“ท่านหมอเร่งมือหน่อย”เสียงเย็นดังขึ้นอย่างกะทันหันภายในห้องอันเงียบสงบ
“ข้าเร่งที่สุดแล้ว เ้าไม่มาทำเองเลยล่ะถ้าจะใจร้อนเช่นนี้”ร่างกายอันแก่ชราของท่านหมอใจนสะดุ้งโหยง ทำเอามือไม้ของชายชราสั่นเทาไปหมด ท่านบรรพบุรุษของข้าหัดมีความอดทนเสียบ้าง
“ข้าทนมามากพอแล้ว วันนี้ข้าต้องจบเื่นี้ให้จงได้!”ปึง!ผู้พูดกำหมัดทุบลงบนโต๊ะข้างกายด้วยความเหลืออด เพราะใส่แรงลงไปไม่น้อยทำให้สิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะลอยขึ้นมาแล้วก็ตกลงไปอย่างกระจัดกระจาย
“ยาของข้า!”หมอชรารีบประคองหม้อต้มยาและเตาใบเล็กเอาไว้ไปให้ลอยขึ้นไปตามแรงทุบของอีกฝ่าย โชคดีที่เขาสายตาว่องไว
“ท่านช่วยเร่งมือหน่อย ข้ายังมีธุระอีกมาก”คนที่สร้างความวุ่นวายอย่างซ่างกวนจือหลินไม่ได้ละอายใจแม้แต่น้อย หญิงสาวเลิกคิ้วอย่างกวนๆพร้อมกับเอ่ยปากเร่งท่านหมอชราไปอีกครา
“เ้าเด็กบ้า!แค่เ้าเอ่ยปากเร่งคิดว่ามันจะเสร็จได้ดังใจนึกเช่นนั้นรึ เก่งนักก็มาทำเองเสียฮึย!”ชายชราตะคอกลับไปด้วยแรงโทสะที่อัดแน่นอยู่เต็มอก
“ถ้าหากข้าทำได้เกรงว่าท่านจะตกงานเอาได้นา เร็วๆหน่อยเดี๋ยวฝ่ายนั้นจะรู้ตัวเสียก่อน”หญิงสาวเอ่ยปากเร่งอีกครั้งด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เห็นได้ชัดว่าเ้าตัวไม่ได้นำเอาแรงโทสะของอีกฝ่ายมาใส่ใจแม้แต่น้อย
“เอ้ารับไป ไปๆ รีบออกไปจากห้องยาของข้า”หมอชราส่งถ้วยยาให้หญิงสาวที่อยู่ในอาภรณ์สีฟ้าสดใส ดูผิวเผินก็งดงามจับตาอยู่หรอกแต่ถ้าได้เห็นการกระทำแต่ละอย่างล้วนไม่ใช้สตรี! เป็สตรีเช่นไรเล่นทำทุกสิ่งที่บุรุษผู้หนึ่งทำได้
“ขอบคุณสำหรับยาเ้าค่ะ ท่านหมอข้าเป็หนี้ท่านแล้ว”หญิงสาวรับถ้วยยามาแล้วย่อกายลงเล็กน้อยเสร็จแล้วก็เดินฮัมเพลงออกไปอย่างอารมณ์ดี
เมื่อเดินออกมาจากเรือนของท่านหมอชราแล้วร่างเพรียวบางของดรุณีแรกแย้ม(เปลือกนอก)ก็ก้าวเดินตรงไปยังเรือนของบิดามารดาทันที ใช้เวลาไม่นานหญิงสาวก็เดินมาถึง สายตาอันเฉียบคมมองเด็กชายทั้งสามที่กำลังยืนรอบางสิ่งอยู่อย่างขยันขันแข็ง หญิงสาวหยักหน้าอย่างพออกพอใจ
