เจียงเฉิงเยว่เดินไปหาเหล่าเด็กหนุ่มที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นอย่างช้าๆ จากนั้นหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาก่อนเงียบไปเป็เวลานาน แรงกดดันที่มองไม่เห็นเพียงกดทับจนสึกไม่มั่นคงเกือบจะล้มลง พวกเขาจึงถูกศิษย์พี่น้องร่วมสำนักยื่นมือประคอง
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “เมื่อครู่อาจารย์กล่าวว่า สำนักชิงเฟิงส่งเหล่าศิษย์มาเพื่อให้ข้าจัดการอย่างตามใจ...กล่าวคือ...หากสังหารก็ขึ้นอยู่กับคำพูดของข้าเพียงประโยคเดียวหรือ?”
อากาศในที่แห่งนี้ดูเหมือนจะแข็งตัวอย่างฉับพลัน ผ่านไปนานในที่สุดสำนักชิงเฟิงนึกขึ้นได้ว่าต้องตอบกลับ ซ่งชิงอวี้กำหมัดแน่นพลางประสานมือด้วยใบหน้ามืดครึ้ม กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับฝ่าา”
นักพรตฉู่เลิกยิ้มอย่างมีมารยาท ถอนหายใจโดยไร้เสียง “สำนักชิงเฟิงมีฐานะเป็อาจารย์ของพวกเขา ไม่อาจรับผิดชอบในการอบรมสั่งสอน หลังจากเื่นี้สำนักชิงเฟิงจะรับผลที่ตามมา...ฝ่าา...ทรงจัดการได้ตามพระทัย”
ยามนี้เหล่าเด็กหนุ่มตัวสั่นอย่างรุนแรง ทุกคนดูเหมือนนักโทษบนลานปะา เจียงเฉิงเยว่ยังคงนิ่งเงียบราวกับกำลังพิจารณาอย่างจริงจังยิ่งเขาไม่พูดจา ศิษย์สำนักชิงเฟิงในที่แห่งนี้กลับยิ่งรู้สึกเครียดคล้ายกับจะหายใจไม่ออก
ในที่สุดเมื่อระบายความโกรธมากพอแล้ว เจียงเฉิงเยว่จึงประสานมือให้แก่ราชครูด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ “ท่านอาจารย์ ท่านไม่ได้บอกก่อนหน้านี้หรือว่าหลายส่วนของวิหารหลิงเซียวนั้นเก่า จำเป็ต้องซ่อมแซ่ม”
ราชครูไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงพูดถึงเื่นี้กะทันหัน ทว่าพยักหน้าเล็กน้อย “มีเื่เช่นนั้นจริง”
เจียงเฉิงเยว่กล่าวต่อ “ศิษย์วิหารหลิงเซียวนั้นมีไม่มาก กำลังคนไม่เพียงพอ...ไม่อย่างนั้นให้นักพรตน้อยจากสำนักชิงเฟิงมาซ่อมแซมสถานที่ทั้งหมดที่ต้องซ่อมแซมในวิหารหลิงเซียว สวนและป่าทั้งสี่ด้านก็ต้องซ่อมแซมด้วย เพื่อประหยัดแรงของศิษย์เราเป็อย่างไร?”
ทุกคนเงียบเป็เวลานาน แม้แต่เด็กหนุ่มที่คุกเข่าบนพื้นเ่าั้ต่างเงยหน้าขึ้นด้วยความเหลือเชื่อ มองมาที่เจียงเฉิงเยว่ ซ่งชิงอวี้เป็คนแรกที่ตอบสนองแล้วถาม “เพียงแค่นี้...เท่านั้นหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่เลิกคิ้ว “ทำไม? ถ้อยคำนี้ฟังดูเหมือนว่านักพรตซ่งไม่พอใจเท่าไรนะ?”
ซ่งชิงอวี้ส่ายศีรษะอย่างเร็วไว ก่อนประสานมือโค้งคำนับด้วยความตื่นเต้น “ขอบพระทัยฝ่าา ขอบพระทัยฝ่าาที่ทรงมีพระทัยกว้างขวางดุจมหาสมุทร!!!” เมื่อเขาเห็นว่าเหล่าศิษย์น้องยังคงนิ่งค้างอยู่ จึงรีบเตะคนที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างโเี้ “ยังไม่รีบของพระทัยฝ่าาในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงไว้ชีวิตอีก!”
