หลินกู๋หยู่มองเนื้อหาในหนังสือปราดหนึ่ง
ทั้งหมดเป็อักขระตัวเต็ม ถัดจากบทความยังมีเขียนความคิดเห็นกำกับไว้ด้วยตัวอักษรตัวเต็มยึกยักเป็จำนวนมาก "ข้า..."
"ถ้าเ้าชอบอ่านหนังสือ เ้าสามารถเอาหนังสือของข้าไปอ่านได้" ฉือเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยพูดอย่างระมัดระวัง เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่หลินกู๋หยู่แม้แต่นิด
"ขอบคุณ"
เมื่อหลินกู๋หยู่ออกมาจากห้องของฉือเย่ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทำไมเขาถึงเอาหนังสือให้นางอ่านละ?
อาจจะเป็การขอบคุณนางที่ช่วยชีวิตเขากระมัง?
หลินกู๋หยู่เดินไปที่ประตูลานบ้านของฉือหาง นางเดินเข้าไปพลางมองหนังสือในมือไปพลาง
หลินกู๋หยู่สามารถเดาความหมายของอักขระเหล่านี้บางส่วนได้ แต่หากแยกอักขระออกมาเดี่ยวๆ นางอาจจะไม่รู้จักอักขระเ่าั้
ก็ดีเหมือนกัน นางจะได้ใช้โอกาสนี้ในการเรียนรู้ตัวอักษรในยุคนี้อย่างตั้งใจสักตั้ง ตัวอักษรในยุคนี้ไม่มีตัวอักษรแบบย่อ มีแต่อักษรตัวเต็มเท่านั้น
เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในห้อง หลินกู๋หยู่ก็ปิดหนังสือในมือ หันศีรษะมองไปทางซ้ายของห้องตามความเคยชิน
ฉือหางนอนบนเตียงเงียบๆ ราวกับว่าเขาผล็อยหลับไปแล้ว
หลินกู๋หยู่เดินเข้าไปในห้องอย่างเบามือเบาเท้า วางหนังสือไว้บนกล่องไม้ข้างๆ แล้วนั่งข้างเตียง
วางมือบนหน้าผากของฉือหางอย่างระมัดระวัง
ดีกว่าเดิมมาก ไม่ร้อนแล้ว
ชายหนุ่มที่เดิมนั้นกำลังหลับอยู่บนเตียงค่อยๆ ลืมตาขึ้นจ้องมองไปที่หลินกู๋หยู่อย่างแน่วแน่
“ตื่นแล้วหรือ?” หลินกู๋หยู่เม้มริมฝีปากเบาๆ “ไม่สบายตัวตรงไหนหรือไม่?”
"ไม่มีนี่" ฉือหางหรี่ตาลง ใบหน้าด้านข้างดูสิ้นหวังและน่าสงสารมาก
หลินกู๋หยู่ลุกขึ้นอย่างช้าๆ เดินตรงไปที่เตา เริ่มเตรียมทำอาหารกลางวัน
ระหว่างรออาหารพร้อมกิน หลินกู๋หยู่ก็เรียกฉือหางให้ลุกขึ้นมาทานอาหารด้วยกัน
ฉือหางล้างมือก่อนจะมานั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามหลินกู๋หยู่ จับตะเกียบบนชามอย่างอ่อนแรง หลุบสายตากินอย่างเงียบๆ ด้วยสายตาที่เศร้าหมอง
เมื่อเห็นท่าทีที่ผิดปกติของฉือหาง หลินกู๋หยู่รู้สึกว่าท่าทีของเขาดูแปลกไปจากเดิม นางรู้สึกประหลาดใจ แต่อย่างไรก็ตามนางไม่ได้พูดอะไร
ระหว่างทานอาหาร ทั้งสองคนไม่มีใครเปิดปากชวนคุย
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว ฉือหางก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและเริ่มเก็บชามตะเกียบ
"ให้ข้าทำเถอะ" หลินกู๋หยู่หยิบตะเกียบจากมือของฉือหาง หยิบชามบนโต๊ะ จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอก
ฉือหางเดินไปด้านนอกอย่างเอื่อยๆ เขายืนอยู่ที่ประตู มองไปที่ด้านหลังของหลินกู๋หยู่อย่างเศร้าสร้อย
เมื่อหลินกู๋หยู่กำลังจะล้างตะเกียบและชามเสร็จ เขาก็หันกลับมาและเดินไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว
ฉือหางเดินผ่านกล่องไม้ เขาเห็นหนังสือหนึ่งเล่มบนกล่องจึงหยิบมันขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
หนังสือ
ในบ้านนี้ มีน้องสี่คนเดียวเท่านั้นที่มีหนังสือ น้องสี่เก็บรักษาและทะนุถนอมหนังสือดีมากมาโดยตลอด กู๋หยู่นำสิ่งนี้กลับมาได้อย่างไร ถ้าเกิดท่านแม่รู้ขึ้นมา ท่านแม่จะต้องโกรธเกรี้ยวอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นหลินกู๋หยู่เดินเข้ามา ฉือหางก็วางหนังสือในมือลงบนกล่องไม้ แล้วพูดอย่างวิตกกังวลว่า "หนังสือเล่มนี้เป็ของน้องสี่หรือไม่?"
หลินกู๋หยู่เช็ดมือบนกระเป๋าเสื้อ คลี่ยิ้มและหยิบหนังสือบนกล่องไม้ขึ้นมา แล้วพูดเบาๆ ว่า "ใช่ เขาบอกให้ข้าอ่าน"
“เ้าอ่านอักขระในหนังสือเล่มนี้เข้าใจด้วยหรือ?” ฉือหางมองไปที่หลินกู๋หยู่ด้วยความประหลาดใจ และเอ่ยถามด้วยความไม่เชื่อ
หลินกู๋หยู่พยักหน้า พลิกหนังสืออ่านอย่างสบายๆ ขณะพูดว่า "ก็เกือบจะเข้าใจทั้งหมดกระมัง!"
ฉือหางคิดเสมอว่าหลินกู๋หยู่สามารถเข้าใจอักขระอย่างง่ายเพียงบางตัวเท่านั้น แต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า กู๋หยู่จะเข้าใจสิ่งที่ยากเช่นนี้ได้
"นี่คือหนังสือบันทึกการท่องเที่ยว หนังสือเล่มนี้เป็การแนะนำการเดินทาง" หลินกู๋หยู่นั่งบนเก้าอี้ข้างๆ พลางเปิดหนังสือหน้าแรก "ข้าก็ไม่รู้ว่าโลกภายนอกเป็อย่างไร แต่ถ้ามีโอกาส ข้าอยากจะไปดูมันด้วยตาของตัวเอง"
โลกภายนอก
สถานที่ที่ไกลที่สุดที่ฉือหางเคยไปก็คือในเมือง
บ้านในเมืองนั้นใหญ่โตโอ่อ่ากว่าที่นี่และน่าอยู่กว่ามาก ผู้คนที่นั่นต่างก็แต่งตัวสวยสดงดงามด้วยเสื้อผ้าทุกเฉดสี
“เ้าอยากออกไปดูข้างนอกหรือ?” ฉือหางเอ่ยถามเสียงเบา ดวงตาของเขาไม่แสดงความรู้สึก
"ใช่แล้ว" หลินกู๋หยู่ตอบอย่างเหม่อลอย ในขณะที่มุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่เนื้อความในหนังสือ "เมื่อก่อนด้วยสาเหตุที่ข้าไม่มีเงิน ข้าจึงไม่สามารถออกไปได้ พอข้ามาที่นี่ ข้าหวังเป็อย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสได้ออกไปดูโลกภายนอกบ้าง"
มือของฉือหางอดไม่ได้ที่จะจับผ้าห่มที่อยู่ใต้ร่างของเขาแน่น เขาไม่พูด เพียงแค่ขยับตัวลงนอนเงียบๆ บนเตียง
ยิ่งเขาเข้าใจความคิดของหลินกู๋หยู่มากเท่าไร เขาก็ยิ่งไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น
