อวิ๋นซีและจวินเหยียนพาสาวใช้สองคนมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านล่าง ซึ่งเมื่อเทียบกับหมู่บ้านบนแล้ว หมู่บ้านล่างนั้นครึกครื้นกว่ามาก คนก็มาก และแม้ว่าพวกอวิ๋นซีจะพยายามเลือกอาภรณ์ที่ค่อนข้างธรรมดา ไม่หรูหรา แต่ในสายตาของชาวบ้านทั่วไปก็ยังเห็นว่าพวกเขาดูโดดเด่นมากอยู่ดี
ทางด้านเพ่ยเอ๋อร์ ตอนนี้ได้ล่วงหน้าไปสืบหาบ้านของเอ้อนี ทว่า สายตาของคนเ่าั้กลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังขณะมองนาง ทั้งยังไม่คิดตอบคำถามแม้แต่ครึ่งคำ
เมื่อเพ่ยเอ๋อร์เห็นสถานการณ์เป็เช่นนั้นก็รีบพูดขึ้น “พี่สาว เมื่อครู่นี้เอ้อนีเพิ่งไปเล่นกับคุณหนูข้าที่เรือน แต่จู่ๆ ต้านีเอ๋อร์ก็เร่งร้อนไปตามเอ้อนีกลับบ้าน ทั้งยังบอกกล่าวว่ามารดาตนคลอดยาก เผอิญฮูหยินของข้าเปิดโรงยา อีกทั้งนางยังเคยร่ำเรียนวิชาแพทย์มาแต่เด็ก จึงอาจเรียกได้ว่าวิชาแพทย์ของนางล้ำเลิศมาก เราแค่อยากจะมาดูมารดาของเอ้อนีก็เท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะพอช่วยอะไรได้บ้าง”
สตรีคนนั้นฟังไปพลางสังเกตรอบกายคนแปลกหน้าไปพลาง จึงได้เห็นว่าในมือของอีกฝ่ายมีกล่องขนาดใหญ่ กล่องเช่นนี้ตัวนางเองก็เคยเห็นมาก่อน มันคลับคล้ายกับกล่องที่บรรดาหมอจากโรงยานำติดตัวไปตรวจโรค เพียงแต่ใบที่สาวน้อยผู้นี้ถืออยู่นั้นงดงามกว่าอยู่สักหน่อย
นางขบคิดสักครู่ถึงได้ชี้ทางให้พวกเขา “อยู่ด้านหน้านี้เอง ไม่ไกลนักหรอก ข้าจะพาพวกเ้าไปเอง”
ระหว่างทางที่เดินไป สตรีผู้นี้ได้บอกแก่พวกเขาว่า ตัวนางมีนามว่าโจวเหนียงจื่อ สามีตายไปนานแล้ว จึงต้องใช้ชีวิตอยู่โดยเลี้ยงลูกชายอีกสองคนไปด้วย อีกทั้ง นางยังเป็เพื่อนบ้านของเอ้อนี นอกจากนี้สถานการณ์ในบ้านของเอ้อนีก็ไม่ค่อยจะดีนัก เมื่อแปดเดือนก่อนพ่อของเด็กน้อยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดจึงได้พลัดตกลงมาจากเขาจนขาหัก ไม่สามารถกลับมาเดินได้อีก
พวกอวิ๋นซีมาถึงบ้านของเอ้อนีอย่างรวดเร็ว สถานที่ที่ถูกเรียกว่าบ้านนั้นก็เป็แค่บ้านฟางที่ใช้แค่ไม้และหญ้ามาสร้างเป็โครงสุมๆ ไว้ อวิ๋นซีที่เคยผ่านชีวิตมาถึงสามชาติ แต่ไม่เคยมีชาติไหนที่ได้เห็นคนอาศัยอยู่ในบ้านเช่นนี้มาก่อน จึงอดกังวลไม่ได้ว่า หากลมพัดฝนตกขึ้นมา เอ้อนีและครอบครัวจะอยู่กันอย่างไร?
