คำพูดของเซียวเจวี๋ยไม่ได้ทำให้ชิงอีหวาดกลัว ต่างจากเถาเซียงและคนอื่นๆ ที่กลัวจนสีหน้าถอดสี
ชิงอีขมวดคิ้ว “ไม่มีมีด”
“มีกริชซ่อนอยู่ในรองเท้าข้า”
ชิงอีััรองเท้าเขา และพบว่ามีกริซอยู่ข้างในจริงๆ ฮึ ภิกษุเ่าั้ประมาทเลินเล่อจริงๆ ที่ไม่เจอมัน
ชิงอีสูดลมหายใจเข้าเบาๆ เมื่อดึงกริชออกจากฝักที่ใบมีดบางเฉียบประหนึ่งปีกจักจั่น จนเกิดเสียงชิ้งเบาๆ
ช่างเป็อาวุธที่แหลมคมเสียจริง!
อย่างไรก็ดี หากเอากริชนี้มาสับมือ มันก็ออกจะสั้นไปเสียหน่อย ถ้าเพียงแค่กรีดมือก็พอกล้อมแกล้มไปได้
“ให้ตัดแน่หรือ?” ชิงอีย้ำถามว่าแน่ใจ?
“องค์หญิงไม่กล้าหรือ?”
เซียวเจวี๋ยเตรียมจะหยิบกริชโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย
ช่างเป็คนที่โเี้จริงๆ!
ชิงอีลุกขึ้นยืนและปรายตามองเขาอย่างเหยียดหยาม “มันก็แค่พิษหนู บอบบางเสียจริง”
พูดจบนางกลับหลังหันแล้วสืบเท้าไปหาเ้าแมวอ้วน โดยในมือถือกริซไว้
เ้าแมวอ้วนขนตั้งชันทั้งตัว ท่านไม่ตัดมือหนุ่มน้อยนั่น แล้วเหตุใดถึงถือมีดมาหาข้าล่ะ?!
เมื่อกดมีดลงไปเชือกบนตัวของเ้าแมวอ้วนขาด ชิงอีคว้าคอของมัน แล้วพามันไปตรงหน้าเซียวเจวี๋ย
“ยื่นมือมา”
เซียวเจวี๋ยมองนางด้วยความสงสัย
“ถ้าอยากตายก็อืดอาดยืดยาดต่อไปแล้วกัน!”
นางชักสีหน้า ยื่นเ้าแมวอ้วนไปตรงหน้าเซียวเจวี๋ย ราวกับว่ามันเป็ยาล้างพิษครอบจักรวาลอย่างไรอย่างนั้น
เกิดรอยยิ้มในดวงตาเซียวเจวี๋ย “ได้สิ” เขายื่นแขนออกมา
ได้สิ บ้าอะไรกันเล่า!
เ้าแมวที่เพิ่งได้รับอิสรภาพ แทบอยากจะถูกมัดเป็บ๊ะจ่างอีกครั้ง นางมารร้ายเป็อะไรมากหรือไม่ ถึงได้โยนงานสกปรกมาให้เขาทำตลอด!
ถึงจะไม่พอใจแค่ไหนก็ไม่กล้าขัดใจอยู่ดี เ้าแมวอ้วนแลบลิ้นออกไปด้วยความอัปยศอดสู
เซียวเจวี๋ยขมวดคิ้ว โดยที่ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้ม แต่ดวงตาของเขาก็ไม่อาจซ่อนเร้นความรังเกียจเอาไว้ได้
แม้เขาจะไม่ได้เกลียดสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่มีฟันแหลมคมและมีขนดกเช่นนี้ ทว่า ตอนนี้เ้าก้อนกลมตรงหน้าโกรธจนขนฟูตั้ง โดยเฉพาะดวงตาสีเขียวคู่นั้น ช่างมีแววตาเหมือนเ้านายของมันทุกประการ
ชิงอีที่นั่งเอามือเท้าสะเอวอยู่ข้างๆ ก็ยกกริชขึ้นมาเล่น พอหายโกรธแล้ว นางจึงสงบลงเป็ที่เรียบร้อย
ตอนนี้เขายังตายไม่ได้
ไม่เพียงแต่ยังตายไม่ได้ เขาห้ามพิการด้วยเหมือนกัน หากแขนของเขาถูกตัดไป ไม่เพียงแต่สูญเสียกำลังรบ แต่จะกลายเป็ภาระด้วย แถมนางต้องเจียดเวลามาปกป้องเขาอีก!