ความแตกต่างระหว่างพวกเขาทั้งสองคนนั้นมากเกินไปแล้ว
สตรีเช่นหลินกู๋หยู่ หากพูดด้วยศัพท์ของผู้รู้ นางดูเหมือนจะเป็สตรีที่รู้หนังสือและพร้อมด้วยกิริยามารยาทละเมียดละไม
ในขณะที่เขานั้นเป็เพียงคนป่าเถื่อนที่วิ่งวนไปรอบๆ ูเาด้วยคันธนูและลูกธนู เพียงเพื่อล่าเหยื่อและขายมันทุกวันก็เท่านั้น
ในที่สุดวันนี้นางก็มีเวลาว่างแล้ว หลินกู๋หยู่อ่านเนื้อความในหนังสืออย่างถี่ถ้วนด้วยความตั้งใจ
สำหรับหลินกู๋หยู่แล้ว เนื้อความในหนังสือเล่มนี้เป็หนังสือที่บรรจงรจนาเขียนเรียงร้อยได้อย่างสวยงาม ทั้งยังไม่มีประโยคขาดตอนอีกด้วย
อ่านแล้วเหมือนต้องใช้พลังงานอย่างมากในการทำความเข้าใจ
แต่เวลานี้ดูเหมือนนางจะมีกิจกรรมสำหรับฆ่าเวลาแล้ว หลินกู๋หยู่อ่านอย่างช้าๆ
ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ทันใดนั้นเองหลินกู๋หยู่ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายแว่วดังมาจากข้างนอก จากนั้นก็เห็นหวังเสี่ยวเชี่ยนวิ่งตรงเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“พี่สะใภ้สาม พี่ลุกขึ้นเร็วเข้า!” หวังเสี่ยวเชี่ยนคว้าแขนของหลินกู๋หยู่อย่างตื่นเต้น ้าดึงหลินกู๋หยู่ออกไปด้านนอก
ฉือหางนั่งอยู่ข้างเตียง เมื่อดูการเคลื่อนไหวของหวังเสี่ยวเชี่ยน เขาก็เอ่ยถามอย่างลังเลว่า "เกิดอะไรขึ้นหรือ?"
“พี่ชายสาม พี่ก็มาดูด้วยสิ เร็วเข้า!” ใบหน้าของหวังเสี่ยวเชี่ยนไม่อาจซ่อนความตื่นเต้นไว้ได้ และริมฝีปากของนางก็โค้งงออย่างเห็นได้ชัดมากขึ้น “ออกมาดูแล้วพวกพี่ก็จะรู้เอง!”
หลินกู๋หยู่ปิดหนังสือในมือ ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าบนร่างกายอย่างดีก่อน "เกิดอะไรขึ้นหรือ?"
“ข้าจะไม่บอกพวกพี่หรอก!” หวังเสี่ยวเชี่ยนพูดอย่างซุกซน
ฉือหางลุกขึ้นและเดินไปที่ด้านข้างของหลินกู๋หยู่ จากนั้นเอ่ยพูดว่า "พวกเราออกไปดูกันเถอะ"
เมื่อฉือหางและหลินกู๋หยู่เดินออกมาข้างนอก พวกเขาก็เห็นคนมากมายมายืนรออยู่ที่ประตู
เพราะผู้ป่วยเ่าั้รักษาไม่หายหรือไม่? เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ สีหน้าของหลินกู๋หยู่ก็เหยเก นางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย
เมื่อชาวบ้านเ่าั้เห็นหลินกู๋หยู่เดินออกมา กลับไม่มีใครเอ่ยพูดอะไรออกมา
ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดคือลู่จื่อยู่ ส่วนรถม้าของเขาก็จอดอยู่ไม่ไกลนัก
“เ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” หลินกู๋หยู่เอ่ยถามด้วยท่าทางงุนงง “หมู่บ้านของพวกเราถูกปิดตายแล้วไม่ใช่หรือ?”