เหล่าศิษย์รีบโขกศีรษะราวกับโขลกกระเทียม ริมฝีปากพึมพำ “ขอบพระทัยฝ่าา! ขอบพระทัยฝ่าา!”
เจียงเฉิงเยว่ยกมือขึ้นเพื่อหยุด เขายกยิ้มอย่างมืดมน “เพียงลงโทษเช่นนี้ในฝั่งของข้าเท่านั้น...” สำนักชิงเฟิงทั้งหมดตกตะลึงแล้วเงียบลงอีกครั้ง “เื่นี้...เป็พวกเ้าที่จงใจสร้างปัญหา ยั่วยุน้องห้าของข้าก่อน นอกจากนี้เมื่อวานยังมีการต่อสู้ที่มิอาจอธิบายได้อีก เต็มไปด้วยเงาคมดาบ ข้านั้นเพียงใเล็กน้อย แต่องค์ชายห้าได้รับาเ็ที่ข้อมือโดยไม่ได้ตั้งใจ...”
เขายังไม่ทันกล่าวจบ อาจารย์ชราผู้เป็ราชครูของหลี่อวิ๋นหังอุทานตามมาอย่างปวดใจ “อา อาหังได้รับาเ็หรือ?”
เจียงเฉิงเยว่เหลือบมองอีกฝ่ายพลางคิดในใจว่าปกติทำไมไม่เห็นท่านใส่ใจเช่นนี้ คนนอกปรากฏกายเต็มไปหมดเช่นนี้ จึงพอให้เห็นได้ว่าชายชราผู้นี้เป็จิ้งจอกแก่ที่อยู่ใต้ิัราวกับเทพเซียนเช่นเดียวกัน ทว่า ณ ตอนนี้กลับไม่เหมาะที่จะโต้แย้ง เขาจึงทำได้เพียงแสดงละครต่อไปอย่างเคารพ “ก็ใช่น่ะสิ...เมื่อคืนข้าเห็นฝ่ามือบวมราวกับหมั่นโถว ท่านอาจารย์ ท่านคงไม่เห็น...เมื่อวานเด็กพวกนี้ทุบตีจนแทบทำให้ผู้คนใตาย หากนักพรตซ่งมาไม่ทันเวลา เกรงว่าข้ากับอาหังอาจรอดกลับมาไม่ได้แล้ว”
ชายชราพลันลิ้นจุกปากตามไปด้วย “ชิ”
ใบหน้าของทุกคนในสำนักชิงเฟิงเริ่มขาวซีด
เจียงเฉิงเยว่กล่าวอีก “ท่านลองคิดดูสิ...หากว่าอาหังไม่มีสถานะอื่น แต่เป็ศิษย์ธรรมดาในวิหารหลิงเซียวของพวกเราที่อยู่ภายนอก อย่างไรก็ไม่ควรถูกรังแกเช่นนี้มิใช่หรือ?”
ชายชรา “ชิ...”
ภายใต้ความเงียบของสำนักชิงเฟิงทั้งหมด นักพรตฉู่ยื่นมือออกไปเพื่อััเหงื่อเย็นบนหน้าผากด้วยรอยยิ้มอึดอัดใจ อีกฝ่ายยิ้มเข้าสู้ “ล้วนเป็คนเหล่านี้ที่ชั่วร้าย! ฝ่าา ราชครู โปรดวางใจเถิด...มีบทลงโทษมากมายที่รอเ้าพวกชั่วร้ายนี้ภายหลังกลับสำนัก! เ้าสำนักของเรายังบอกอีกว่าเร็วๆ นี้จะมาขออภัยที่หน้าประตูด้วยตนเอง”
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “ข้านั้นอย่างไรก็ได้ แต่ทางด้านองค์ชายห้านั้น...ข้าไม่รู้ เอาแบบนี้แล้วกัน หากพวกท่านสามารถขอให้องค์ชายห้ายกโทษให้พวกท่านได้...เช่นนั้นเราจะไม่กล่าวถึงเื่นี้อีก ว่าอย่างไร?”
