ในตอนแรกเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ตระหนักถึงปัญหานี้
เหล่าอาจารย์อันชิ่งอีจงโปรดปรานเธอ อาจารย์ใหญ่ซุนรวมอยู่ในนั้นเช่นกัน ขาดเพียงแต่เชิดชูบูชาเธอแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้คิดว่าตัวเธอเป็ต้าถวนเจี๋ย ซึ่งทุกคนต้องชอบเธอ แต่เธอนั้นตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง นาฬิกาชีวิตถูกปรับเป็ปกติั้แ่วันที่สอง คนตื่นเช้าที่สุดในห้องคือหยางหย่งหง หยางหย่งหงเพิ่งสอบเข้าหัวชิงสำเร็จในวัย 22 ปี ไม่ใช่เพราะเธอเข้าเรียนช้ากว่าเกณฑ์ ทว่าเป็เพราะเธอเข้าร่วมการสอบเกาเข่าทั้งหมดสามครั้ง
การสอบเกาเข่าทั้งสามครั้งนี้ เสร็จสิ้นภายใน 4 ปี
สอบเกาเข่าครั้งที่หนึ่ง หยางหย่งหงสอบได้ต่ำกว่าเกณฑ์รับเข้าของมหาวิทยาลัยชั้นนำห้าคะแนน ความประสงค์คือหัวชิง ตกอันดับ
สอบเกาเข่าครั้งที่สอง หยางหย่งหงสอบได้สูงกว่าเกณฑ์รับเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำยี่สิบแปดคะแนน ความประสงค์คือหัวชิง ตกอันดับ
ปีที่สาม ครอบครัวหยางหย่งหงไม่ยอมให้เธอเรียนหนังสือต่อ เธอจะเลือกหัวชิงเท่านั้น กรอกมหาวิทยาลัยอื่นไปแทนไม่ได้หรือ? ต้องทราบก่อนว่าในโรงเรียนมัธยมปลายประจำชุมชนที่เธอเรียนอยู่ ไม่มีสักคนที่สอบติดมหาวิทยาลัยชั้นนำ หยางหย่งหงได้สร้างสถิติใหม่ขึ้นมาแล้ว!
เธอไม่ย่อท้อนั่นเอง เชื่อว่าตนยังสามารถมุมานะได้อีกสักหน่อย
ถ้าไม่เข้าหัวชิง เธอก็ไม่เรียนมหาวิทยาลัยอื่น!
“คนในหมู่บ้านหัวเราะเยาะบ้านฉันกันทั้งนั้น ด่าพ่อแม่ฉันว่าเป็คนโง่ ทั้งที่มีน้องชายอีกสองคน ยังปล่อยให้ฉันทำสร้างปัญหา ควรให้ฉันเรียนมหาวิทยาลัยอะไรก็ได้ หรือไม่ก็กลับไปออกเรือนดีๆ แต่หัวชิงน่ะแตกต่าง ฉันคิดว่าตัวเองสามารถสอบเข้าได้...”
อาจเพราะเซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนตรงไปตรงมามาก กระทั่งเื่มีแฟนก็ไม่ปกปิดจากทุกคน หยางหย่งหงจึงซื่อสัตย์ต่อเซี่ยเสี่ยวหลานเช่นกัน จึงตัดสินใจบอกเื่ส่วนตัวพวกนี้แก่เซี่ยเสี่ยวหลาน
หัวชิงไม่เหมือนที่ไหนอย่างแน่นอน หยางหย่งหงแบกรับความกดดันไว้ ถ้าบังคับเธอแต่งงานเธอจะดื่มยาฆ่าแมลงปลิดชีพตนเสีย ในหนึ่งปีที่หยุดเรียนก็ให้เธอทำงานเกษตรที่บ้าน เธออ่านหนังสือพลางก่อไฟพลาง อ่านจนเคลิบเคลิ้ม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฟืนได้กระเด็นออกมาจากด้านในเตาไฟ และกองฟืนก็ติดไฟจนเกือบเผาบ้านทั้งหลังวอดวาย
บ้านหยางจำนนแล้ว
สุดท้ายก็ตกลงให้หยางหย่งหงเรียนหนังสืออีกครั้ง
และครั้งนี้ หยางหย่งหงพร้อมด้วยกระบี่ที่ลับมาสี่ปี ได้คะแนนอันดับหนึ่งของเขต ประสบความสำเร็จในการถูกมหาวิทยาลัยหัวชิงรับเข้าศึกษา!