ชิงอีรู้สึกว่าควรจะล้มเลิกความคิดนี้ได้แล้ว
ฮึ่ม นางคงทำได้แค่เอาเปรียบคนผู้นี้ต่อไป ตอนนี้ปล่อยให้เ้าแมวอ้วนดูดพลังชั่วร้ายออกจากตัวเขาก่อนก็แล้วกัน
หลังจากนี้ ถ้าเขาจะไปติดโรคที่รักษาไม่หาย ถือเป็โชคชะตาของเขาแล้ว!
แม้ว่าเ้าแมวอ้วนจะถูกกลืนกินพลังไปกว่าครึ่ง กระนั้น การจัดการกับพลังชั่วร้ายก็ถือว่าเป็เื่เล็กน้อย
ผ่านไปไม่นาน รอยสีดำม่วงบนแขนของเซียวเจวี๋ยส่วนใหญ่ก็จางลงจนกลายเป็ปกติ ทว่า บริเวณที่หนูกัดแหว่งไปยังคงมีเืออก
เขาใช้ผ้าพันแผลไว้ลวกๆ และอดหัวเราะไม่ได้ เมื่อมองเ้าแมวอ้วนที่ซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้อง พร้อมกับแลบลิ้นออกมา
“ขอบคุณ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดชิงอีก็เงยหน้าขึ้น ในดวงตาของเขาทั้งจริงใจทั้งลึกล้ำจนยากจะคาดเดา ถึงอย่างนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็คำพูดจากใจ
“ขอบคุณอะไร?”
“ขอบคุณที่ช่วยรักษาแขนของข้า แล้วก็...ไม่ทิ้งข้าไว้บนูเาด้านหลัง”
ฮ่าๆๆ คิดมากเกินไปแล้ว
ถ้าไม่ใช่ว่าเขากลืนพลังนางไป นางก็ไม่สนความเป็ความตายของเขาหรอก
ไม่สิ!
ชิงอีหรี่ตาลงกะทันหัน “นี่ท่านแกล้งเป็ลมจริงๆ สินะ!”
“แกล้งเป็ลมอะไรกัน?” เซียวเจวี๋ยมองนางอย่างงุนงง มุมปากของเขาเหยียดยิ้ม “จริงๆ แล้วข้ายังแปลกใจอยู่เลยว่าเหตุใดข้าถึงได้สลบไปเช่นนั้น จำได้ว่าตอนนั้นเหมือนจะมีกลิ่นหอมจางๆ ...”
ชิงอีไม่แสดงสีหน้า และแสร้งทำเป็ไม่ได้ยิน ส่วนเซียวเจวี๋ยยิ้มอย่างมีเลศนัย ไม่คิดที่จะซักไซ้ไล่ต้อนอะไรต่อ แล้วหันมานั่งปรับลมปราณของตัวเองแทน
ชิงอีเบะปาก แล้วหันไปมองเถาเซียงและคนอื่นๆ ที่กำลังจ้องนางด้วยความรู้สึกลึกซึ้งผ่านรั้วเหล็ก
“เล่ามาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
เถาเซียงและต้านเสวี่ยรีบอธิบายสิ่งที่เกิดอะไรขึ้น หลังจากที่พวกชิงอีออกไป
ดูท่าว่ายามนี้ วัดตงหวาจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเ้าคนชั่วนั่น แถมเ้าอาวาสเจี้ยชือกับภิกษุรูปอื่นๆ ปฏิบัติกับพวกเขาประหนึ่งเป็ปีศาจร้าย
“ช่างโง่เง่าจริงๆ ...” ชิงอียกยิ้ม
นี่เป็หนึ่งในเหตุผลที่นางไม่ชอบพวกภิกษุอะไรนั่น!
“หลิงเฟิงที่พาคนผ่าวงล้อมไป ไหนจะชิวอวี่กับฉู่สืออีก ไม่รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของพวกเขาเป็อย่างไรบ้าง...”