สำนักชิงเฟิง “พ่ะย่ะค่ะ...ฝ่าาตรัสได้มีเหตุผล เช่นนี้ก็ให้พวกเด็กสารเลวขออภัยองค์ชายห้าก็แล้วกัน!”
เจียงเฉิงเยว่โบกมืออีกครั้งเพื่อหยุด “ช้าก่อน...” สำนักชิงเฟิงทุกคนจึงทำได้เพียงหยุดพร้อมหันศีรษะมองด้วยความเคารพ เจียงเฉิงเยว่ระบายยิ้มพลางกล่าวอีกครั้ง “องค์ชายห้า...มีนิสัยเก็บตัว หากพวกท่านวิ่งไปตามตรงเช่นนี้ เกรงว่าจะกลับตาลปัตร”
ทันทีที่ถ้อยคำนี้ถูกเอ่ยออกมา อาจารย์ของหลี่อวิ๋นหังได้ฟังแล้วแทบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ เมื่อเห็นว่าสายตาทุกคนมารวมอยู่ที่เขาจึงนั่งตัวตรง มองไปที่ชาวสำนักชิงเฟิงอย่างจริงจัง “สิ่งที่องค์รัชทายาทตรัสนั้นมีเหตุผล ทรงคิดเผื่อให้แก่ทุกท่าน”
เจียงเฉิงเยว่กล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม ต่อไปทุกคนก็พักอยู่ในวิหารหลิงเซียวสักพัก ยังมีเวลาอีกมากในการขออภัย”
สำนักชิงเฟิง “พ่ะย่ะค่ะ!”
นักพรตฉู่ยังกล่าวเสริม “ฝ่าาโปรดวางพระทัย โปรดนำเ้าสารเลวพวกนี้ไปเป็วัวม้าสำหรับองค์ชายห้า หวังว่าองค์ชายห้าจะไม่รังเกียจกักขฬะเช่นนี้”
เจียงเฉิงเยว่กอดอก ก่อนที่ท้ายที่สุดจะยกยิ้มอย่างพึงพอใจที่ได้รับชัยชนะ
.............................
ด้วยเหตุนี้ เหล่าศิษย์สำนักชิงเฟิงจึงเริ่มต้นวันของพวกเขาโดยต้องออกไปในตอนเช้าและกลับมา่เย็นเพื่อรายงานที่วิหารหลิงเซียวในทุกๆ วัน
เด็กกลุ่มนี้สามารถขโมยอาวุธิญญาของอาจารย์ในสำนักชิงเฟิง จึงเห็นได้ว่าเป็พวกตามลมตามน้ำ1 นี่อาจมีความเกี่ยวข้องกับนิสัยของพวกเขา นั่นคือภายในจิตใจมีความกระตือรือร้น อายุยังไม่มาก ทว่าทุกคนกลับมีความสามารถในการสังเกตสีหน้า ถ้อยคำและการพูดเยินยอ เมื่อได้รับชีวิตกลับคืนจากเจียงเฉิงเยว่ อาจเป็เพราะสำนึกในความเมตตาของเขาที่ละเว้นชีวิต หรืออาจมีความตั้งใจที่จะเอาอกเอาใจองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์อยู่หลายส่วน ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน เด็กกลุ่มนี้ก็เกลี้ยกล่อมเจียงเฉิงเยว่ให้เบิกบานใจ ปล่อยวางความไม่ชอบใจก่อนหน้านี้ลงทั้งหมด