"ข้ามาที่นี่เพื่อรักษาคน" ลู่จื่อยู่เหลือบมองไปที่เด็กที่เป็คนงานจ่ายยาข้างๆ เด็กคนนั้นเดินมุ่งหน้าไปที่รถม้า
หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดด้วยใบหน้าเย็น "เ้าเข้ามาในหมู่บ้านนี้ทำไม? เ้าไม่รู้หรือว่าที่นี่เป็เขตอันตราย?"
“อันตรายเหล่านี้ถูกกำจัดไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?” ลู่จื่อยู่เฝ้าดูเด็กชายคนนั้นขนย้ายกล่องออกจากรถม้า เขาโบกมือเพื่อบอกเป็นัยให้เด็กชายคนนั้นเปิดกล่อง “สิ่งที่อยู่ในกล่องเหล่านี้ เป็สิ่งที่ข้าเตรียมไว้ให้พวกเ้า”
สิ่งที่อยู่ในกล่องไม้นั้นเต็มไปด้วยยาสมุนไพร
หลินกู๋หยู่มองไปที่สิ่งเ่าั้พลางถอนหายใจอย่างจนปัญญา "ไข้ทรพิษ… เ้านี่ก็จริงๆ เลย ตกลงเ้ามาที่นี่ทำไมหรือ?"
"ข้าได้ยินมาว่าไข้ทรพิษมีทางรักษาให้หายแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อเรียนวิชาแพทย์โดยเฉพาะ" สายตาของลู่จื่อยู่มองไปที่หลินกู๋หยู่อย่างอ่อนโยน "ข้าอยากรู้อย่างมากว่าเ้ารักษาให้หายได้อย่างไร?"
หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วอย่างจนปัญญาต่อลู่จื่อยู่ซึ่งมาเรียนแพทย์เอาในเวลานี้
ควรจะกล่าวว่าบุคคลผู้นี้เป็ผู้ที่ไม่รู้ประสีประสา ไม่รู้จักความน่ากลัวของไข้ทรพิษ หรือควรกล่าวว่าบุคคลผู้นี้ศึกษาวิชาการแพทย์อย่างจริงจังเกินไป?
"ข้าเกรงว่ายาสมุนไพรที่เ้ามีนั้นไม่เพียงพอ ข้าจึงนำสิ่งเหล่านี้มาที่นี่โดยเฉพาะ" ลู่จื่อยู่เยื้องย่างไปหาหลินกู๋หยู่
หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วอย่างจนปัญญา เมื่อมองไปที่ยาสมุนไพรในกล่อง นางรู้ว่าแม้ตอนนี้นางจะพูดกับลู่จื่อยู่อย่างไร แต่กระนั้นนางพูดไปก็ไร้ประโยชน์
"ตกลง" แววตาของหลินกู๋หยู่มองไปที่ลู่จื่อยู่ หลังจากคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับเื่นี้ นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย "ตอนกลางคืนเ้าจะกลับไปหรือไม่?"
"ข้าจะไม่กลับไปแล้ว" ลู่จื่อยู่เหลือบมองไปที่เรือนของหลินกู๋หยู่ แล้วพูดต่อว่า "ข้าจะอาศัยอยู่ที่นี่กับเ้า ได้หรือไม่?"