ยามนี้มีหลายคนรุมล้อมอยู่รอบบ้านของเอ้อนี แต่เมื่อเห็นโจวเหนียงจื่อนำเหล่าคนในอาภรณ์สีสันสดใสดูโดดเด่นเดินเข้ามาต่างก็พากันอดสงสัยไม่ได้ว่า ผู้มาเยือนนี้เป็ผู้ใด มีฐานะอะไร ขณะเดียวกันในห้องที่ถูกสร้างขึ้นอย่างหยาบๆ นั้นก็มีเสียงกรีดร้องอันน่าอนาถของสตรีผู้หนึ่งแผดออกมา คนมากมายเสมองไปทางอวิ๋นซี จากนั้นก็พูดคุยกันว่า คนในห้องนั้นคงจะทนต่อไปได้อีกไม่นาน
เอ้อนียืนอยู่ด้านนอกมองเห็นเพ่ยเอ๋อร์กำลังเร่งร้อนเดินเข้ามา เด็กน้อยก็ให้เคลือบแคลงเล็กน้อย “พี่เพ่ยเอ๋อร์ ฮูหยิน พวกท่านมาได้อย่างไรเ้าคะ” สำหรับกลุ่มคนที่จริงใจต่อนางเหล่านี้ ในใจของเอ้อนีมีความซาบซึ้งอยู่หลายส่วน
อวิ๋นซีเห็นคนมากมายเฝ้าอยู่ที่นี่ก็อดเลิกคิ้วไม่ได้ เหตุใดจางเจียวานถึงได้ประหลาดเช่นนี้ ก็แค่สตรีคลอดบุตรก็เท่านั้น เหตุใดจึงต้องมีคนเฝ้าอยู่ด้านนอกมากมายเพียงนี้?
“เอ้อนี ให้พวกข้าเข้าไปด้านในเถิด” อวิ๋นซีไม่แม้แต่จะมองกลุ่มคนที่ยืนขวางทางก็พูดขึ้นมาเรียบๆ
เอ้อนีอึ้งงันไป เพ่ยเอ๋อร์จึงเป็ฝ่ายรีบอธิบาย “ฮูหยินของเราเป็หมอ เ้ายังจะไม่รีบพานางเข้าไปด้านในอีก”
เมื่อได้ยินคำของเพ่ยเอ๋อร์ ต้านีเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างก็รีบพูดขึ้น “ให้ข้าเป็คนพาท่านเข้าไปเถิดเ้าค่ะ” หมอ ถ้ามีหมออยู่ที่นี่ แม่และน้องชายของนางก็จะไม่เป็อะไรแล้วใช่หรือไม่
อวิ๋นซีเดินเข้าไปในห้องที่มืดมัว ก่อนจะมองเห็นสตรีที่นอนร้องครวญครางด้วยความทรมานอยู่บนเตียง ขณะนั้นหมอตำแยที่อยู่ด้านข้างก็เร่งรัดไม่หยุดให้มารดาของเอ้อนีออกแรงเบ่งอีกหน่อย “ภรรยาจางอู่ หากเ้ายังไม่ออกแรงอีก เ้าและลูกของเ้าล้วนต้องมีอันตรายถึงชีวิต...เหตุใดเด็กคนนี้ถึงได้ซุกซนเพียงนี้ ก้นไปอยู่ด้านล่างเสียได้”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็รีบรุดเข้าไปด้านหน้าพร้อมๆ กับผลักหมอตำแยให้ออกไปจากทาง จากนั้นก็ลูบบริเวณท้องของภรรยาจางอู่แล้วจึงพูดขึ้น “ตำแหน่งครรภ์ไม่ปกติ ไม่ทันแล้ว”
หมอตำแยคนนั้นเห็นอวิ๋นซีผลักตัวเองออก เดิมคิดจะะโด่าอย่างเกรี้ยวกราด แต่สุดท้ายกลับถูกสายตาเ็าของอวิ๋นซีสาดกลับมาทีหนึ่ง “ปิดปากเสียๆ ของเ้าซะ และรีบไสหัวออกไป”
เมื่อหมอตำแยเห็นเช่นนั้นก็ยังคิดจะโต้ตอบ ทว่ากลับถูกเพ่ยเอ๋อร์ลากออกไปด้านนอกเสียก่อน