สำหรับหยางหย่งหง หัวชิงคือคือมหาวิทยาลัยที่เธอเฝ้าปรารถนาแม้ยามหลับฝัน โอกาสศึกษาเล่าเรียนล้ำค่าถึงเพียงนี้ หากสิ้นเปลืองเวลาไปกับนอนตื่นสาย ช่างเป็การเสียเวลาชีวิตเลยทีเดียว! ดังนั้นหยางหย่งหงจึงตื่นนอนเวลา 5 นาฬิกา 40 นาทีเสมออย่างเคร่งครัด
“พื้นฐานภาษาอังกฤษฉันไม่ดี ต้องท่องศัพท์เพิ่มเยอะๆ ”
หยางหย่งหงอิจฉาลฺหวี่เยี่ยนยิ่งนักที่ได้ใช้เครื่องอัดเสียง ฟังเทปภาษาอังกฤษไปพร้อมกับท่องคำศัพท์ ในเทปคือเสียงสำเนียงของชาวต่างชาติอย่างเ้าของภาษา ไม่เหมือนภาษาอังกฤษหูหนวกเป็ใบ้ [1] ของหยางหย่งหง
เื่ของหยางหย่งหงเป็เพียงหนึ่งในกรณีต้นแบบที่ะเืใจเซี่ยเสี่ยวหลาน ในหัวชิง มีกรณีเฉกเช่นหยางหย่งหงเยอะแยะเหลือเกิน ไปที่ไหนล้วนคือสุดยอดนักเรียน และเหล่านักเรียนดีเด่นเช่นนี้ยังคงคิดว่าตนเองพากเพียรไม่พอ นักศึกษาใหม่ต้องแย่งชิงที่นั่งในห้องสมุดกับนักศึกษาเดิม ชิงห้องอ่านหนังสือ ใครก็ไม่ยอมเฉื่อยชา
มันเป็ความกระตือรือร้นอย่างที่เซี่ยเสี่ยวหลานมุมานะเตรียมตัวพร้อมลงสนามก่อนการสอบเกาเข่า นักศึกษาหลายคนรวมถึงหยางหย่งหงรักษานิสัยการเรียนก่อนสอบเกาเข่ามาจนถึงมหาวิทยาลัย
แม้แต่สุดยอดนักเรียนยังขยันขันแข็ง เซี่ยเสี่ยวหลานมีคุณสมบัติอะไรที่จะไม่ขยัน?
หยางหย่งหงตื่นนอนเวลา 5 นาฬิกา 40 นาที ส่วนเซี่ยเสี่ยวหลานตื่นตามหลังแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น พอ 6 นาฬิกาเธอก็ลงจากหอพักไปวิ่งที่สนามอย่างตรงเวลา
อากาศยามเช้านั้นสดชื่นยิ่งนัก และช่วยให้เซี่ยเสี่ยวหลานขบคิดได้อีกด้วย
หลังกลับหอพักในเวลาหกโมงครึ่ง เธอเหงื่อไหลโทรมกาย ย่อมต้องไปอาบน้ำก่อนและค่อยพูดเื่เรียนทีหลังเป็ธรรมดา ภายในห้องพักไม่มีห้องอาบน้ำส่วนตัวแยกต่างหาก ถ้าจะอาบน้ำต้องไปโถงอาบน้ำหญิง เซี่ยเสี่ยวหลานไปเช้าเย็นเวลาละครั้ง เพิ่งผ่านไปเพียงสองวัน ในหอพักหญิงก็มีคนพูดกันว่าการใช้ชีวิตของเธอไม่สมถะแม้แต่น้อย สุรุ่ยสุร่ายเกินควร!
เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่รับรู้คำกล่าวเหล่านี้
เธอรู้สึกว่าตนเองไม่หย่อนยานด้านการเรียนเช่นกัน ความเคยชินในการวิ่งออกกำลังกายมีมาั้แ่ชาติก่อน หากคนเราไม่มีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ก็หมดหนทางยืนหยัดต่อสู้อย่างยั่งยืน
แต่ทำไมอาจารย์ถึงไม่ชอบเธอ?
