บางครั้งความเป็จริงก็ทำให้คนรู้สึกกระอักกระอ่วน เหมือนเช่นตอนนี้ ช่างจนปัญญาจะหาเหตุผลมาตอบโต้ได้จริงๆ
ไท่ไท่รองมุมปากสั่นระริก กล่าวขึ้นทันที "หมายความว่าอย่างไร มาชงมาชนเครื่องลายครามอันใดกัน คำกล่าวนี้ข้าฟังไม่เข้าหู ข้าใช่คนเช่นนั้นเสียที่ไหน ยิ่งไปกว่านั้น..."
ฮูหยินผู้เฒ่าคร้านจะดูความปลิ้นปล้อนของนาง หากไม่เห็นแก่ที่คลอดบุตรให้สกุลซูถึงสามคน นางก็คงตัดสินใจไม่เอาสะใภ้โง่งมเช่นนี้ไว้
"ไม่มีธุระเ้าก็ควรอยู่เฉยๆ จะไปเรือนสามให้ได้อะไรขึ้นมา ข้าว่าความกังวลของเ้าสามใช่ว่าไร้ต้นสายปลายเหตุ หากก่อนหน้านี้เ้าไม่จงใจใส่ความผู้อื่น ไหนเลยจะถูกพี่น้องแหนงหน่าย คนโง่ก็ควรอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว จะได้ไม่เป็ที่ตลกขบขันของบ่าวไพร่"
เมื่อถูกตำหนิอย่างไม่ไว้หน้า ไท่ไท่รองก็หน้าง้ำ แต่นางไม่กล้าโต้เถียงฮูหยินผู้เฒ่า จำต้องนั่งลงอย่างเสียไม่ได้ นึกอยู่ว่าจะหาหัวข้ออะไรมาคุยต่อ
เฉียวเยว่มองไปทางหวังหรูอี้โดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นสีหน้านางแฝงแววเหยียดหยัน ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง รู้สึกงงอยู่บ้างเล็กน้อย
หลังจากนั้นไม่นาน ไท่ไท่สามก็มาถึง ทุกคนก็กลับมาคุยกันอย่างมีความสุข
ตราบใดที่มีฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ ก็สามารถจัดการทุกอย่างให้ลงตัวได้
ระหว่างเดินกลับเรือน เฉียวเยว่ก็ถอนหายใจ "เคราะห์ดีที่มีท่านย่าอยู่"
เห็นนางทำท่าทางราวกับผู้ใหญ่ ไท่ไท่สามก็รู้สึกขบขัน "เด็กอย่างเ้าจะเข้าใจอันใด อ่านท่องตำราของตนเองไปทุกวันก็ดีมากแล้ว ไยต้องคิดมากมาย เ้าไม่จำเป็ต้องวิตกเื่ถูกผิดดีชั่วของผู้ใหญ่"
เฉียวเยว่รับคำอย่างเชื่อฟัง
"ฤดูสารทอากาศเย็นสดชื่น ท่านแม่ ข้าอยากกินปูเ้าค่ะ" ไม่ว่าฤดูไหนควรกินอะไร แมวน้อยจะกละย่อมจำได้แม่น
ไท่ไท่สามรู้สึกจนปัญญาอย่างยิ่ง นางหยิกแก้มตุ้ยนุ้ยของนักกินตัวน้อย "ดูซิมีแต่เนื้อทั้งนั้น เด็กผู้หญิงหกขวบที่ไหนเนื้อแน่นไปทั้งตัวอย่างเ้าบ้าง ยังคิดแต่จะกิน เด็กๆ ไม่ควรกินปูมากเกินไป ปูเป็ของที่มีฤทธิ์เย็น"