“ทหาร ภารกิจที่ได้รับมอบหมายทำสำเร็จหรือไม่”ซ่างกวนจือหลินย่อกายนั่งลงบนส้นเท้าเพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกับพลทหารทั้งสามนาย
“เรียนท่านแม่ทัพ ทุกอย่างอยู่ในการควบคุม เป้าหมายยามนี้กำลังอยู่ในเรือนขอรับ”เป็พลทหารซ่างกวนซีที่ยืดอกตอบคำถามอย่างฉะฉาน ส่วนพลทหารซ่างกวนเยี่ยน และพลทหารหลี่ซื่อหมินต่างก็ผงกหัวปลกๆ เป็ไก้จิกข้าวสารเป็การยืนยันคำพูด
เพื่อให้ภารกิจนี้ดูจริงจังเคร่งขรึมขึ้นมาอีกหลายส่วน ท่านแม่ทัพเช่นนางถึงกับต้องไปหาชุดเกราะสำหรับเพื่อนทหารตัวน้อยทั้งสาม นี่สินะสายลมแห่งการปฏิวัติอย่างแท้จริง
ทุกคนร่วมมือร่วมใจเป็หนึ่งเดียว
“เอาล่ะเพื่อนทหารเอ๋ย เตรียมพร้อม บุก!”ซ่างกวนจือหลินส่งสัญญาณให้น้องชายตัวน้อยทั้งสาม เด็กๆเมื่อได้รับสัญญาณจากพี่ใหญ่ก็ชูดาบไม้ในมือขึ้นสูงโห่ร้องแล้วก็วิ่งซอยขาสั้นเข้าไปในเรือนอย่างพร้อมเพรียง
บุกกกกกก
บิดาของเด็กๆ ที่ไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะชะตาขาดก็วิ่งยิ้มแป้นออกมาเล่นกับเด็กๆเป็การใหญ่ กว่าจะรู้ตัวก็ถูกล้อมเอาไว้ทุกทิศทางเสียแล้ว
“ท่านพ่อลูกมียาบำรุงมาให้ท่าน ดื่มสิเ้าคะ”ซ่างกวนจือหลินแย้มยิ้มอย่างกระหายเื ริมฝีปากแดงก่ำเส้นผมแซมไปด้วยสีเงินราวปีศาจสาวจำแลงกายมา
ท่านดื่มลงไปแต่โดยดีเถิด อย่าให้บุตรสาวต้องใช้กำลัง
“แค่ดื่มลงไปก็ใช้ไดใช่หรือไม่”บิดาของบุตรทั้งหารับถ้วยยามาด้วยมืออันสั่นเทา เขาเป็เพียงบัณฑิตจะไปมีกำลังขัดขืนได้เช่นไร ชายวัยกลางคนได้แต่ส่งสายตาอ้อนวอนไปให้เมียรักของตนที่กำลังยืนมองอยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นว่าเมียรักของตนเองยกผาเช็ดหน้าขึ้นปิดปากคล้ายว่ากำลังกลั้นขำอยู่นั้น ในตอนนั้นเองที่เขารู้ตัวแล้วว่าไม่มีทางให้ถอย
ความฝันที่จะมีบุตรสิบคนคงต้องจบเพียงเท่านี้
ราวกับว่าเด็กสาวที่ยืนคุมเชิงอยู่จะรับรู้ถึงความคิดของผู้เป็บิดา
ท่านยังจะคิดที่จะมีบุตรอีกหรือ?
ข้ามศพข้าไปก่อนเถิด
แล้วเื่ราววุ่นวายก็จบลงอย่างสวยงาม
ท้องฟ้าวันนี้ช่างสดใส ช่างแตกต่างจากสถานที่อีกแห่งหนึ่งอย่างสิ้นเชิง
...