การฝึกฝนในวิหารหลิงเซียวเดิมทีนั้นน่าเบื่อ ทว่าศิษย์สำนักชิงเฟิงเหล่านี้กลับดูเหมือนช่วยเติมพลังให้กับชีวิตที่น่าเบื่อนี้ ท้ายที่สุดอารามเต๋าของราชวงศ์มีสมาชิกของราชวงศ์ฝึกฝนอยู่ ศิษย์ส่วนใหญ่ของวิหารหลิงเซียวกำเนิดในตระกูลขุนนาง ที่บ้านอบรบอย่างเข้มงวด ควบคุมอารมณ์ได้เป็อย่างดี มิอาจวางท่าทางโอ่อ่าลง ไม่เหมือนกับศิษย์สำนักชิงเฟิงที่ไม่มีข้อห้ามมากมายเช่นนั้น เพราะเกิดเป็สามัญชนเสียส่วนใหญ่ จึงทั้งเ้าเล่ห์และหยาบโลน แม้ว่าเข้าสู่อารามเพื่อฝึกฝนสักพักหนึ่งกลับยังแก้ไขไม่ได้ หากไม่มีความสุขก็พ่นคำหยาบคายออกมาโดยไม่ตั้งใจเพื่อทำให้ปากโล่งอยู่สักพัก
ยามที่เจียงเฉิงเยว่ยังมีชีวิตอยู่ ชั่วขณะหนึ่งเขาเป็สามัญชน เมื่อได้พบกับคนเหล่านี้กลับกันจึงสนิทสนมมากขึ้น ฉะนั้นบางครั้งก็จะยืมนามของผู้บังคับบัญชาไปฟังเด็กพวกนั้นเยินยอและอธิบายเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของอารามเต๋าเ่าั้ที่เชิงเขาฉีหวน เขามักเบิกบานใจจนตัวโยน
ภายหลังท่าทีขององค์รัชทายาทที่มีต่อพวกเขาเปลี่ยนไป ความเป็ปฏิปักษ์และความระแวดระวังของศิษย์วิหารหลิงเซียวที่มีต่อสำนักชิงเฟิงจึงแทบหมดสิ้น บางทีก็จะหยุดเท้าเพื่อสนทนากับพวกเขาสองสามประโยค หรือหารือเกี่ยวกับปัญหาการบ่มเพาะ
เดิมทีเมื่อภายในวิหารหลิงเซียวไม่มีองค์รัชทายาทจากราชสำนักเข้ามาบ่มเพาะ ย่อมมีการสนทนาแลกเปลี่ยนที่เหมือนกับอารามเต๋าอื่นๆ ที่้าและเชิงเขา เพียงเพราะองค์รัชทายาทประทับอยู่ที่นั่นถึงได้หยุดชะงัก ราชครูแห่งวิหารหลิงเซียวกับเ้าสำนักแห่งสำนักชิงเฟิงนั้นไม่ได้ขัดแย้งกัน ศิษย์ของทั้งสองฝั่งจึงไม่ได้มีความเคร่งครัดอะไร พูดคุยได้อย่างอิสระ เพราะอย่างนั้น เด็กน้อยจากสำนักชิงเฟิงที่พักอยู่ในวิหารหลิงเซียว่เวลานี้ ภายนอกอาจดูเหมือนว่าถูกลงโทษ แต่ความเป็จริงแล้วกลับสุขสบาย ราวกับความหมายที่ว่าในความโชคร้ายอาจยังมีความโชคดีอยู่หลายส่วน
ยกเว้นเพียง...ทางด้านของหลี่อวิ๋นหังที่มุมานะในการเตะแผ่นเหล็ก2
