นางจะไม่พูดออกมา แต่จากที่เขาเคยพูดคุยกับน้องสาวก็พอจะรู้แล้วว่า นางต้องแบกรับอะไรไว้มากมาย บางทีในใจของนางตอนนี้อาจจะมองว่าเหตุที่คนตระกูลเฉียวต้องมีอันเป็ไป คงเป็เพราะตัวนางเองที่เป็ต้นเหตุกระมัง ด้วยเหตุนี้ นางจึงได้ทำทุกอย่างอย่างสุดชีวิต เพื่อจะได้กลายเป็คนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และเพื่อจะได้ไปแก้แค้นให้คนในตระกูล
ส่วนเื่ที่เมืองเฟิงนี้มีสองสายเืสุดท้ายของตระกูลเฉียวอาศัยอยู่ ก็คงเป็สาเหตุที่ทำให้นางเป็กังวลถึงขั้นต้องเร่งรุดมาถึงที่นี่ แต่เมื่อรู้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ นางจึงเลือกเข้าไปในเขตโรคระบาด
ไม่อาจไม่พูดได้ว่า การคาดเดาของาาจันทราเงินก็เป็จริงดังว่า
“ท่านพี่ ข้าพบวิธีที่จะช่วยควบคุมโรคระบาดนี้ได้แล้ว หลายวันมานี้จำนวนผู้เสียชีวิตลดลงเรื่อยๆ ข้าเชื่อว่า อีกไม่กี่วันโรคระบาดก็คงจะควบคุมไว้ได้แล้ว ดังนั้น ท่านไม่ต้องเป็ห่วงข้า รีบไปจากที่นี่เถอะ” นางเชื่อว่า ด้วยความสามารถของพี่ชายตน หากคิดจะไปจากเมืองเฟิงแห่งนี้ก็นับเป็เื่ที่ง่ายดายยิ่ง
“พี่ไม่ไป จะอยู่เป็เพื่อนเ้าที่นี่” าาจันทราเงินพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรอีกทั้งนั้น หากเ้ายังจะพูดอีก ข้าก็จะพาเ้าไปจากที่นี่ด้วยกันเสียเลย”
เมื่อวิ๋นซีได้ยินเช่นนั้น รูม่านตาก็หดเล็กลง หากพี่รองพานางจากไป เื่ราวหลังจากนั้นก็คงไม่ง่ายดายเช่นนี้แล้ว เพราะสถานที่ที่เขา้าพานางไปไม่ใช่เมืองหลวง แต่เป็หลงชวีหยวน
และเพราะเหตุนี้เอง ท้ายที่สุดาาจันทราเงินถึงได้สามารถรั้งอยู่ที่นี่ในฐานะสหายของอวิ๋นซีได้ ตอนนี้มีเขาเข้าร่วมด้วยอีกคน เื่มากมายก็เท่ากับมีคนคอยช่วยเป็ธุระให้ ขณะที่ทางด้านหลิ่วเซิง เมื่อหลายวันก่อนเขาได้นำเทียบยาและสมุนไพรมากมายพร้อมคนอีกจำนวนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่โรคระบาดรุนแรงแล้ว
วันที่สิบที่อวิ๋นซีเข้ามารักษาในเขตโรคระบาด เมืองเฟิงก็ไม่มีจำนวนผู้เสียชีวิตอีกต่อไป ด้วยเื่นี้ ทำให้หลี่หรงเฉียวตื่นเต้นจนแทบจะคุกเข่าลงโขกศีรษะต่อหน้าอวิ๋นซี
สายตาแหลมคมของนางจดจ้องหลี่หรงเฉียว นางพูดเรียบๆ “เหตุการณ์ในครั้งนี้ ตัวท่านเองก็จัดการได้ไม่เลวจริงๆ ทั้งยังไม่แม้แต่จะละทิ้งประชาชนไปไหน” ก่อนหน้านี้นางได้รับข่าวจากอวี่โจวแล้ว อวี่โจวเป็ถึงโจวฝุ่ [1] แต่ในยามที่โรคระบาดเข้าโจมตี ข้าหลวงผู้ดูแลอวี่โจวกลับพาลูกเมียหนีเอาตัวรอดไปก่อนแล้ว
คิดถึงตรงนี้ สายตาของนางก็มีจิตสังหารเย็นเยียบแฝงอยู่ เป็ถึงขุนนาง แต่กลับละทิ้งประชาชน ไม่สนใจไยดีในชีวิตของผู้คนในใต้หล้า ช่างสมควรตาย
หลี่หรงเฉียวได้ยินคำเอ่ยชมก็ได้แต่ยิ้มขมขื่นแล้วกล่าวว่า “นี่เป็สิ่งที่กระหม่อมสมควรกระทำพ่ะย่ะค่ะ ทุกวันนี้มีชีวิตอยู่ได้ เพราะกินเบี้ยหวัดจากองค์ฮ่องเต้ ดังนั้น กระหม่อมก็ควรช่วยฝ่าาแบ่งเบาภาระ” เมื่อก่อนเคยได้ยินเื่ความโหดร้ายของโรคระบาดมาบ้าง แต่ในครั้งนี้เมื่อปัญหามาเกิดตรงหน้าประตูบ้านของตน จนถึงตอนนี้ยามที่นึกย้อนกลับไป ในใจของหลี่หรงเฉียวก็ยังคงหวาดกลัวอยู่