ณ เปี้ยนจิง เมืองหลวงแคว้นต้าซ่ง
ท้องฟ้าวันนี้งดงามแจ่มใส แสงแดดส่องประกาย ทว่ากับไม่ได้นำพาความสุขหลังวันปีใหม่มาสักเสี้ยวหนึ่ง สถานการณ์ยามนี้คล้ายกับว่ามีแรงกดดันที่มองไม่เห็นกดทับทุกคนเอาไว้จนหายใจไม่ทั่วท้องกันเลยทีเดียว สำหรับชาวบ้านข่าวที่แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงในยามนี้คงหนี้ไม่พ้นเื่การสิ้นพระชนของจิ้งเหอจ่างกงจู่ คราแรกที่ได้ฟังพวกเขาล้วนไม่เชื่อ แต่เมื่อได้รับการยืนยันอย่างเป็ทางการแล้วพวกเขาทุกคนล้วนตกตะลึงจนทำสิ่งใดไม่ถูกอยู่เป็นาน
ด้านนอกว่าบรรยากาศเต็มไปด้วยความกดดันปะปนไปด้วยความโศกเศร้า
ทว่าในท้องพระโรงในยามนี้กลับเงียบสงัด หากเข็มเล็มเล็กๆ ร่วงหล่นลงบนพื้นคงจะดังสะท้อนไปทั่ว ไม่ใช่ว่าที่แห่งนี้ไร้ซึ่งผู้คน เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ กั๋วกง โหว อ๋อง แม้กระทั่งหวงไท่จื่อ ทุกคนต่างหมอบกราบอยู่บนพื้น ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงแม้เพียงครึ่งคำ นับั้แ่สารด่วนแปดร้อยลี้มาถึงเมื่อหนึ่งชั่วยามที่ฝ่าาทรงทอดพระเนตร พระองค์ไม่ได้ตรัสสิ่งใดทำเพียงประทับบนบัลลังก์ด้วยท่าทางนิ่งสนิท ไร้วาจาเอื้อนเอ่ยมีเพียงสายตาที่เต็มไปด้วยไอสังหารกวาดมองขุนนางทั้งหลายอยู่ในท้องพระโรงแห่งนี้
ปกติฝ่าาทรงมีพระเมตตาน้อยครั้งที่พระองค์จะแสดงอาการเช่นนี้ นั่นจึงทำให้เหล่าขุนนางตระหนักได้ว่าสิ่งที่เขียนอยู่ในศาลด่วนฉบับนั้นต้องเป็เื่ใหญ่เป็แน่ ก่อนที่จะมีผู้กล้าท้าความตายเอ่ยปากขึ้นทูลถามเสียงรายงานก็ดังแว่วมาจากที่ไกลๆ เสียก่อน
“รายงาน! รายงาน!”ทหารรักษาประตูเมืองวิ่งถือธงสัญลักษณ์ว่ามีเื่ด่วนเข้ามาในท้องพระโรงด้วยความรีบร้อน
“ว่ามา”เสียงอันทรงอำนาจของเ้าเหนือหัวดังขึ้นทำลายความเงียบ
“ทูลฝ่าา รายงานจากหอสังเกตการณ์บัดนี้มีกองทัพไม่ทราบแหล่งที่มากำลังเดินทัพมุงหน้ามาพะยะค่ะ”
“จำนวน”
“จากที่ประมาณการน่าจะมีมาถึงสองแสนนายพะยะค่ะ”
สองแสน? เหล่าขุนนางทั้งหลายที่ได้ฟังเช่นนั้นต่างก็ใจนร่างกายสั่นเทา
นายทหารคุกเข่าก้มหน้ามองพื้นนิ่งรอบัญชา ในใจเขาทั้งหวาดกลัวและตื่นตระหนกจนเหงื่อเย็นๆเปียกชุ่มไปทั่วแผ่นหลัง
“ปล่อยให้พวกเขาเข้ามา ถ้าพวกเขาอยากเข้ามาพบเราก็เปิดประตูให้แต่โดยดี นี่เป็คำสั่ง!”
“กระหม่อมรับด้วยเกล้า”นายทหารประสานมือทำความเคารพแล้วถอยออกไป เมื่อพ้นจากท้องพระโรงแล้วเ้าตัวก็วิ่งออกไปด้วยความเร็ว
“ไม่ได้ทำความผิดจะคุกเข่าไปทำไม ลุกขึ้น”ฮ่องเต้หลี่เจินหลับตาลงด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ในหัวของพระองค์มีแต่ภาพความทรงจำของเด็กหญิงตัวน้อยที่หัวเราะอย่างมีความสุขอยู่ในอ้อมกอดของบิดา
“ฝ่าากองทัพไม่ทราบที่มาเช่นนี้ถือว่าเป็ภัย ต้องรีบระดมพลนะพะยะค่ะ”เป็เสนาบดีลู่ที่ก้าวออกมากราบทูลอย่างจริงจัง ในใจของลู่จิ่งหยวนยามนี้ครุ่นคิดหลายตลบเื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้อยู่เหนือการควบคุมของเขา เมื่อเหลือบไปมองฉินอ๋องก็เห็นพระองค์ส่งสายตาเ็ามาให้เขา นี่...
