บทที่ 108 ผู้แข็งแกร่ง
สุริยอัสดงดั่งโลหิต แสงสายัณห์ส่องหล้าราวเปลวเพลิง
หลังจากที่เสาเพลิงหายไป พื้นที่รกร้างแห่งนี้ก็ยังคงเป็เช่นเดิม เสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัว กลุ่มสัตว์ปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนยังคงต่อสู้กัน ซากศพกระจัดกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง โลหิตหลั่งไหลราวสายน้ำ
นี่เป็ความโกลาหลอันยิ่งใหญ่ นับั้แ่การตายของาาสัตว์อสูรทั้งสอง ทั้งสองฝ่ายก็เหมือนัไร้หัว สถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สัตว์ปีศาจเกิดการสังหารหมู่ น่าใยิ่งนัก
“ฟุ่บ!”
ทันใดนั้น เกิดเงาดำร่างอันทรงพลังขึ้น เริ่มปรามสัตว์ปีศาจ ไม่ว่าจะผ่านไปที่ไหน ทะเลเืก็พลุ่งพล่าน เหล่าสัตว์ที่เทียบได้กับระดับกลางของขั้นมหาสมุทรก็เหมือนกับกองมดที่ะเิออกในชั่วพริบตา
“โห่——”
เงาดำบินข้ามท้องฟ้า ไม่อาจมองได้ชัด ราวกับเหยี่ยวโฉบโจมตี ยืนหยัดอย่างสง่าในกลางอากาศ
“หัตถ์มหานิพพาน!”
นี่คือร่างมนุษย์ เขาเดินขึ้นไปในอากาศ เอ่ยออกมาเบาๆ เลื่อนฝ่ามือลงและตบพื้นอย่างแ่เบา ทันใดนั้น รอยฝ่ามือที่ยาวกว่าร้อยหมี่ก็ตกลงมาอย่างกะทันหัน น่าสะพรึงกลัวมาก
"ตูม!!"
ฟ้าร้องดังสนั่น แรงกดดันอันน่าประหลาดใจระงับซึ่งทุกสิ่งภายในชั่วพริบตา สัตว์ปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนถูกฆ่าตายอย่างไม่อาจต่อต้าน ร่างใหญ่โตกลายเป็เนื้อเละละเอียด พื้นโลกในรัศมีร้อยหมี่แตกสลายกลายเป็หลุมลึก
“หึ ฝูงมดสู้กัน น่าเบื่อจริงๆ” ร่างนั้นไม่สนใจแยแส สำหรับเขา การฆ่าสัตว์ปีศาจเป็เพียงเื่ที่อยากหรือไม่อยากทำ ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เขาก็สามารถสังหารและทำลายทุกสิ่งได้
ในไม่ช้าร่างนั้นก็ร่อนลงบนพื้นและเดินอย่างสบายๆ ไปยังบริเวณที่เสาเพลิงปรากฏขึ้น เส้นทางที่เขาเดินไปนั้นเต็มไปด้วยกระดูกและซากศพ
“หรือข้ามาสายไป? มีิญญาเปลวไฟที่แข็งแกร่งอยู่มากที่นี่แท้ๆ!” เมื่อมองดูศพทั้งสองของาาสัตว์อสูรที่อยู่บนพื้น ร่างนั้นก็ขมวดคิ้วและพูดกับตัวเอง
ร่างเงาดำนี้เป็ชายวัยกลางคน เขาสวมชุดแขนกุด ดวงตาเหมือนระฆังทองแดง[1] ร่างกายของเขาแข็งแกร่งมาก พละกำลังล้นเหลือ
ยามนี้ เขาจ้องมองไปยังท้องฟ้าเหนือป่าสีเื รู้สึกงุนงงและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่
“ฟึ่บ ฟึ่บ——”
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง เสียงลมกระโชกแรง และเสียงร้องของสัตว์ปีศาจ
ชายวัยกลางคนมองย้อนกลับไป ดวงตาของเขาหรี่ลง และหัวเราะเบาๆ “หึ ผู้หญิงคนนี้ดุร้ายกว่าอีก เ้าจะฆ่ามดตัวน้อยมากมายขนาดนั้นทำไมกัน?”