เขานึกถึงชาวบ้านที่ป่วยตายไปเ่าั้ ในใจมีความมืดมนที่ยังคงอยู่และไม่อาจสลายไปได้
“ยามนี้โรคระบาดทางฝั่งอวี่โจวยังคงรุนแรงอยู่ เปิ่นเฟยจะนำคนไปรักษาที่อวี่โจวต่อ ทางด้านเมืองเฟิงนี้ก็ให้เป็หน้าที่ของท่านแล้ว หลังจากผ่านเื่นี้ไป ท่านยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก” ถึงแม้สิบวันมานี้โรคระบาดในเมืองเฟิงจะได้รับการควบคุมแล้ว แต่คนที่ตายไปเ่าั้ รวมถึงที่นาที่ถูกปล่อยร้างเสียหาย...เพียงคิดในใจนางก็รู้สึกไม่ดีนัก
“จำไว้ ต้องให้คนช่วยกันทำความสะอาดทั้งเมือง ไม่เว้นแม้แต่สิ่งของในบ้าน ท่านต้องกำชับให้ประชาชนทำความสะอาดให้ดี ก่อนนำมาใช้” อวิ๋นซีพูดเสียงเบา “บริเวณแหล่งกักเก็บน้ำ และเส้นทางน้ำจำต้องรีบซ่อมแซมให้เสร็จโดยเร็วที่สุด ถึงแม้ต้นตอของโรคระบาดจะมาจากหมัดบนตัวหนู แต่เพราะเหตุใดในเมืองถึงได้มีหนูมากมายเพียงนี้ เปิ่นเฟยคิดว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ ท่านคงจะทราบดีแล้ว”
่ระยะเวลาที่ผ่านมานี้ขอแค่นางเห็นสิ่งที่จะเป็ประโยชน์ต่อประชาชน อวิ๋นซีก็ล้วนกำชับแนะหลี่หรงเฉียวอย่างดี ให้เขาระวังป้องกันไว้ โชคดีที่หลี่หรงเฉียวนับเป็ขุนนางน้ำดีที่มีใจเป็ห่วงชาวประชาอย่างแท้จริง สิ่งที่นางพูด เขาล้วนจดบันทึกไว้อย่างชัดเจน
อวิ๋นซีนำคนมุ่งหน้าไปยังอวี่โจว แต่สิ่งที่ได้พบเห็นกลับเป็ทางรอบข้างที่วังเวง แม้แต่พืชพรรณที่เริ่มเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิก็ยังไม่มีหลงเหลืออยู่อีกแล้ว ทั้งๆ ที่ยามปกติเส้นทางนี้จะมีคนสัญจรไปมาไม่ขาด แต่ตอนนี้กลับเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวถึงขนาดที่ว่า นางขี่ม้าเดินทางก็ยังอดไม่ได้ให้รู้สึกถึงความหวาดหวั่น
เยว่หัวมองอวิ๋นซี พูดว่า “อาจารย์ ข้าได้ยินมาว่า เส้นทางนี้มีคนตายมากมาย บางหมู่บ้านไม่เหลือผู้อาศัยแม้แต่คนเดียว” คิดถึงตรงนี้ จิตใจของเยว่หัวก็หม่นหมองลง
หากไม่ใช่ว่าได้เห็นมากับตาตน นางคงไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าบนโลกใบนี้จะมีโรคระบาดที่น่ากลัวถึงเพียงนี้อยู่ ทุกวันที่ผ่านไปนางล้วนได้เห็นคนตายไปมากมาย ทำให้นางคิดได้ว่า คนที่วันก่อนยังสนทนากับเ้าอยู่ ไม่แน่ว่า วันถัดไปยามที่เ้าได้พบพวกเขาอีกอาจเป็ตอนที่พวกเขาถูกแบกหามออกไป ซึ่งปลายทางเดียวที่รอพวกเขาอยู่ก็คือการถูกเผาเป็จุณ
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] โจวฝุ่(州府)หมายถึง เมืองเอก ในที่นี่หมายถึงการปกครองที่มีลักษณะคล้ายกับมณฑลในปัจจุบัน คือมีเมืองใหญ่ๆ หลายเมืองรวมอยู่ด้วยกัน และในบรรดาเมืองเ่าั้ก็จะมีเมืองเอกอยู่หนึ่งเมืองที่ทำหน้าที่เป็ศูนย์กลางของทั้งมณฑล