ูเาแห่งคุกอนธการ คือูเาที่ไม่เคยมีใครสามารถพิชิตจุดสูงสุดได้!
จนถึงตอนนี้ ทุกคนล้วนยอมแพ้ต่อการขึ้นูเาลูกนี้
ดังนั้นเมื่อมีคนบอกว่าสามารถไปถึงขั้นที่เก้าสิบเจ็ดได้ตอนที่มีพลังวรยุทธ์อยู่ในระดับผู้ฝึกตนระดับที่เก้า ทุกคนจึงหัวเราะออกมาหลังจากที่อึ้งไปในตอนแรก เพราะคิดว่าคนผู้นั้นพูดจาไร้สาระ
พวกเขาหัวเราะราวกับว่าเพิ่งได้ยินเื่ที่ตลกที่สุดเท่าที่เคยมีมา
“ตลกมากหรือไม่”
“เขาขึ้นไปถึงขั้นที่เก้าสิบห้าแล้ว”
เสียงที่ไพเราะสองเสียงดังขึ้น แม้ว่ามันจะไม่ได้ดังมาก แต่กลับลอยเข้าหูของทุกคน
แน่นอนว่าผู้ที่พูดคือผีเสื้อแห่งรักและเย่เิหลง
ทั้งผีเสื้อแห่งรักและเย่เิหลงไม่เหมือนกับหลัวเลี่ยที่ไม่สนใจสิ่งใด พวกนางไม่ยอมให้ใครมาว่าร้าย และยิ่งเมื่อคนที่โดนว่าร้ายเป็ผู้ชายที่พวกนางให้ความสนใจเป็พิเศษอยู่ พวกนางก็ยิ่งตอบโต้อย่างไร้ความปรานี
“คนที่ไม่สามารถขึ้นไปถึงขั้นที่เก้าสิบได้กลับกล้าหัวเราะเยาะคนที่กำลังก้าวขึ้นไปได้”
“ในสายตาของคนที่มีความคิดน่ารังเกียจ ก็มักจะคิดว่าวีรบุรุษเห็นแก่ตัวและโง่เขลา”
“วีรบุรุษ? ใช่แล้ว เขาเป็วีรบุรุษ!”
“เขาเป็ชายผู้ไม่เคยคิดถือโทษโกรธคนมากมายที่เขาเคยช่วยเหลือไว้”
ในขณะที่ผีเสื้อแห่งรักและเย่เิหลงกำลังคุยกัน พวกนางก้าวขึ้นไปถึงขั้นที่แปดสิบเจ็ดแล้ว นอกจากนี้พวกนางยังอยู่หน้าอัจฉริยะที่ปิดบังตัวตนและไม่กล้าแสดงร่างที่แท้จริงพวกนั้นอีกด้วย
แท้จริงแล้วพวกนางทั้งสองคนก็ไม่คาดคิดว่าพวกนางจะมาถึงขั้นนี้ได้
ส่วนอัจฉริยะที่ปิดบังตัวตนทั้งหลายนั้น แม้ว่าพวกเขาจะถูกหมอกบดบังใบหน้าอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่อาจปกปิดการหายใจแรง ซึ่งเป็การแสดงออกว่าพวกเขาไม่พอใจไว้ได้
ผู้คนมากมายที่อยู่ด้านล่างูเาก็รู้สึกละอายใจเช่นกัน
ทุกคนมองขึ้นไปยังหลัวเลี่ยซึ่งกำลังก้าวขึ้นยอดเขาที่อยู่ไกลสุดลูกหูลูกตาด้วยความชื่นชมจากก้นบึ้งของหัวใจ
ตอนนี้หลัวเลี่ยได้ก้าวขึ้นไปบนขั้นที่เก้าสิบเจ็ดอีกครั้ง
เมื่อเขาได้กลับมาสู่ระดับความสูงที่เขาแทบจะทนไม่ไหวในตอนที่เขามีพลังวรยุทธ์อยู่จุดสูงสุดของผู้ฝึกตนระดับที่เก้า ในที่สุดหัวใจของหลัวเลี่ยก็คล้ายกับได้ปล่อยวางเสียที เขาไม่สนใจสิ่งเร้าภายนอก และดูเหมือนว่าเขาจะกลมกลืนกับดินแดนแห่งนี้ไปแล้ว
ความแตกต่างระหว่างขั้นที่เก้าสิบเจ็ดและขั้นที่แปดสิบนั้น แม้ว่าจะเป็เพียงสิบขั้น แต่เมื่ออัจฉริยะที่ยืนอยู่บนขั้นที่แปดสิบมองขึ้นไปยังจุดที่หลัวเลี่ยยืนอยู่ สิ่งที่พวกเขาเห็นก็เหมือนกับว่าหลัวเลี่ยกำลังขึ้นไปบนฟ้า มีแสงเปล่งออกมาจากร่างกายของหลัวเลี่ย ราวกับว่าพลังของเขามีมากมายจนถึงขนาดลอยอยู่บนท้องฟ้า
ตึก!