ในเวลานี้ ในบรรดาสัตว์ปีศาจ มองเห็นแส้ยาวที่โหมกระหน่ำตีไปทุกทิศทาง ราวกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ กวาดไปทั่วจักรวาล เสียงลมพัดคำรามออกมา และรัศมีแส้ที่เปล่งประกาย
เงาของแส้นั้นน่าประหลาด แม้ว่ามันจะสั้นมาก แต่พลังอันเฉียบคมที่มันปล่อยออกมานั้นแผ่ขยายออกไปเป็ระยะทางไม่รู้กี่หมี่ ปัดกวาดไปอย่างป่าเถื่อน ทุกครั้งที่ฟาด สัตว์ปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกตัดเป็ชิ้นๆ หลั่งเืออกมาไม่รู้จบ
ในเวลาเพียงชั่วครู่ สัตว์ปีศาจจำนวนมากก็ถูกกวาดล้าง สถานที่ ณ ตรงนั้นว่างเปล่าทันที
ไม่นาน ร่างที่ถือแส้ยาวแค่ะโเบาๆ ก็มาถึงใจกลางป่าสีเื เมื่อนางเห็นชายวัยกลางคน นางก็แสดงรอยยิ้มขี้เล่นและพูดว่า “อุ๊ย ช่างบังเอิญเสียจริง เ้าสำนักหยาง ไม่คิดว่าจะพบท่านที่นี่”
หญิงนางนี้มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น แม้จะเข้าสู่วัยกลางคนแล้วแต่ก็ยังสง่างาม ทรงเสน่ห์
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุด คือหลังจากการฆ่าไปรอบหนึ่ง เสื้อผ้าของนางกลับไม่เปื้อนเืของสัตว์ปีศาจเลย ยังคงใหม่เอี่ยมเช่นเดิม
เมื่อเขาเห็นผู้หญิงที่สง่างามคนนี้ ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าเ้าสำนักหยางก็ไม่ขยับตัว เขาหยุดนิ่งไปชั่วครู่และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฮ่าๆ ทักษะแส้ของหานซื่อเหนียง[2] สมคำร่ำลือจริงๆ สังหารฝูงสัตว์ปีศาจในหนึ่งก้าว พันลี้ไม่เปื้อนโลหิต”
เมื่อได้ยินดังนั้น หานซื่อเหนียงก็วางแส้ยาวของตนลงแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มอันแสนหวาน “เ้าสำนักหยางชมเกินไปแล้ว ข้าเป็เพียงผู้หญิงอ่อนแอ แต่แค่ไม่คิดว่าสัตว์ปีศาจพวกนั้นจะดุร้ายขนาดนี้ พวกมัน้าโจมตีข้า ข้าก็เลยสั่งสอนไปนิดหน่อย อา... ตอนนี้ข้ายังรู้สึกกลัวอยู่เลย”
ในขณะที่พูด หานซื่อเหนียงก็ทำท่าทางราวตกเป็เหยื่อ ทำให้เ้าสำนักหยางเลิกคิ้วสูง ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวจริงๆ
หานซื่อเหนียงคนนี้มาจากนิกายเทียนหวง[3]ทางตะวันตกของป่าสีเื นางคือรองผู้นำนิกายเทียนหวง และยังเป็นักรบขั้นพื้นพิภพอีกด้วย
ชายวัยกลางคนสกุลหยางผู้นี้ชื่อหยางเจิ้ง เป็ผู้นำสำนักเล็กๆ อย่างสำนักเถี่ยเฉวียน[4] และเป็นักรบขั้นพื้นพิภพเช่นกัน แต่เขาไม่เหมือนกับหานซื่อเหนียง เขาเดินทางมาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองไป๋หยาง
ก่อนหน้านี้ ทั้งคู่ตื่นตระหนกกับนิมิตในป่าสีเื และ้าทราบเื่นี้ด้วยตัวเอง แต่ตอนที่พวกเขามาถึงก็สายเกินไปแล้ว ไม่คิดว่าทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาพเดิม
ยิ่งกว่านั้น หมอกสีแดงเหนือป่าสีเืได้สลายไปแล้ว ท้องฟ้าแจ่มใสและสว่างไสวด้วยแสงนับพัน
“เฮ้อ การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของป่าสนธยาต้องเกิดจากการกำเนิดของวัตถุิญญาเป็แน่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าโชคจะไม่เข้าข้างพวกเราสักเท่าไรนะ” หยางเจิ้งถอนหายใจและพูดอย่างเสียใจ
“ฮ่าๆ โชคชะตาฟ้ากำหนด เ้าสำนักหยางไยต้องถอนใจ?” หานซื่อเหนียงไม่สนใจเลย นางมาที่นี่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก
นางถามอีกครั้งทันที “เ้าสำนักหยาง ได้ยินมาเสมอว่าท่านอาศัยอยู่อย่างสันโดษและมักศึกษาวิชายุทธ์อย่างระมัดระวัง เหตุใดท่านถึงเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ในตอนนี้ได้? สำนักหมัดเหล็กดูเหมือนจะอยู่ไกลจากที่นี่มาก”
หยางเจิ้งตอบ “ไม่ปิดบังปรมาจารย์หาน ข้าได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานแต่งในเมืองชุยเสวี่ย ตระกูลฉู่ย่อยในเมืองไป๋หยางดูเหมือนจะตระเตรียมงานแต่งที่ทรงอิทธิพลอยู่”
“ว่ากันว่าเ้าสาวผู้นี้มีความงามที่ไม่มีใครเทียบได้ นางราวกับเทพธิดาจำแลง ทำให้เกิดความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ อัจฉริยะหลายคนจากตระกูลที่มีอำนาจต่างหลงใหลนางกันทุกคน ฮ่าๆ อัจฉริยะหนุ่มผู้หยิ่งผยองเ่าั้ต่างก็ประชันขันต่อ ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก”
หานซื่อเหนียงสะดุ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้ม พูดว่า “โอ้? ช่างบังเอิญจริงๆ ข้าเองก็ได้รับเชิญด้วย แต่ข้าได้ยินมาว่า ความงามของเ้าสาวนางนั้นน่าทึ่งมาก แต่นางก็ดูเหมือนจะดื้อรั้นมากเช่นกัน ไม่สนใจไยดีกับอัจฉริยะรุ่นเยาว์พวกนั้นเลย”
“แล้วข้าก็ยังได้ยินอีกว่านางขังตัวเองอยู่ในเรือนสวนทั้งวัน ร้องไห้อาบน้ำตา ปิดประตูไม่รับแขก คล้ายเคยะโว่าอยากเจอใครสักคน ฮิๆ หรือว่านางจะมีผู้ใดอยู่ในใจแล้ว?”
หลังจากได้ยิน หยางเจิ้งก็ส่ายหัวแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่กระมัง ว่ากันว่าผู้หญิงคนนั้นร่างกายอ่อนแอป่วยบ่อย นางออกจากบ้านได้ไม่เกินสามก้าวั้แ่ยังเด็ก ไหนเลยจะได้รู้จักมักจี่กับผู้อื่น ในความคิดของข้า นางคงจะแกล้งทำเป็ห่างเหิน แค่อยากเห็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์คนอื่นๆ ต่อสู้กันแย่งชิงตนเอง”
“เ้าสำนักหยาง เหตุใดจึงพูดถึงนางเช่นนี้? ใน่เวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ ครอบครัวที่มีบุตรีไร้วรยุทธ์นั้นน่าสงสารยิ่งนัก” เมื่อหานซื่อเหนียงได้ยินคำพูดของหยางเจิ้ง นางก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่ชอบใจ
นางเป็นักรบในขั้นพื้นพิภพ เดินทางฝ่าฟันมาด้วยตัวคนเดียวแล้วกลายมาเป็รองผู้นำนิกาย นางย่อมรังเกียจคำพูดดูิ่ผู้หญิง
“ฟุ่บ--”
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังสนทนากัน แสงสว่างอีกดวงหนึ่งก็สว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เสียงลมหวีดหวิว เสียงฟ้าร้องลั่นอย่างน่าพรั่นพรึง
ยามนี้ สัตว์ปีศาจล้วนหวาดกลัว ตัวสั่น แต่ไม่กล้าขยับตัว พวกมันในวันนี้ประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่นับไม่ถ้วน ไม่เพียงแต่ผู้นำของสัตว์ปีศาจจะตายไปเท่านั้น แต่ยังมีนักรบขั้นพื้นพิภพสองคนเข้ามาเพิ่มความหายนะอีก มันช่างน่าสังเวชจริงๆ
แต่ถึงกระนั้นผู้ที่มาถึงในครั้งนี้ดูใจดีมาก เขามาอย่างสงบ ก้าวเท้าไปข้างหน้าช้าๆ
แต่สัตว์ปีศาจเ่าั้ก็ไม่กล้าโจมตีและหลีกทางให้ เนื่องด้วยแรงกดดันอันแ่เบาของผู้มาเยือนครานี้ ทำให้สัตว์ปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนก้มหน้าลงและส่งเสียงครวญคราง ย่างก้าวของพวกมันสั่นเทา
ร่างนี้เป็ชายชรา มีเคราและผมสีขาว สวมชุดลัทธิเต๋าสีขาวสะอาดตา ทำให้ดูเป็ะ ทว่ากลับแบกน้ำเต้าสุราสีเหลืองขนาดใหญ่ไว้ข้างหลังซึ่งไม่สอดคล้องกับนิสัยของเขาโดยสิ้นเชิง...