เซี่ยเสี่ยวหลานครุ่นคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ “ซูจิ้ง เธอว่าอาจารย์หวังวิชาคณิตขั้นสูงมักดูไม่พอใจฉันบ่อยๆ ไหม?”
อาจารย์หวังให้โอกาสทุกคนได้พูดอย่างเสรี เข้าเรียนมาสองสามคาบแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานอยากมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นเหมือนกัน ทว่าอาจารย์หวังเมินเฉยต่อเธอเหลือเกิน
ในทางกลับกัน อาจารย์หวังโปรดหนิงเสวี่ยยิ่งนัก
“สำหรับการเรียนสถาปัตยกรรมน่ะ คณิตศาสตร์มีส่วนช่วยเยอะมาก อย่าคิดว่าคณิตศาสตร์ไม่สำคัญ คณิตศาสตร์คือพื้นฐานของทุกวิชา!”
นักศึกษาห้องสองพยักหน้ารับอย่างว่านอนสอนง่าย อาจารย์หวังเปลี่ยนประเด็นทันที “โจทย์ข้อนี้ หนิงเสวี่ย เธอมาอธิบายวิธีคิดของเธอหน่อย”
หนึ่งคาบเรียน อย่างน้อยจะเรียกนักศึกษาสิบกว่าคนมาตอบคำถาม หนิงเสวี่ยครองไปห้าหกข้อจากทั้งหมด ส่วนนักศึกษาคนอื่นเฉลี่ยข้อที่เหลือจากหนิงเสวี่ยเท่าๆ กัน ทว่าในหมู่ ‘นักศึกษาคนอื่น’ นี้ ไม่มีเซี่ยเสี่ยวหลานสักครั้งเดียว แม้ว่าเธอไม่แย่งชิงความโปรดปรานกับนักเรียนกลุ่มใหญ่ แต่อาจารย์ก็ไม่ควรมองข้ามเธอเช่นนี้สิ?
ในที่สุดเซี่ยเสี่ยวหลานก็อดไม่ได้ที่จะถามซูจิ้งออกไป
ซูจิ้งอึกอัก
“เสี่ยวหลาน ไม่รู้ว่าใครเริ่มพูดก่อน ว่าเธอไม่เคารพตัวเองโดยการมีแฟนั้แ่มัธยมปลาย เธออาบน้ำวันละสองหนซึ่งไม่อดทนและสมถะแม้แต่นิดเดียว ยังพูดกันด้วยว่าที่เธอมาเรียนในหัวชิงได้ เป็เพราะครอบครัวเธอมีเส้นสาย ตอนเธอมารายงานตัวก่อนเปิดเรียน เธอขับรถจี๊ปคันใหญ่มาด้วยสินะ?”
ตอนซูจิ้งได้ยินว่าเซี่ยเสี่ยวหลานอาศัยเส้นสายเข้าหัวชิงเป็ครั้งแรก เธอถึงกับตะลึงงัน
เธอยังคิดเลยว่าตนเองเป็คนปักกิ่ง มีเส้นสายและมีหน้ามีตา ที่แท้เธอเป็แค่คนเมืองธรรมดาสามัญเมื่อเทียบกับเซี่ยเสี่ยวหลาน!
อย่างน้อยเธอยังต้องทำแบบฝึกหัดอย่างสุจริตและใช้คะแนนเข้าหัวชิงน่ะสิ ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานกลับพึ่งพาเส้นสายของครอบครัว... ซูจิ้งต้องยอมรับว่าสุดยอดจริงๆ ในขณะเดียวกันเธอไม่พอใจอยู่บ้าง และรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม
เซี่ยเสี่ยวหลานฉงนสนเท่ห์
“ฉันจะใช้เส้นสานอะไร? บ้านฉันมาจากชนบทอวี้หนานนะ!”
อันที่จริงเธออยากพึ่งการเลือกเกิดสบายๆ นั่นแหละ ถ้าสามารถนอนเข้าหัวชิงได้อย่างง่ายดาย ใครจะยินดีฝ่าฟันด้วยตนเองเล่า?