เจียงเฉิงเยว่ยังคงเห็นความดื้อรั้นของน้องชายที่เย่อหยิ่งของหลี่อวิ๋นเฉินจากข้างกาย ไม่ว่าเหล่าศิษย์สำนักชิงเฟิงจะขอโทษหรือประจบประแจงอย่างไรก็ทำราวกับว่าไม่ได้ยินหรือไม่มีตัวตนอยู่ทั้งหมด หากถูกอีกฝ่ายตามตอแยอย่างร้อนใจก็จะลงมือโดยไม่กล่าวอะไร เมื่อเจียงเฉิงเยว่เห็นศิษย์สำนักชิงเฟิงยามที่ล้อมรอบหลี่อวิ๋นหังยิ้มเข้าสู้พร้อมติดตามอย่างหน้าหนาและดันทุรังจนใบหน้ามืดมน หลังจากเห็นว่าตนเองช่วยอะไรไม่ได้จึงทนไม่ไหวที่จะมอง
เมื่อเห็นว่าพวกเขาช่างดูน่าสงสาร เจียงเฉิงเยว่จึงลองช่วยเกลี้ยกล่อมหลี่อวิ๋นหัง เขาเคยพูดเกลี้ยกล่อมไม่หยุดอย่าง ‘ความแค้นเคืองควรคลายไม่ควรผูก’ ‘ต้องชำนาญในการเปลี่ยนศัตรูให้เป็มิตร’ หรือ ‘ต้องผูกมิตรอย่างมีคุณธรรมเมตตากับผู้อื่นโดยไม่นึกถึงความเคียดแค้นในอดีต’ ท้ายที่สุดกลับเป็ตนเองที่ตกอยู่ในสายตาอันเงียบงันและเ็าของหลี่อวิ๋นหัง หลังจากนั้นเขาลูบจมูกตนเองแล้วหนีมาอย่างเศร้าหมอง
ราชครูกับองค์ชายห้า อาจารย์กับศิษย์สองคนนี้ คนหนึ่งหุบปากไม่ได้ ส่วนอีกคนยืนกรานที่จะไม่เปิดปาก ถูกกำหนดให้เป็ดวงดาวที่หักล้างกับดวงชะตาของเขาเสียจริง ไม่ว่าจะเป็คนไหนต่างก็ไม่อาจยั่วยุได้
ดังนั้น ยิ่งศิษย์น้อยของสำนักชิงเฟิงอยู่ในวิหารหลิงเซียวนานเท่าไร ยิ่งเข้ากับทุกคนได้มากขึ้นเท่านั้น โดยที่สีหน้าของหลี่อวิ๋นหังกลับย่ำแย่ลง สุดท้ายแล้วแม้แต่เจียงเฉิงเยว่ก็เกือบจะไม่สนใจตนเอง เมื่อเห็นเขาก็หน้ามืดคล้ำพลางหมุนตัวจากไป สงสารศิษย์ที่ตามเขามาด้วยหยาดเหงื่อที่ท่วมตัวพร้อมความรู้สึกอึดอัดใจยิ่ง
่เย็นของวันนี้ ศิษย์สำนักชิงเฟิงกำลังขึ้นหลังคาของห้องวิหารหลักเพื่อเพิ่มอิฐ กระเบื้องและภาพวาดบนคานอย่างวุ่นวาย เจียงเฉิงเยว่จึงพาข้าราชบริพารมายืนบริเวณด้านล่างและพูดคุย ทว่าบังเอิญพบหลี่อวิ๋นหังที่เพิ่งเลิกเรียน กำลังเดินผ่านประตูพร้อมกับอิ้นไป่ ศิษย์รับใช้ผู้นั้น
เจียงเฉิงเยว่เห็นเขาอย่างรวดเร็ว จึงทักทายด้วยเสียงหัวเราะอย่างไม่รู้จะพูดอะไร เขาลองหาเื่มาคุย “อาหัง...เลิกเรียนแล้วหรือ?”
หลี่อวิ๋นหังไม่สนใจเขาจึงเดินผ่านไป
ทางด้านของผู้ที่ไม่รู้จะพูดอะไรทว่าหาเื่มาพูดไม่ได้มีเจียงเฉิงเยว่เพียงผู้เดียว ศิษย์น้อยของสำนักชิงเฟิงต่างค้อมศีรษะด้วยความเคารพก่อนเอ่ยเรียก “องค์ชายห้า...”