“เด็กดี เชื่อฟังยิ่งนัก ฮ่าๆ”
ชายชราไม่ได้เริ่มเข่นฆ่า เขาเพียงแค่เดินช้าๆ และเอื้อมมือออกไปแตะสัตว์ปีศาจที่ก้มหัวลงกับพื้น ด้วยสีหน้าใจดีและท่าทางที่เป็มิตร
“นักพรตสุรา?!”
เมื่อหยางเจิ้งและหานซื่อเหนียงเห็นรูปร่างหน้าตาของชายชราคนนี้ ทั้งคู่ก็พูดออกมาพร้อมกัน
ทั้งสองคนยกมือขึ้นทำความเคารพทักทายชายชราทันทีโดยไม่กล้าที่จะละเลย
“อา ปรมาจารย์สองสำนัก อย่าเห็นกันเป็คนนอกเลย ข้าไม่ใช่คนสำคัญใหญ่โตอะไร ไม่ต้องมากพิธีๆ” ชายชรายิ้มอย่างไม่มีท่าทีใดๆ เขาหยิบขวดสุราเล็กๆ ออกมาจากอ้อมแขนแล้วยกขึ้นจิบด้วยใบหน้าแดงก่ำ..
“กลิ่นเืที่นี่แรงมาก เหตุใดสัตว์ปีศาจถึงถูกฆ่าเยอะขนาดนี้? เช่นนี้ต้องกลบด้วยกลิ่นหอมหวานของสุราเสีย ฮ่าๆ ๆ”
“ผู้...ผู้าุโ ข้าลงมือรุนแรงเกินไป ขออภัยด้วยเ้าค่ะ” หลังจากได้ยินคำพูดของชายชรา หานซื่อเหนียงก็รู้สึกผิดยิ่งนัก เหงื่อออกชุ่มมือ แลดูหวาดกลัวเล็กน้อย
“ลิ่ง...ผู้าุโลิ่งหู่ ข้าก็ลงมือไปโดยไม่ได้ตั้งใจ หวังว่าท่านจะไม่กล่าวโทษ” หยางเจิ้งหลั่งเหงื่อเย็นออกมาหยดหนึ่ง ดวงตาเบิกกว้างตกตะลึง ผสานมือกันแน่น
ทั้งคู่คิดว่าชายชราผู้นี้จะกล่าวโทษที่พวกเขาสังหารสัตว์ปีศาจ จึงกลัวจนขวัญเสีย
ผู้แข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ พวกเขาไม่อาจเย้าแหย่ได้
เมื่อเห็นดังนั้น ชายชราก็โบกมือแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เฮ้อ ท่านผู้นำสำนักทั้งสองจะหวาดเกรงไปไย? ข้าไม่ตำหนิพวกเ้าหรอก ข้าเพิ่งผ่านมาที่นี่และเห็นการเปลี่ยนแปลงในป่าสีเื จึงมาสังเกตการณ์ด้วยความอยากรู้เสียหน่อย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หานซื่อเหนียงและหยางเจิ้งก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แสดงท่าทีราวกับรอดชีวิตจากภัยพิบัติ พวกเขาทั้งคู่รู้ดีว่าชายชราที่ดูเหมือนใจดีคนนี้ไม่ธรรมดาเลย
คนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เพียงนิ้วเดียวก็สามารถทำลายพวกเขาได้
“ไอ้หยา ดูเหมือนจะเกิดเื่ใหญ่โตขึ้นที่นี่นะ ป่าทึบที่เคยสวยงาม ตอนนี้กลับกลายเป็ซากปรักหักพัง แม้แต่หมอกสีแดงบนท้องฟ้าก็หายไป น่าสงสัยจริงๆ” นักพรตเดินไปที่ใจกลางป่าสีเื เขามองไปรอบๆ แล้วถอนหายใจ
“ผู้าุโ จากการสังเกตของข้า ดูเหมือนว่าทีนี่จะมีวัตถุิญญาปรากฏขึ้น น่าเสียดายที่เราทุกคนมาช้าไป” หยางเจิ้งถอนหายใจอีกครั้ง มองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีสลัวอย่างรู้สึกเสียดาย