ชั่วขณะนั้น ในห้องนี้ก็เหลือเพียงอวิ๋นซี เพ่ยเอ๋อร์ และต้านีเอ๋อร์ที่ตามเข้ามาด้วย ต้านีเอ๋อร์เห็นท่าทีเช่นนี้ของอวิ๋นซีก็ไม่รอช้า รีบถามออกไปประโยคหนึ่งด้วยความหวาดกลัว “ฮูหยิน แม่ข้าจะไม่เป็ไรใช่ไหมเ้าคะ”
อวิ๋นซีมองไปยังต้านีเอ๋อร์ ดวงตาสงบนิ่งประสานเข้ากับดวงตาสดใสบริสุทธิ์ นางยิ้ม “วางใจเถิด มีข้าอยู่ นางย่อมต้องไม่เป็อะไร ส่วนเ้าก็ออกไปก่อนเถอะ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะช่วยทำให้มารดาเ้าคลอดลูกออกมาได้อย่างราบรื่นแน่นอน”
ต้านีเอ๋อร์มีท่าทีดื้อดึง นางส่ายหน้า “ไม่ ข้าอยากจะดูอยู่ที่นี่ ข้ารับปากว่าจะไม่รบกวนท่านเ้าค่ะฮูหยิน”
อวิ๋นซีเห็นท่าทางเด็กน้อยเป็เช่นนี้ ในใจก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา เพียงแต่ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะสามารถผ่านด่านนี้ของนางไปได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ครานี้นางก็มิได้คัดค้านหากอีกฝ่ายอยากจะอยู่ที่นี่จริงๆ หลังจากนั้นจึงสั่งให้เพ่ยเอ๋อร์รีบนำของในกล่องออกมา
เพ่ยเอ๋อร์เห็นนางดึงมีดออกมาหลายเล่มก็อดถามไม่ได้ “ฮูหยิน ท่านจะนำมีดเหล่านี้ออกมาทำอันใดหรือเ้าคะ? ”
“เปิดท้องผ่าคลอด”
อวิ๋นซีตอบกลับไปแค่สี่คำ จากนั้นก็มองไปยังภรรยาจางอู่ที่เหนื่อยล้าจนไม่มีแรงร้อง ด้วยท่าทางนั้นราวกับกำลังจะบอกว่ายอมแพ้ต่อโชคชะตาแล้ว อวิ๋นซีได้แต่ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “ภรรยาจางอู่ ข้าเป็หมอ เ้าต้องเชื่อใจข้า ข้าสามารถทำให้เ้าและลูกปลอดภัยได้ ดังนั้น ในยามนี้เ้าจะยอมแพ้ไม่ได้โดยเด็ดขาด คิดถึงต้านีเอ๋อร์และเอ้อนี คิดถึงสามีคนนั้นที่ยัง้าคนดูแลอยู่”
แรงใจของผู้ป่วยนั้นสำคัญมาก หากอีกฝ่ายมีแต่ใจที่คิดจะตายอยู่ท่าเดียว ต่อให้นางจะมีวิชาแพทย์ล้ำเลิศก็ไม่อาจช่วยชีวิตคนที่ไม่มีเจตจำนงจะมีชีวิตอยู่ต่อได้
เมื่อภรรยาจางอู่ได้ยินคำของนาง ดวงตาหม่นมัวพลันส่องสว่าง “ท่านมีวิธีช่วยข้าจริงหรือ? ”
“วางใจได้ ข้ามีแน่” เมื่อพูดจบ นางก็หยิบเม็ดยาในกล่องยาออกมาป้อนให้ภรรยาจางอู่ ก่อนจะใช้เข็มเงินแทงเข้าที่จุดรับความรู้สึก จากนั้นจึงได้เริ่มทำการฆ่าเชื้อบริเวณเนื้อหน้าท้อง
“อีกเดี๋ยวไม่ว่าพวกเ้าทั้งสองจะมองเห็นสิ่งใดก็อย่าได้ใ และไม่ต้องะโออกไป รู้หรือไม่? ” อวิ๋นซีมองคนทั้งสอง พูดเรียบๆ