“หุบปาก!”เสียงตะวาดก้องไปทั่วท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ ตามมาด้วยถ้วยชาที่ปลิวไปกระแทกหน้าผากของเสนาบดีลู่อย่างแม่นยำ ทั้งน้ำชาอุ่นๆ เศษชาและหยดเืผสมกันจนดูน่าเกลียด
“กระหม่อมสมควรตาย”เสนาบดีลู่รีบโขกหัวขอความเมตตาทันที่ที่โอรส์พิโรธ
“สมควรตายก็ไปตาย จะมาโขกหัวอยู่ทำไม”ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิทฟังไม่ออกว่าพูดจริงหรือประชด
“ขอฝ่าาโปรดระงับโทสะ”เหล่าขุนนางต่างทูลของพระเมตตา
หลี่เจินกวาดสายตายมองขุนนางของตนเองรอบหนึ่ง ก่อนจะโบกมือไปมา นั่นเป็การแสดงออกว่าเ้าตัวไม่อยากพูดถึงเื่นี้อีก
ส่วนเสนาบดีลู่ที่ได้รับการอภัยโทษแล้วก็รีบโขกหัวขอบพระทัยก่อนจะกลับไปยืนประจำที่ตนเองด้วยท่าทางทุลักทุเล แทบจะไม่เหลือมาดของท่านเสนาบดี
กระดาษสีขาวปลิวไปตามสายลม
สองข้างทางเต็มไปด้วยประชาชนที่ออกมาคุกเข่าเรียงรายกันเป็สายตลอดแนวถนน ทุกคนแต่งกายด้วยชุดเสื้อป่านในมือถือตะกร้ากระดาษเงิน กระดาษทอง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเศร้าบางคนถึงขั้นหลั่งน้ำตาออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
กองทัพอันยิ่งใหญ่เคลื่อนขบวนด้วยความเร็วสม่ำเสมอ แม้ชุดเกราะของพวกเขาจะเป็สีดำสนิทแต่ที่เอวและปลายอาวุธล้วนผูกแถบผ้าสีขาวเอาไว้ ใจกลางขบวนทัพมีรถม้าสองคันที่ถูกตกแต่งไปด้วยแถบผ้าขาวหนึ่งเป็รถม้าที่ฮ่องเต้น้อยประทับอยู่กับอัฐิของจิ้งเหอจ่างกงจู่ อีกหนึ่งคือภิกษุทั้งห้าที่กำลังสวดภาวนามาตลอดทาง
ไกลออกไปขบวนม้าศึกขบวนหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว ซ่างกวนจือหลินใช้สายตาเ็ามองผู้มาเยือน นางทราบถึงจุดประสงค์ของคนเหล่านี้ ก่อนที่พวกเขาจะควบม้าผ่านไปง้าวจันทร์เสี้ยวก็วาดออกไปสกัดพวกเขาเอาไว้ เป็ผู้มาเยือนที่พอมีฝีมืออยู่บ้างถึงสามารถหลบการโจมตีในครั้งนี้อย่างเฉียดฉิว นางมองบุรุษร่างกายสูงใหญ่หน้าตาถือว่าหล่อหลากำลังควบคุมม้าที่ใจนวิ่งสะเบะสะปะ
“วันนี้เป็วันดีอะไรข้าถึงได้มีเกียรติได้รับการต้อนรับจากหวงไท่จื่อผู้สูงส่ง”พอเปิดบทสนทนาคนเช่นซ่างกวนจือหลินก็ไม่อาจทำให้ผู้คนผิดหวัง การกล่าววาจาประชดประชันเป็หนึ่งในเื่ถนัดของนาง
“จือหลินอย่าเสียมารยาท”
ซ่างกวนจือหลินเลิกคิ้วใส่บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็คู่หมายด้วยท่าทางไม่แยแส ท่านไม่ได้มีความสำคัญกับข้าถึงเพียงนั้น
“เรามาหาพี่หญิง”หลี่หยวนเฉิงกล่าวออกมาด้วยท่าทีร้องขอเท่าที่เขาจะทำได้
“จะมาพบหน้ารำลึกความหลังตอนนี้มันไม่สายไปหน่อยหรือ?”
“...”
“กลับไปซะ กลับไปยืนรอตรงที่ตำแหน่งหวงไท่จื่อ ถึงยามนั้นจะได้พบกันพร้อมหน้าครอบครัว เลือกสิ่งใดก็ต้องเผื่อใจกับสิ่งที่จะต้องสูญเสีย ใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดได้ทุกสิ่งอย่างใจหวัง”
“...”
“ไม่ต้องมาแสดงบทพี่น้องรักใคร่ต่อหน้าข้า ไร้ประโยชน์!”
เสียงหวานใสทว่ากลับเปล่งวาจาทิ่มแทงไปจนถึงจิติญญา