หลัวเลี่ยก้าวเดินอีกครั้ง และขึ้นไปบนขั้นที่เก้าสิบแปด
ทันทีที่หลัวเลี่ยก้าวขึ้นมา ูเาแห่งคุกอนธการก็สั่นะเื พื้นที่มิติภายในรัศมีหลายร้อยลี้บิดเบี้ยวเล็กน้อย ขั้นบันไดด้านล่างเกิดการบิดเบี้ยว หลัวเลี่ยรู้สึกราวกับว่าบันไดทุกขั้นต่างก็อยู่ในระดับเดียวกับขั้นที่เก้าสิบแปดที่เขายืนอยู่ เขามองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเองได้อย่างชัดเจน และเห็นแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงบนบันไดหยกขาวที่เขากำลังยืนอยู่
หลัวเลี่ยที่ก้าวขึ้นมาถึงแล้วหายใจไม่ออกเล็กน้อย
เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งอีกครั้ง
ซึ่งหมายความว่า อีกสองขั้นที่เหลือคงจะยากกว่าขั้นที่เก้าสิบแปดนี้ราวห้าถึงหกเท่า หรืออาจจะมากถึงสิบเท่า
หลัวเลี่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นอากาศที่หมุนวนอยู่รอบตัวเขา ซึ่งเป็ส่วนหนึ่งที่เขาหายใจเข้าไปก็กลายเป็หมอกสีขาว และเข้าไปในปากของเขา ทำให้ร่างกายของเขาได้รับพลังเพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง
ตึก!
หลัวเลี่ยก้าวขึ้นบันไดไปอีกหนึ่งขั้น
ก้าวนี้ของหลัวเลี่ยเปรียบเสมือนเขากระทืบลงบนูเาแห่งคุกอนธการ
ูเาแห่งคุกอนธการเกิดการสั่นะเือย่างรุนแรง และทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามที่ไร้ที่มาดังขึ้น
มีแม้กระทั่งไอสังหารที่เขาไม่รู้ที่มาพุ่งออกมาจากูเาแห่งคุกอนธการ และความรู้สึกถึงอันตรายนี้ทำให้จิติญญาของคนคนหนึ่งสั่นสะท้าน
ทุกคนรู้ได้ในทันทีว่า เหล่าขุนพลอสูรที่แสนลึกลับกำลังฟื้นตัวเต็มที่ เพื่อเตรียมพร้อมรับหลัวเลี่ยที่กำลังจะขึ้นสู่จุดสูงสุดของยอดเขา
ผู้คนมากมายต่างกลั้นหายใจและเงยหน้าขึ้นมอง
คนที่กล้ามองไปยังขุนพลอสูร อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องมีวรยุทธ์อยู่ในระดับผู้ฝึกตนระดับที่ห้าหรือหก และต้องมีประสาทััที่ไวต่ออันตราย
ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่า่เวลาที่สำคัญที่สุดกำลังจะมาถึง
หลัวเลี่ยเงยหน้าและมองขึ้นไป้า
เขาอยู่บนขั้นที่เก้าสิบเก้า ซึ่งห่างจากยอดเขาแห่งคุกอนธการเพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น แต่บนยอดเขากลับถูกปกคลุมไปด้วยหมอก ซึ่งหมายความว่าหากเขาไม่ก้าวขึ้นไป เขาก็จะไม่มีวันมองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่บนยอดเขา
บันไดขั้นสุดท้าย!