หลี่อวิ๋นหังทำเป็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แม้แต่หางตาก็ไม่เหลือบมอง
กลุ่มคนที่ยังหัวเราะโหวกเหวกอยู่เมื่อครู่ล้วนเงียบเสียงลง
เป็เวลานาน ผู้ที่อายุมากที่สุดในบรรดาศิษย์สำนักชิงเฟิงกระแอมไอเบาๆ ศิษย์น้องหกผู้มีอายุน้อยยืนอยู่ด้านล่างเพื่อช่วยส่งเครื่องมือให้พวกเขาพลันเข้าใจความหมาย จึงรีบตามหลี่อวิ๋นหังไปสองสามก้าวเพื่อขวางทาง หลังจากนั้นประสานมือด้วยความเคารพ หยิบขวดยาขนาดเล็กดูสวยงามออกมาจากอกอย่างเคร่งขรึม เพียงมองย่อมรู้ว่าไม่ใช่สิ่งของธรรมดา อีกฝ่ายใช้สองมือมอบให้แล้วก้มศีรษะพลางกล่าว “องค์ชายห้า ครั้งก่อนพวกเราศิษย์พี่น้องหลายคนกระทำการอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ภายหลังได้ยินว่าองค์ชายห้าทรงได้รับาเ็...ภายในใจรู้สึกผิด ยานี้พวกเราไปคุกเข่าขอจากผู้เฒ่าโอสถในสำนักอยู่เป็เวลานานจึงได้มา มีเพียงนักพรตาุโของสำนักชิงเฟิงเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ ว่ากันว่าผลลัพธ์นั้นเหนือชั้นอย่างยิ่ง...ขอองค์ชายห้าทรงอย่ารังเกียจ…”
หลี่อวิ๋นหังก้มศีรษะมองอีกฝ่ายอย่างเ็า ศิษย์น้องหกของสำนักชิงเฟิงอายุเพียงสิบปี ซึ่งอายุน้อยกว่าหลี่อวิ๋นหังหนึ่งปี เนื่องจากเกิดมายากจน หากเทียบกับเด็กวัยเดียวกันแล้วเห็นได้ชัดว่าร่างไม่สูงเท่าไร หลี่อวิ๋นหังที่อายุมากกว่าเขาหนึ่งปีและมีสถานะสูงส่ง หากนับว่าพักอยู่ในวิหารหลิงเซียวเพื่อฝึกฝนแล้ว อาหารการกินย่อมไม่แย่ แม้ว่าจะผอมแต่กลับสูงกว่าหนึ่ง่ศีรษะ เด็กน้อยผู้นั้นค้อมตัวคำนับอีกครั้ง หลี่อวิ๋นหังทำเพียงแค่มองจากมุมสูงลงมา โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ หลังเห็นว่าอีกฝ่ายไม่้าหลีกทางจึงเดินตรงไปด้านข้าง เขาอ้อมตัวจากไป
ศิษย์น้องหกผู้นั้นอาจได้รับการไหว้วานจากเหล่าศิษย์พี่ว่าต้องมอบยาให้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพื่อทำลายความสัมพันธ์ของหลี่อวิ๋นหังที่เหมือนกับน้ำแข็งในคราวเดียว ยามนี้ศิษย์น้องหกเริ่มร้อนใจจึงรีบคว้าแขนเสื้อของหลี่อวิ๋นหัง มองเขาอย่างอ้อนวอนแล้วเอ่ยเรียก “ฝ่าา...”
แม้ว่าเด็กผู้นั้นจะตัวเล็กแต่กลับดูแข็งแรงและน่ารัก ค่อนข้างจะเป็ที่ชื่นชอบทีเดียว ท่าทางน่าเวทนาที่มองเขาอย่างเศร้าโศกเวลานี้ เห็นแล้วอดเวทนาไม่ได้เสียจริง เจียงเฉิงเยว่จึงอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้า ระบายยิ้มพลางเกลี้ยกล่อม “อาหัง ในเมื่อเขามาขอโทษ...เ้าไม่ลองรับไปหน่อยหรือ?”
เดิมทีหลี่อวิ๋นหังนับว่ามีสีหน้าไร้อารมณ์ แต่เมื่อได้ยินคำพูดนั้นกลับขมวดคิ้วฉับพลัน เผยความขุ่นเคืองอยู่หลายส่วน เขาดึงแขนเสื้อของตนเองออกจากฝ่ามือศิษย์น้องหกด้วยความรังเกียจ กล่าวอย่างเ็า “ไม่จำเป็!” จากนั้นไม่หยุดแม้เพียงสักครู่ รีบจากไป
อิ้นไป่ทำได้เพียงขอโทษเจียงเฉิงเยว่อย่างมีมารยาทแทนอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นะโเรียก “ฝ่าา ฝ่าา!” พร้อมติดตามไปอย่างรวดเร็ว หลังจากเลี้ยวเข้าทางเดินเล็กภายใต้ร่มเงาของพุ่มดอกไม้ ทั้งสองคนจึงหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เจียงเฉิงเยว่ส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้พลางถอนหายใจ ขณะที่เตรียมจะเรียกศิษย์น้องหกผู้นั้น กลับเห็นเด็กน้อยร่างเล็กมองไปยังทิศทางที่ร่างของหลี่อวิ๋นหังหายไป เขายืนนิ่งอย่างเงียบเชียบ หลังเจียงเฉิงเยว่ก้าวไปข้างหน้ากลับมองเห็นใบหน้านั้นมีน้ำตาคลอ ทำให้ต้องตกตะลึง “เป็อะไรไป?” เขานั่งยองลง มือไม้อ่อนเล็กน้อย “ทำไมถึงร้องไห้เล่า?”