เมื่อได้รับคำตอบรับจากทั้งสองแล้ว นางจึงยกมีดผ่าตัดในมือขึ้น และเริ่มทำการผ่าตัดเปิดหน้าท้องเพื่อคลอดบุตรให้ภรรยาจางอู่ มีดผ่าตัดเล่มนี้นางได้สั่งให้คนของจวินเหยียนไปทำมาเมื่อครั้งที่พักอยู่ในหมู่บ้านสกุลโจว มิคาดเพียงวาดภาพขึ้นมาภาพหนึ่ง คนที่จวินเหยียนคัดสรรมาให้จะสามารถทำมีดผ่าตัดนี้ออกมาได้เหมือนกับมีดผ่าตัดในยุคปัจจุบัน
หลังจากที่ได้มีดผ่าตัดมาแล้ว ก่อนหน้านี้นางยังแอบฝึกใช้มาบ้าง ทว่าภรรยาจางอู่ผู้นี้นับเป็คนไข้คนแรกที่นางจะทำการผ่าตัดให้นับแต่ที่ได้ย้อนเวลามาอยู่ในยุคโบราณ หากเป็ในชาติก่อนๆ การผ่าคลอดสำหรับนางนั้นถือเป็แค่การผ่าตัดเล็ก ทว่าในยุคสมัยเช่นนี้ นางทำได้เพียงต้องตั้งใจและระมัดระวังอย่างที่สุด
เพ่ยเอ๋อร์และต้านีเอ๋อร์ที่อยู่ในห้องถึงกับเบิกตาโต ขณะนั้นต้านีเอ๋อร์คิดจะอ้าปากร้องะโ ฮูหยินคิดจะเปิดหน้าท้องของมารดาตนได้อย่างไร หากทำเช่นนั้น มารดามีแต่ต้องตายสถานเดียว
เพ่ยเอ๋อร์ที่แคล่วคล่องว่องไวกว่ารีบปิดปากต้านีเอ๋อร์ พูดเสียงเบา “ห้ามส่งเสียง ไม่ว่าฮูหยินข้าจะทำอะไร แน่นอนว่าย่อมต้องมีเหตุผลเสมอ เ้าลืมคำที่นางบอกไว้เมื่อครู่ไปแล้วหรือ? หากเ้าร้องะโออกมา แล้วส่งผลกระทบต่อฮูหยินข้า ไม่แน่ว่านั่นอาจกลายเป็การทำร้ายมารดาเ้า”
ต้านีเอ๋อร์มองเพ่ยเอ๋อร์ จากนั้นก็หันมองไปยังมารดาตน สุดท้ายก็ได้แต่พยักหน้ารับปากว่านางจะไม่ะโออกมา และเป็ตอนนี้เองที่เพ่ยเอ๋อร์ยอมปล่อยมือออกจากปากของอีกฝ่าย ทางด้านต้านีเอ๋อร์ที่หลุดพ้นจากพันธนาการเป็ต้องอุดปากตนไว้อย่างเอาเป็เอาตายด้วยกลัวว่า หากตนไม่ระวังแม้เพียงนิดก็อาจจะพลั้งเผลอร้องะโออกมาได้
เพียงไม่นาน พวกนางทั้งสองก็เห็นอวิ๋นซีอุ้มเด็กคนหนึ่งออกมา ดวงตาของคนทั้งสองเบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง ส่วนต้านีเอ๋อร์ที่เดิมทีทั้งหวาดกลัวและเป็กังวล ในยามนี้ในดวงตาใสกลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจและไม่อยากจะเชื่อ อวิ๋นซีหันมองเด็กน้อยไปทีหนึ่ง ความหวาดกลัวคราแรกที่อยู่ในดวงตาของอีกฝ่ายได้มลายหายไปแล้ว
“เพ่ยเอ๋อร์ มาอุ้มเด็กไป”
เพ่ยเอ๋อร์รีบรับตัวทารกมาอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะนั้นต้านีเอ๋อร์จึงได้เอ่ยถามเสียงเบา “ฮูหยิน มารดาข้าจะเป็อะไรหรือไม่เ้าคะ”
“ไม่หรอก วางใจเถอะ” อวิ๋นซีมองนางไปทีหนึ่ง ในดวงตาแฝงแววยิ้ม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้