ั์ตาคู่งามของชิงอีไหววูบ แต่ก็ไม่เอ่ยอะไร ก่อนจะหันไปมองทางด้านขวาที่ว่างเปล่าแทน
ตรงมุมนั้นมีโก่วต้าน และผีทั้งสี่ตัวยืนอยู่
“พี่สาววางใจได้เลย พวกผีน้อยบอกข้าว่าพี่หลิงเฟิงลงเขาไปหากำลังเสริม ชิวอวี่กับพี่ฉู่สือก็อยู่กับพวกเขา”
“เช่นนั้นยามนี้สิ่งเดียวที่ต้องจัดการก็คือเ้าหนูตัวใหญ่นั่น”
“หนูอะไรหรือเพคะ?” เถาเซียงและคนอื่นๆ มองนางด้วยความสงสัย องค์หญิงตรัสอะไรที่คนอื่นไม่เข้าใจอีกแล้ว
ชิงอีคิดที่จะอธิบายแล้วโยนกริชในมือไปให้ “ก่อนอื่นปลดเชือกบนตัวก่อน ประเดี๋ยวได้โอกาสแล้วค่อยลงมือ”
“เพคะ”
นางหันหน้าออกไปมองนอกกรงขัง คุกแห่งนี้เป็ทรงกลม โดยทางออกอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนาง ทางด้านซ้ายมือเป็ห้องขังที่ปิดล้อมด้วยรั้วเหล็กทั้งหมด ส่วนทางด้านขวามือห้องขังมีอีกสี่ห้อง ซึ่งมีผู้คนมากมายอัดแน่น และถูกล็อกอย่างหนาแน่นอยู่ภายใน
ไม่สิ ควรจะพูดว่ามันเป็แค่ซากศพที่มีชีวิตต่างหาก
ซานหุนซีพั่วในกายถูกกัดเซาะ จนเหลือเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ คนเหล่านี้ดูเผินๆ เหมือนมีชีวิต แต่จริงๆ พวกเขา ‘ตายไปแล้ว’
แม้จะยังกิน ดื่ม และนอนได้ ทว่า ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากซากศพ
ชิงอีไม่คิดว่าคนชั่วผู้นั้นจะเห็นอกเห็นใจที่จะเก็บกอง ‘ขยะ’ ไร้ค่าเช่นนี้ไว้ เพื่อเลี้ยงดูให้ข้าวให้น้ำ
“พวก...พวกท่านคือองค์หญิงกับเซ่อเจิ้งอ๋องงั้นหรือ?” เสียงสั่นเครือดังมาจากมุมห้องขังทางด้านขวา
ห้องขังในคุกใต้ดินแห่งนี้ล้วนถูกกั้นด้วยรั้วเหล็ก พวกเขาจึงเห็นกันและกันได้ แม้สามเณรน้อยที่พูดกับพวกเขาจะตัวสั่นเทา แต่ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน
นึกไม่ถึงว่าจะมีปลาที่เล็ดลอดจากอวนมาได้ด้วย?
“เหตุใดเณรน้อยหัวล้านถึงถูกขังที่นี่ได้ล่ะ?” ชิงอีจ้องเขาด้วยรอยยิ้ม
สามเณรตัวน้อยรำคาญนิดหน่อยเมื่อได้ยินคำว่าหัวล้าน แต่ด้วยสถานะที่สูงส่งของอีกฝ่าย จึงทำได้เพียงเบะปาก แล้วตอบว่า “ข้าถูกศิษย์น้องคนหนึ่งของเขาจับมาขังไว้ที่นี่”
“ซานหุนซีพั่วของเ้าก็ยังอยู่ เหตุใดพวกเขาถึงขังเ้าไว้ที่นี่ล่ะ?” ชิงอีเมื่อยเกินกว่าจะยืนพูดเลยคิดที่จะนั่งลง ทว่า พื้นก็เต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ นางจึงย่นหน้าด้วยความไม่พอใจ
เมื่อสามเณรตัวน้อยได้ยินเช่นนั้นตัวก็สั่นเทิ้มขึ้นมา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความกลัวจนปากสั่น
“องค์หญิง ท่านกับท่านอ๋องได้โปรดช่วยวัดตงหวาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ช่วย?
ชิงอีพูดกับเขาว่า “บอกมาสิ ว่าเ้ารู้อะไรมาบ้าง?”
สามเณรน้อยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เหลือบมองไปทางประตู ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ อย่างหวาดๆ
“พูดมาเถอะ ที่นี่ไม่มีคนของเขา...แล้วก็ไม่มีผีของเขาเช่นกัน”
สามเณรน้อยมองนางด้วยความตกตะลึง องค์หญิงทรงหยิ่งยโสจนยากจะเข้าถึง ทว่า เมื่อสบเข้ากับดวงเนตรกลับทำให้จิตใจสงบลง
นางดูแข็งแกร่งคล้ายว่าสิ่งใดในใต้หล้าก็ไม่อาจทำอันตรายนางได้
สามเณรน้อยกัดฟันพูดว่า “เ้าอาวาสและศิษย์คนอื่นๆ ล้วนแล้วแต่ถูกหลอกกันหมด พวกเขาเชื่อฟังท่านปรมาจารย์จนกลายเป็ปิศาจที่แท้จริง!”