ผู้แข็งแกร่งด้านพลังยุทธ์เองก็มีปัญหาคอขวดเช่นกัน พวกเขาทุกคนจำเป็ต้องค้นหาวัตถุิญญาเพื่อช่วยพัฒนาฝึกฝน แต่นี่เป็โอกาสที่อาจพบแต่ไม่อาจแสวงหาได้ หากพลาดไปแล้วก็คือพลาดเลย
แต่ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่า จะมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่นี่เมื่อไม่นานมานี้ ได้หายตัวไปพร้อมกับวัตถุิญญา
“ฮ่าๆ ใต้หล้ามีฟ้ากำหนด นี่ไม่อาจบังคับได้หรอกนะ ปรมาจารย์หยาง” นักพรตสุรายิ้มพร้อมลูบเครา เขาไม่สนใจเื่วัตถุิญญาเลย
ทันใดนั้น เขาเห็นาาสัตว์อสูรทั้งสองตัวนอนอยู่บนพื้น มองไปรอบๆ ด้วยท่าทีงุนงงและพูดเสียงเบา “หืม? สัตว์อสูรทั้งสองนี้ดูเหมือนจะต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่ทำไมปากของราชันราชสีห์เขี้ยวโลหิตถึงมีาแจากกระบี่ได้เล่า?”
การต่อสู้ทั่วไประหว่างสัตว์อสูร จะใช้เพียงร่างกายหรือทักษะของสัตว์ในการต่อสู้เท่านั้น ไม่มีการใช้อาวุธ
หรือว่ามีมนุษย์อยู่ที่นี่?
ขณะที่นักพรตกำลังครุ่นคิด หานซื่อเหนียงก็ก้าวไปข้างหน้า ประสานมือขึ้นแล้วถามด้วยความเคารพ “ผู้าุโ อภัยที่ข้าล่วงเกิน ท่านตำแหน่งสูงส่ง มีอิทธิพลต่อใต้หล้า เหตุใดถึงมาที่ในที่เล็กๆ อย่างป่าสีเืนี้ได้เล่าเ้าคะ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น นักพรตสุราก็ยกยิ้มอย่างเก้กัง ยกสุราขึ้นดื่มแล้วพูดว่า “อะแฮ่ม... ข้าละอายใจจะพูดนัก ครั้งนี้ข้าได้รับเชิญจากเพื่อนเก่าให้ไปที่เมืองไป๋หยางเพื่อรับศิษย์คนหนึ่ง เด็กหนุ่มที่มีศักยภาพสูง ทว่าน่าเสียดายที่ระหว่างทางล่าช้าไปสักหน่อย ข้าจึงเพิ่งมาที่นี่”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ หยางเจิ้งและหานซื่อเหนียงต่างก็มองหน้ากันอย่างใ ชายชราคนนี้ช่างอิสระและเรียบง่าย ไร้สิ่งใดให้กังวลจริงๆ
“ฟิ้ว——”
บนท้องฟ้าที่มืดมิด ฝูงนกสีดำบินผ่านไป ดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดินก็ค่อยๆ ลาลับขอบฟ้า ทั้งสามคนเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา เห็นพระจันทร์อันสุกสว่างขยับเคลื่อนมาที่กลางฟ้า และสถานที่นั้นก็เงียบสงบ
อีกไม่นานราตรีก็จะมาเยือน
----------
[1] ดวงตาเบิกกว้าง แสดงว่าโกรธมาก
[2] แม่นางสี่หาน
[3] เฟิ่งหวงแห่ง์
[4] หมัดเหล็ก