เฉียวเยว่ทำปากยื่น เอานิ้วชนกัน "แค่นิดเดียว กินแค่นิดเดียวเอง"
ไท่ไท่สามถูกตื๊อจนหมดหนทาง จำต้องรับปาก "ซื้อให้เ้าก็ได้ ในฐานะที่เป็เด็กดี"
เฉียวเยว่หัวเราะเริงร่าออกมาทันที
ไม่ว่าผู้อื่นจะเป็อย่างไร ั้แ่พี่น้องฝาแฝดกลับมา บรรยากาศของเรือนสามก็ผ่อนคลาย เฉียวเยว่แทบจะไม่ออกจากเรือนสามหากไม่ได้รับอนุญาตจากไท่ไท่สาม นอกเสียจากไปคารวะผู้ใหญ่ที่เรือนหลัก กับออกไปเล่นในสวนกับฉีอัน
ปีนี้รัชทายาทกับิ่จื้อรุ่ยเข้าศึกษาที่กั๋วจื่อเจียนแล้ว แน่นอนว่ารัชทายาทย่อมแตกต่างจากผู้อื่น แต่เฉียวเยว่ก็หาได้สนใจเื่เหล่านี้ นางรู้เพียงว่าพวกเขามาจวนสกุลซูน้อยลงกว่าเดิมมาก ครึ่งเดือนถึงจะมาสักครั้ง
ด้วยเหตุนี้ซูซานหลางจึงมีเวลาว่างมากขึ้น ่นี้ยังไม่ประกาศผลสอบ เขาอยู่เป็เพื่อนเล่นกับบุตรทั้งสองทุกวัน ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ดีมากด้วย
"ท่านพ่อ ท่านนี่ทึ่มจริงๆ สายว่าวพันกับต้นไม้หมดแล้ว เอาล่ะ ข้าจัดการเอง ข้าจัดการเอง" เฉียวเยว่ม้วนแขนเสื้อเตรียมจะปีนต้นไม้
ซูซานหลางไหนเลยจะอนุญาต รีบเข้าไปขวางนางทันที แล้วเรียกบ่าวชายไปเก็บ
"เ้าเป็สตรีควรมีกิริยาเช่นสตรี ปีนต้นไม้ไม่งาม"
เฉียวเยว่แค่นเสียงเยาะ เอ่ยว่า "ทีท่านตายังไม่เห็นว่าอันใดเลย"
"จริงขอรับ จริงขอรับ ท่านตาบอกว่าคนที่ทำมากก็ยิ่งฉลาดมาก" ฉีอันช่วยยืนยัน
ซูซานหลางเอ่ยเสียงเข้ม "แล้วข้าไม่ใช่ศิษย์ของท่านตาเ้าหรือ? ตอนนี้พวกเ้ายังจะใช้ท่านตามาหลอกข้าอีก คอยดูว่าข้าจะตีก้นน้อยๆ ของพวกเ้าหรือไม่"
สองฝาแฝดร้องหวาวิ่งหนีอุตลุด
ไท่ไท่สามออกจากห้องมาเห็นพวกเขาหัวเราะกรีดร้องเสียงดัง ก็เอ่ยว่า "นี่พวกเ้าทำอะไรกัน จะก่อกวนไปถึง์กันหรืออย่างไร"
อิ้งเยว่นั่งอ่านตำราอยู่ในศาลาไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่กระผีก นางช้อนตาขึ้นมองแล้วค่อยๆ เอ่ยถาม "ใกล้จะถึงเวลากินมื้อกลางวันแล้วหรือเ้าคะ ท่านแม่"
คำพูดนี้ราวกับสวิตช์เปิดปิดได้ เพียงชั่วพริบตาก็ควบคุมฝาแฝดอยู่หมัด
ไท่ไท่สามนิ่งอึ้ง หลังจากนั้นก็หัวเราะ "นี่เพิ่งจะยามไหนเอง ยังหรอก"
เฉียวเยว่ทำปากยื่น "พี่สาวร้ายกาจ"