แต่พอลบบัญชีเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ยังคงไม่มีชะตาแบบนั้นอยู่ดี เซี่ยเสี่ยวหลานจึงยอมรับชะตากรรมขยันหมั่นเพียรอย่างซื่อตรงด้วยตัวเอง ความได้เปรียบเดียวที่เธอมีก็คือเธอเคยทำข้อสอบคณิตศาสตร์ชุดนั้น และนี่ก็เป็สิ่งที่เธอฝึกทำสิบกว่ารอบในชาติก่อน ขาดเพียงฉีกและป่นข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์เกาเข่าซึ่งยากที่สุดในประวัติศาสตร์ชุดนี้และจับยัดเข้าไปในสมองแล้ว มันเป็คำตอบที่เธอใช้ความหมั่นเพียรของตนจดจำนะ
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าเธอมาจากชนบท ซูจิ้งไม่เชื่อโดยสิ้นเชิง
หากมาจากชนบท คงไม่ต่างกับหยางหย่งหงพี่ใหญ่ประจำห้องสักเท่าไรสิ
ทว่าั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้าของเซี่ยเสี่ยวหลาน เหมือนมาจากชนบทเสียที่ไหน!
ถ้อยคำซุบซิบนินทาไร้หลักฐานพวกนี้คือสาเหตุที่เหล่าอาจารย์ไม่ชอบเธอหรือ?
ซูจิ้งแววตาหลุกหลิก “เขาว่ากันว่าเธอสวยเกินไป ทนความลำบากของการเรียนสถาปัตยกรรมไม่ไหว จะย้ายสาขาในไม่ช้าก็เร็ว ฉันว่าพวกอาจารย์น่าจะเข้าใจผิดในเื่นี้ด้วย”
ผู้ที่เหมาะจะเรียนสถาปัตยกรรมต้องเหมือนหนิงเสวี่ย
แม้ในชื่อของหนิงเสวี่ยมีตัวอักษร ‘เสวี่ย [2]’ ทว่าผิวของเธอกลับไม่ได้ขาวผุดผ่อง หรืออีกอย่างหนึ่งคือเคยขาว ทว่าเธอเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อตระเวนสำรวจสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ใน่ปิดภาคเรียนฤดูร้อนมัธยมปลาย ด้วยความ กระตือรือร้นแสวงหาความรู้ด้านสถาปัตยกรรมทำให้หนิงเสวี่ยไม่ว่างพอที่จะใส่ใจรูปกายภายนอกที่หญิงสาวคนอื่นให้ความสำคัญ
นี่คือบุคคลต้นแบบของสาขาสถาปัตยกรรมโดยแท้จริง แต่เซี่ยเสี่ยวหลานตรงข้ามกับต้นแบบทุกอย่าง ไม่แปลกใจที่เหล่าอาจารย์เกิดความอคติและไม่ชอบเธอ
เซี่ยเสี่ยวหลานอยากโห่ร้องระบายความอัดอั้นตันใจเสียจริงๆ !
อาจารย์หวัง คุณกล้าเอาโจทย์หนึ่งข้อให้ฉันทำหรือเปล่า?
อาจารย์หลินก็อย่าได้หนีไป ฉันคิดว่าจริงๆ แล้วทักษะวิชาภาษาอังกฤษของตัวเองดีเยี่ยม... เธอคงไม่สามารถไปป่าวประกาศทุกหนแห่งได้ ว่าฉันเข้ามาโดยไม่ได้พึ่งพาเส้นสาย และคะแนนเกาเข่าก็น้อยกว่านักศึกษาต้นแบบหนิงเสวี่ยของพวกคุณแค่ 4 คะแนนเท่านั้น!
่ต้นของการเกิดใหม่ เซี่ยเสี่ยวหลานใช้ประโยชน์จากใบหน้าสวยหยาดเยิ้ม สิ่งต่างๆ ราบรื่นเพราะหน้าตาของเธอมาโดยตลอด แต่ปัจจุบันที่หัวชิง ในที่สุดความงามก็เริ่มสำแดงผลด้านลบแล้ว
เชิงอรรถ
[1]哑巴英语 ภาษาอังกฤษหูหนวกเป็ใบ้ คือ รูปแบบการเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่ให้ความสำคัญกับเนื้อหาในตำราเพื่อการสอบแบบสุดโต่ง ผู้เรียนลักษณะนี้มีระดับการอ่านเขียนที่ดีประมาณหนึ่ง แต่เนื่องจากละเลยการฝึกฝนทักษะฟังพูด ตลอดจนการประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ทำให้ฟังไม่ออกและพูดไม่ได้
[2]เสวี่ย 雪 จากชื่อของหนิงเสวี่ยมีความหมายว่า หิมะ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้