ฉือหางเดินช้าๆ ไปที่ด้านข้างของเด็กสาว เขามองไปที่ลู่จื่อยู่ด้วยสายตาเฉยเมย "ข้าต้องขอโทษเ้าจริงๆ บ้านของข้าเล็กเกินไป อีกทั้งไม่มีเตียงเสริมด้วย"
"ถึงเวลานั้นข้านอนอยู่ในรถม้าก็ได้"
ลู่จื่อยู่พูดอย่างตรงไปตรงมาอย่างมาก
นี่ก็เป็เวลาเย็นแล้ว หลินกู๋หยู่เริ่มเตรียมอาหารเย็น
เมื่อท้องฟ้ามืด ลู่จื่อยู่ก็สั่งกำชับให้คนลากรถม้าเข้ามาในบ้านของฉือหางและอาศัยอยู่ในรถม้า
เมื่อค่ำคืนค่อยๆ ดึกมากขึ้น หลินกู๋หยู่ซึ่งนอนข้างๆ ฉือหางฟังเสียงลมหายใจเข้าออกที่เสถียรของเขา นางก็นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนเช้า
ร่างกายของนางสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้ หลินกู๋หยู่หันศีรษะไปมองผู้ชายที่อยู่ข้างๆ นางปราดหนึ่ง จากนั้นนางก็หันศีรษะไปทางอื่นในทันใด
ดวงตาคู่หนึ่งจ้องตรงไปที่ม่านเตียงสีเทา รูม่านตาว่างเปล่า นางไม่รู้ว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากนั้นไม่นาน ร่างของหลินกู๋หยู่ก็เคลื่อนเข้ามายังด้านในของเตียงอย่างช้าๆ และนอนลงอย่างเงียบๆ
“เ้ายังไม่หลับอีกหรือ?” จู่ๆ เสียงของฉือหางก็ดังมาจากข้างใบหู
"อืม"
เมื่อถึงเวลากลางคืน พวกเขาทั้งสองคนต้องนอนร่วมเตียงเดียวกัน หลินกู๋หยู่ก็รู้สึกอึดอัดไม่สบายทั้งตัวอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ถูก
ในห้องเงียบลง ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงม้าร้องเฮิงเฮิงแว่วดังมาจากด้านนอก
หลินกู๋หยู่ไม่รู้จะพูดอะไรกับฉือหาง นางจึงหันหลังให้เขาอย่างหงุดหงิด พยายามหลับตาและเริ่มนับแกะในใจ
ในตอนเช้าตรู่ หลินกู๋หยู่ถูกปลุกโดยลู่จื่อยู่ซึ่งยืนทุบบานหน้าต่างอย่างสุดแรงอยู่ภายนอก
หลินกู๋หยู่ตื่นขึ้นด้วยความสะลึมสะลือ นางออกไปด้านนอก พบว่าท้องฟ้ายังไม่สว่างเลย
"เวลานี้พวกเราไปดูคนไข้กันเถอะ!" ลู่จื่อยู่พูดอย่างตื่นเต้น สายตาของเขาจับจ้องไปที่หลินกู๋หยู่
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพริบตาหนึ่ง "เวลานี้เช้าเกินไปแล้ว ผู้คนยังไม่ตื่นเลย"
การแสดงออกบนใบหน้าของลู่จื่อยู่ชะงักงันเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พูดว่า "ข้าต้องขออภัยแล้ว ข้าแค่ตื่นเต้นไปหน่อย"
ในเมื่อตื่นนอนแล้ว แม้้าจะกลับไปนอนอีกหน อย่างไรเสียนางก็นอนได้ไม่นานอยู่ดี จึงเริ่มก่อไฟและทำอาหาร
เมื่ออาหารทำเสร็จแล้ว ทั้งสามคนก็นั่งลงทานอาหาร
หลินกู๋หยู่นั่งที่ที่นั่งด้านในสุด ฉือหางนั่งถัดจากนาง และลู่จื่อยู่นั่งตรงข้ามกับหลินกู๋หยู่
ฉือหางคีบผักใส่ในชามของหลินกู๋หยู่ จากนั้นแสร้งทำเป็ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วกินอย่างช้าๆ ต่อไป
หลินกู๋หยู่หยุดชั่วคราว ขณะถือชามและตะเกียบพลางเม้มริมฝีปากเบาๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้