ซูซานหลางยิ้มพลางส่ายหน้าแล้วกลับห้องไปล้างมือ
ไท่ไท่สามตามมาเช็ดเหงื่อให้เขา "ฤดูสารทเมื่อเหงื่อออกต้องรีบเช็ด เดี๋ยวจะต้องไอเย็นไม่สบายได้”
มุมปากของซูซานหลางโค้งขึ้น กุมมือของนางไว้ พลางเอ่ยเสียงเบาอย่างอ่อนโยน "ขอบใจน้องหญิง"
ไท่ไท่สามอยากจะดึงมือออก แต่เขาไม่ปล่อย ฉวยโอกาสที่ไม่มีคนอยู่ ดึงมือของนางมาวางที่ริมฝีปาก แล้วปล่อยลงอย่างรวดเร็ว
ไท่ไท่สามหน้าแดงก่ำ ทำเสียงดุ "กลางวันสว่างแจ้งเช่นนี้ท่านทำอันใดของท่าน"
หลังจากนั้นก็พูดต่อ "อ้อ จริงสิ ข้ามีเื่หนึ่งอยากคุยกับท่านั้แ่สองสามวันก่อน"
ซูซานหลางจูงภรรยามานั่ง "เื่ใดหรือ? ยังไม่พูดแสดงว่ามิได้สำคัญมาก คุยวันนี้ก็ยังไม่สาย"
"สำคัญสิ ปีหน้าย่างเข้าต้นวสันต์ ท่านพ่อจะออกท่องเที่ยวหนึ่งปี เฉียวเยว่กับฉีอันนึกสนใจอยากจะไปด้วย วันนั้นเฉียวเยว่เอ่ยถึง ข้าเห็นอิ้งเยว่ท่าทางจะสนใจเหมือนกัน ่สองสามวันนี้นางดูใจลอย เป็ไปได้แปดส่วนว่าอยากไป ข้าคุยกับท่านพ่อเื่นี้ ท่านพ่ออย่างไรก็ได้อยู่แล้ว แต่ข้ากลับกังวลมาก อีกอย่างในบ้านทางนี้ก็... ท่านพี่ เื่นี้ไม่สู้ให้ท่านตัดสินใจดีกว่า"
ซูซานหลางยิ้มมองนาง พลางเอ่ยเสียงเบา "ดูแล้วเหมือนเ้าก็อยากให้เด็กๆ ไปกัน?"
พวกเขาสามีภรรยาอยู่ด้วยกันมาหลายปี เขาไหนเลยจะไม่รู้ว่าภรรยาคิดอย่างไร ถึงนางไม่พูด เขาก็อ่านใจของนางออก
"ข้าปรารถนาให้พวกเขาได้ออกไปเห็นโลกภายนอก ตอนเด็กๆ ข้าแทบไม่ได้ออกไปไหนเลย ยังนึกเสียดายอยู่เสมอ ตอนนี้ย่อมอยากให้เด็กๆ ได้เปิดหูเปิดตา เมื่อมีความรู้มากขึ้น วิสัยทัศน์ก็จะไม่เหมือนเดิม" ไท่ไท่สามมีอุปนิสัยอ่อนโยน ดูไม่น่าจะมีความคิดเช่นนี้ได้
เพียงแต่ตอนนั้นมารดาของนางยังอยู่ มักสอนบุตรสาวว่าควรประพฤติตนเป็สตรีมีคุณธรรม และรู้สึกว่าการออกจากบ้านทำให้เกิดความหลงระเริงได้ง่าย ดังนั้นนางจึงไม่เคยมีโอกาสเช่นนี้ บัดนี้เมื่อมีโอกาส นางย่อมปรารถนาให้บุตรชายบุตรสาวได้ััประสบการณ์เ่าั้ให้มาก
"เมื่อเ้ามีความคิดเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็ต้องวิตกมากนัก ทางท่านพ่อท่านแม่ ข้าจะคุยเอง" ซูซานหลางกล่าวอย่างจริงจัง
ไท่ไท่สามเงยหน้า ขบริมฝีปาก "ซานหลาง..."