หลัวเลี่ยก้าวเท้าออกไป
ทันทีที่เขายกเท้าขึ้น ก็ราวกับมีแรงกดดันท่วมท้นไหลทะลักเข้ามาหาเขาเหมือนคลื่นน้ำที่กำลังจะเข้ามาบดขยี้หลัวเลี่ย ซึ่งแรงกดดันนี้ทำให้หลัวเลี่ยหายใจไม่ออก
เมื่อถึงเวลานี้หลัวเลี่ยก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมบรรพชนที่มาที่นี่จึงไม่สามารถพิชิตูเาแห่งคุกอนธการแห่งนี้ได้
แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวนี้ทำให้แม้แต่หลัวเลี่ยที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาั์ยังยากที่จะต้านทานได้ เขายกเท้าขึ้น แต่ก็ไม่สามารถก้าวข้ามขั้นขึ้นไปได้ เขาทำได้เพียงกัดฟันและต้านแรงกดดันนี้ด้วยกำลังทั้งหมดของเขา เขาค่อยๆ ขยับเท้าก้าวออกไปทีละนิด จนกระทั่งสามารถเหยียบขั้นที่หนึ่งร้อยได้
ทันทีที่เท้าของหลัวเลี่ยก้าวขึ้นไปถึงขั้นที่หนึ่งร้อย ลมและเมฆที่ลอยอยู่ในอากาศก็เกิดความปั่นป่วน มีเสียงคำรามรุนแรงดังขึ้น และมิติในห้วงอากาศบนูเาแห่งคุกอนธการก็เกิดการบิดเบี้ยวอีกครั้ง
“หู่ว!”
หลัวเลี่ยต้านแรงกดดันและก้าวขึ้นไปบนขั้นที่หนึ่งร้อย ซึ่งเป็จุดสูงสุดของูเาแห่งคุกอนธการ
บูม...
เกิดเสียงดังขึ้น
ูเาแห่งคุกอนธการกลายเป็แท่นบูชาขนาดใหญ่ มันเป็แท่นสูงจากพื้นประมาณหนึ่งร้อยจั้ง และมีผู้คนมากมายยืนอยู่รอบแท่นนี้ ส่วนผู้ที่อยู่บนขั้นบันไดหยกขาวนั้นอยู่รอบนอกแท่นบูชานี้
มีเพียงหลัวเลี่ยเท่านั้นที่ยืนอยู่ใกล้ใจกลางแท่นบูชา
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่วบริเวณ
ทุกคนคาดไม่ถึงว่ายอดเขาสูงเสียดฟ้าจะสามารถกลายเป็แท่นบูชาได้ มันเป็เื่ที่คาดไม่ถึง และมันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ สิ่งนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าูเาแห่งคุกอนธการนี้ช่างไม่ธรรมดาเลย
หลังจากที่ความโกลาหลในตอนแรกสงบลงแล้ว ทุกคนก็สังเกตเห็นว่ามีบุปผางามอาบพิษสามดอกอยู่ตรงกลางแท่นบูชา
กระแสอากาศที่หมุนวนอยู่รอบบุปผางามอาบพิษทั้งสามกระแสรวมกันเป็หนึ่งเดียว จากนั้นบุปผางามอาบพิษก็สร้างปีศาจนักรบขึ้นมาพร้อมกลิ่นหอมอันเข้มข้น
เบื้องหน้าของบุปผางามอาบพิษมีนักรบปีศาจสวมชุดเกราะสีเขียวอมเทาสิบตนยืนอยู่ และในมือของพวกเขาทั้งหมดถือหอกสีเขียวอมเทา
“ผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการ!”
“ยังมีผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการอีกสิบคน!”
“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าจะมีผู้พิทักษ์เยอะขนาดนี้”
เสียงกรีดร้องนี้ดังมาจากเหล่าอัจฉริยะที่ปกปิดตัวตนอยู่
พวกเขาล้วนเป็อัจฉริยะจากกองกำลังที่ทรงอำนาจ จึงทำให้มีความรู้รอบด้านมากกว่าคนทั่วไป
ผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการที่พวกเขาพูดถึงนั้น เป็นักรบที่มีพลังพัฒนาขึ้นมาจากนักรบปีศาจ
กล่าวอย่างง่ายๆ คือ นักรบปีศาจทั่วไปเทียบเท่ากับผู้ฝึกวรยุทธ์ที่มีพลังอยู่ในระดับทั่วไป แต่ผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการนั้นมีพลังเทียบเท่ากับมนุษย์ที่ฝึกฝนเคล็ดฝึกตนทั้งสิบ
พลังของพวกมันในระดับผู้ฝึกตนที่มีการแบ่งระดับอย่างชัดเจน
ซึ่งเมื่อเทียบกับเคล็ดวิชาั์ที่หลัวเลี่ยฝึกฝนอยู่นั้น เคล็ดวิชาั์นับว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งไม่เคยมีใครสามารถฝึกสำเร็จได้ ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดฝึกฝน เพราะถึงมันจะเป็เคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งเพียงใด แต่หากไม่สามารถฝึกฝนจนสำเร็จได้ก็นับว่าเสียเวลาเปล่า
ดังนั้นเคล็ดวิชาที่ทรงพลังรองลงมาจากเคล็ดวิชาั์ก็คือเคล็ดฝึกตนทั้งสิบ ซึ่งสร้างโดยเทพหรือบรรพชน ทั้งนี้หากฝึกฝนจนสำเร็จได้จะทำให้มีพลังวรยุทธ์มากกว่าเคล็ดวิชาอื่นๆ สามถึงห้าเท่า หรือมากกว่านั้น
และเคล็ดวิชาที่ทรงพลังรองลงมากอีกก็คือ เคล็ดวิชาฝึกตนร้อยประการ
และสุดท้ายก็คือเคล็ดวิชาทั่วไป ซึ่งสำหรับคนส่วนใหญ่ หากสามารถฝึกเคล็ดวิชาฝึกตนร้อยประการได้จนถึงระดับที่สิบของระดับผู้ฝึกตน ก็ได้ถือว่าเป็อัจฉริยะที่ไม่ธรรมดาแล้ว
และหากใครสามารถฝึกเคล็ดฝึกตนทั้งสิบสำเร็จ คนคนนั้นย่อมนับว่าเป็อัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ
แม้แต่ในบรรดาอัจฉริยะของกองกำลังที่ทรงพลังมากมาย ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถฝึกฝนเคล็ดฝึกตนทั้งสิบได้สำเร็จ
แต่ผู้พิทักษ์ยอดเขาแห่งคุกอนธการนั้น มีพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกฝนเคล็ดฝึกตนทั้งสิบ และพลังการต่อสู้ของพวกเขาก็ไม่ธรรมดา ที่สำคัญกว่านั้น พลังจากเกราะสีเขียวอมเทาซึ่งแสดงถึงพลังของปีศาจ ก็ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนเคล็ดฝึกตนทั้งสิบทั่วไปอย่างมาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้