ศิษย์น้องหกได้ยินเช่นนั้นน้ำตากลับไหลลงมาทันที เขากลั้นสะอื้นแล้วบอก “อาจารย์ อาจารย์บอกว่า...หากองค์ชายห้าไม่ยอมให้อภัยเรา...ก็จะไล่พวกเราออกจากสำนัก!”
เจียงเฉิงเยว่ใ “ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอกว่าจะไล่พวกเ้า ทำไมตอนนี้ถึง้า...” ยังไม่ทันพูดจบ เขาเองกลับเข้าใจขึ้นมา ก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้ไล่ ประการแรกคือใช้สถานะของศิษย์สำนักชิงเฟิง ซึ่งทำให้ทุกคนในวิหารหลิงเซียวปกป้องพวกเขาอย่างเคร่งครัดไม่มากก็น้อย ประการที่สอง เมื่อเกิดเื่ขึ้นแล้วขับไล่ศิษย์ที่เกี่ยวข้องอาจดูเหมือนว่าสำนักชิงเฟิงเกรงกลัววิหารหลิงเซียว เวลานี้ ยามเสียงลมเริ่มสงบย่อมคิดบัญชีย้อนหลังได้แล้ว ก่อนหน้านี้นักพรตฉู่ผู้นั้นกล่าวว่าหากพวกเขากลับถึงประตูสำนักจะมีการลงโทษมากมายรออยู่ ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่เพียงการกล่าวอ้างเท่านั้น
หลายคนที่ยุ่งวุ่นวายอยู่ก็หยุดพักเช่นเดียวกัน ต่างหมดอาลัยตายหยาก คร่ำครวญถึง์ ศิษย์น้องหกของสำนักชิงเฟิงยิ่งพูดกลับยิ่งเศร้ามากขึ้น เขาถือขวดยาขนาดเล็กไว้พลางใช้มืออีกข้างเช็ดน้ำตาไม่หยุด ร้องไห้พร้อมกล่าวต่อ “หากถูกไล่ออกจากสำนัก...พวกเราก็ไม่มีที่ไปแล้ว!!!”
เจียงเฉิงเยว่ยังคงตกตะลึง “เป็ไปได้อย่างไร?”
ศิษย์พี่ใหญ่ที่นั่งบนชั้นไม้กำลังขัดเสากล่าวเสริม “ฝ่าาอาจไม่ทราบ...พวกเราส่วนใหญ่นั้น เพราะฐานะทางบ้านยากจนเกินกว่าจะเลี้ยงดู จึงถูกพ่อแม่ทอดทิ้งไว้ในสำนักชิงเฟิง สำนักชิงเฟิงคือที่พักพิงของพวกเรา หากถูกไล่ออกจากสำนัก...” เมื่อเขาพูดจบ ฉับพลันศิษย์น้องหกก็เปลี่ยนจากเช็ดน้ำตาด้วยความน้อยอกน้อยใจเป็ร้องไห้เสียงดัง น้ำตาไหลอาบหน้า แม้แต่ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่อยู่ด้านหลังยังเช็ดน้ำตาแ่เบา
เจียงเฉิงเยว่ลุกลี้ลุกลนในทันที
บางครั้งที่ศิษย์วิหารหลิงเซียวผ่านมาก็รู้สึกใ จากนั้นหยุดฝีเท้าว่าจะไปหรือไม่ไปดี บ้างก็มาจองที่เพื่อรอดู
------------------------
[1] ตามลมตามน้ำ เป็สำนวน หมายถึง ทำไปตามโชควาสนา
[2] เตะแผ่นเหล็ก หมายถึง ถูกปฏิเสธจนต้องพบเจอกับความพ่ายแพ้