ทุกอย่างชัดเจนแม้ไม่ต้องเอ่ยวาจา
ซูซานหลางอมยิ้ม "ท่านพ่อตาอายุมากแล้ว แม้สุขภาพจะยังแข็งแรง แต่การเดินทางยากลำบากทั้งไปและกลับ พี่ใหญ่มีงานราชการรัดตัวคงไม่อาจติดตามไปได้ สถานการณ์เช่นนี้ข้าจะวางใจได้อย่างไร"
เขาเว้นจังหวะ อมยิ้มน้อยๆ "ไม่สู้พวกเราเดินทางไปด้วยกัน จะได้ดูแลทั้งท่านพ่อตาและเ้าตัวเล็กสามคน ได้ผลประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่อง"
ไท่ไท่สามตะลึงลาน มองเขาอย่างเหลือเชื่อ "ซานหลาง ทะ... ท่านหมายถึงพวกเราก็ไปด้วยกัน?"
น้ำเสียงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางไม่เคยคิดว่าตนเองจะมีโอกาสเช่นนี้
ซูซานหลางเห็นท่าทางอึ้งงันของภรรยาก็หัวเราะ "ภรรยาซื่อบื้อ เ้าตกตะลึงอันใด?"
ไท่ไท่สามยังคงไม่ขยับ ขอบตาเริ่มแดง รู้สึกรับมือไม่ถูก "ข้า... ข้าไปได้จริงหรือ?"
นางดูตื่นเต้นยิ่งกว่าเด็กน้อยทั้งสามคนเสียอีก ซูซานหลางอมยิ้มโอบกอดนาง "เ้าย่อมสามารถไปได้ พวกเราไปด้วยกันหาใช่เพื่อไปเที่ยว แต่เพื่อไปดูแลบุตร พวกเขาซุกซนถึงเพียงนั้น ท่านพ่อตาไม่เหนื่อยตายพอดีหรือ? ข้าน่ะเป็บุตรเขยยอดกตัญญูเชียวนะ"
ซูซานหลางพูดล้อเล่นออกมาเช่นนี้ ไท่ไท่สามก็อดขำไม่ได้ ทั้งที่ใบหน้ายังเปื้อนน้ำตา แต่มุมปากกลับโค้งขึ้นอย่างไม่อาจสะกดกลั้น "ข้ารู้ ท่านล้วนทำเพื่อข้า ท่านเข้าใจสิ่งที่ข้าโหยหาถึงได้... ข้ารู้ทุกอย่าง"
"เ้ากล่าวเช่นนี้ไม่ถูก เห็นอยู่ชัดๆ ว่าข้าเป็ห่วงท่านพ่อตา ไยเ้าจึงหลงตัวเองไปได้ เช่นนี้ไม่ดี มา ไหนข้าขอดูภรรยาโง่งมของข้าหน่อยซิ ร้องไห้จนเป็อะไรไปแล้ว หากเด็กๆ มาเห็นเข้า แปดส่วนต้องหาว่าข้ารังแกเ้าแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจคิดแผนร้ายมาลงโทษข้าอีกก็เป็ได้"
ซูซานหลางแสร้งถอนหายใจ "เคราะห์ที่ได้รับโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ข้าก็เคยผ่านมาแล้ว"
ตอนนั้นเ้าตัวเล็กสองคนเพิ่งจะสามขวบ ไท่ไท่สามเสียใจที่ตนเองไม่ได้รับความเป็ธรรมตอนอยู่เรือนหลัก เขาเพียงแค่ช่วยปลอบประโลม ไม่รู้ว่าเ้าเด็กสองคนเหตุใดถึงเข้าใจผิดคิดว่าตนเองทำให้มารดาของพวกเขาร้องไห้ จึงเอาเกลือมาใส่ในน้ำชาของเขา ทุกครั้งที่นึกถึงเื่นี้ รสชาตินั้นเหมือนยังติดอยู่ในคอของเขาไม่อาจลืมเลือน
ซูซานหลางถอนหายใจ "น้องหญิง เ้าอย่าได้ใส่ร้ายข้าอีกเป็อันขาด รีบเช็ดน้ำตาเสีย"
ไท่ไท่สามอดไม่ไหวหัวเราะออกมา "ได้ ได้ ได้ เช็ดแล้ว เช็ดแล้ว ท่านจะได้ไม่ถูกเด็กน้อยรังแก"
นางประคองใบหน้าของซูซานหลางด้วยความรักและซาบซึ้ง "ข้าปกป้องท่านได้ หากพวกเขารังแกท่าน ข้าจะช่วยระบายอารมณ์ให้เอง"
เฉียวเยว่จูงน้องชายพลางเอ่ยว่า "ท่านพ่อชอบแอบอู้ ไป พวกเราไปลากเขากลับมา เขา..."
ดวงตาของสองพี่น้องต่างตกตะลึง
ซูซานหลางไหนเลยจะคิดว่าเ้าตัวเล็กสองคนจะเข้ามาตอนนี้ อาอิ่งหันหลังให้กับประตู กำลังประคองใบหน้าเขาอยู่...
อาจเป็เพราะรู้สึกได้ว่าสีหน้าของซานหลางอยู่ๆ ก็แปลกไป แข็งทื่อไปทั้งตัว ไท่ไท่สามจึงเอี้ยวศีรษะกลับมา เด็กน้อยสองคนหลบไม่ทัน ขาสั้นๆ ยังไม่ทันยกขึ้นก็ถูกไท่ไท่สามเห็นเข้าเสียก่อน
ทั้งสี่คนมองกันมามองกันไปอยู่เช่นนี้
เมื่อเห็นใบหน้าของมารดาแทบจะคั้นออกมาเป็โลหิต
เฉียวเยว่ก็คว้ามือฉีอันวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต
แงๆๆ พวกเขาเห็นตอนที่มารดากับบิดากำลังพลอดรักกัน
แงๆๆ พวกเขาคงไม่ถูกมารดาตามมาสังหารใช่หรือไม่?
แงๆๆ
"เฉียวเฉียว พวกเราวิ่งทำไม" ฉีอันถาม
ฉีอันไม่ตระหนักแม้แต่น้อย
"เ้าไม่เห็นหรือว่าท่านแม่ตกประหม่าหมดแล้ว อีกประเดี๋ยวจากเขินอายต้องกลายเป็โมโหแน่ๆ"
พอวิ่งมาถึงในสวน เฉียวเยว่ก็มองไปรอบๆ "ไป พวกเราต้องหนี"
อิ้งเยว่มองทั้งสองวิ่งไปซุกซ่อนที่รอยแตกของกำแพงด้วยสีหน้างุนงง มุมปากกระตุกเล็กน้อย
ั้แ่เด็กสองคนปรากฏตัวจนกระทั่งพวกเขาวิ่งหนีไป ไท่ไท่สามก็อยู่ในท่าตกตะลึงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
ซูซานหลางเห็นภรรยามีสีหน้าโง่งมไปแล้ว ก็พยายามกลั้นหัวเราะ พูดอย่างจริงจัง "คราวหน้าถ้าพวกเขาผลุนผลันเข้ามาโดยไม่เคาะประตูอีก ข้าจะตีก้นของพวกเขาให้ลายไปเลย"
การข่มขู่แบบเดิมๆ ไม่เคยเปลี่ยนจนไม่มีคนกลัวอีกแล้ว
"พะ... พวกเขาเห็นแล้วใช่หรือไม่?" ไท่ไท่สามถามด้วยความลังเล
น้ำเสียงฉายแววงุนงง แต่ไม่กระสับกระส่าย
"ไม่หรอก พวกเขาไม่เห็นอะไรทั้งนั้น" ซูซานหลางปลอบประโลม
ไท่ไท่สามปิดหน้าทันควัน "ท่านปลอบข้าเช่นนี้ พวกเขาต้องเห็นแล้วแน่ๆ จะทำอย่างไรดี"
ซูซานหลาง "อย่ากลัว อย่ากลัว ไม่มีอะไร"
ไท่ไท่สามกระทืบเท้า "ท่านรีบออกไปให้ห่างข้าเดี๋ยวนี้เลย"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้