ชุนหงรีบขับรถม้ากลับบ้านตระกูลเสิ่นคราวนี้นางไม่ขับแบบช้าๆ อีก และเนื่องจากบนถนนไม่มีคนเดินไปมารถม้าจึงเคลื่อนตัวได้เร็วขึ้น
จิตใจของกู้เจิงเริ่มสงบลงบ้างแล้ว แต่เื่เดิมพัน? เหอะ กู้เจิงกลอกตา นางเบื่อที่จะคิดเื่นี้ต่อไปเมื่อครู่ที่นางกล้าแสดงออกไปแบบนั้น แต่ที่จริงในใจก็รู้ว่าหัวเดียวน้อยกำลังวาจาเดียวไร้น้ำหนัก* หากตวนอ๋องจะตัดสินอย่างโหดร้ายจริงๆนางคิดว่าก็คงไม่น่าจะเป็อะไรมาก
(*ยิ่งน้อยคน อำนาจยิ่งน้อยตามและเมื่อมีฐานะต่ำกว่า พูดไปคนย่อมไม่ให้ความสำคัญ)
ผลกระทบน่าจะไม่ร้ายแรงนักเพราะฐานะของคุณหนูใหญ่ตระกูลกู้ของนางก็ยังอยู่
ยามกลับมาถึงบ้านตระกูลเสิ่น สองสามีภรรยาเสิ่นกำลังร่อนเม็ดทรายเพื่อเตรียมคั่วขนมเข่งที่ตากแห้งเมื่อเห็นลูกสะใภ้กลับบ้านมาในสภาพสกปรกมอมแมม นางก็รีบลุกขึ้นมาถาม
“เหตุใดเนื้อตัวถึงสกปรกเช่นนี้? เปียกไปหมดทั้งตัวแล้ว เ้ารีบเข้าบ้านมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็ว” นายหญิงเสิ่นสังเกตเห็นลูกสะใภ้กุมมือตัวเองไว้นางจึงจับมือขึ้นมาพลิกดู ก่อนพูดด้วยความใว่า “มือถลอกปอกเปิกไปหมด เ้าหกล้มมาหรือ?”
กู้เจิงพยักหน้ารับความห่วงใยของแม่สามีนางกล่าวด้วยสีหน้ากล้ำกลืนฝืนทนว่า “ท่านแม่ ข้าได้พบกับตวนอ๋องระหว่างทางเ้าค่ะ”
สองสามีภรรยาเสิ่นอึ้งไปพร้อมๆ กัน
“รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วค่อยมาว่ากันทีหลัง” นายหญิงเสิ่นหันไปพูดกับสามีว่า“ท่านไปเอายาที่ข้าเคยใช้เมื่อคราวที่แล้วมาหน่อยเ้าค่ะ”
นายท่านเสิ่นเข้าห้องนอนไปหายาขี้ผึ้งทันที
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป กู้เจิงกับนายหญิงเสิ่นก็มานั่งอยู่ในห้องครัวนางเล่าเื่ที่ตวนอ๋องคุยกับนางเมื่อครู่อย่างละเอียดถี่ถ้วนให้แม่สามีฟังเมื่อพูดจบนางก็ก้มหน้าไม่พูดไม่จา
“ตวนอ๋องทำเกินไปจริงๆ” นายท่านเสิ่นเคยซาบซึ้งในบุญคุณของตวนอ๋องมาโดยตลอด อย่างไรเสีย
ตวนอ๋องก็เคยช่วยภรรยาของเขาไว้จากกองเพลิง
“พวกเราเป็เพียงชาวบ้านสามัญการได้แต่งลูกสะใภ้อย่างเ้าเข้าบ้านก็นับว่าดีมากแล้ว” นายหญิงเสิ่นถอนหายใจพร้อมกล่าวอีก “ถึงแม้พวกเราจะซาบซึ้งในบุญคุณของท่านอ๋องยิ่งแต่การที่เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเื่ในบ้านเราเช่นนี้ ก็ไม่สมควรเลยจริงๆ”
กู้เจิงพยักหน้ารับ
“เ้าวางใจเถอะ” นายหญิงเสิ่นหยิบยามาทาาแบนฝ่ามือให้กู้เจิงพลางเอ่ยว่า “อาเยี่ยนจะไม่ทิ้งเ้าหรอก นับแต่วันที่เขาแต่งเ้าเข้าบ้านเ้าก็คือภรรยาของเขา และจะเป็แม่ของลูกเขาในอนาคต”
“ขอบคุณเ้าค่ะท่านแม่” กู้เจิงรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา
“เ้าเด็กคนนี้ มีอะไรต้องมาขอบคุณกัน พวกเราเป็ครอบครัวเดียวกันย่อมต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน”
กู้เจิงรู้สึกว่าต่อให้เสิ่นเยี่ยนไม่ใช่คนดีแต่ถ้ามีพ่อแม่สามีที่ดีเช่นนี้ นางก็ยินดีที่จะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลเสิ่น “ท่านพ่อ ท่านแม่ หากเื่นี้เกิดขึ้นตอนที่ข้าเพิ่งแต่งเข้าตระกูลเสิ่นและข้าก็พูดเช่นนี้กับท่านพี่ พวกท่านยังจะ้าข้าอยู่ไหมเ้าคะ?”
นายหญิงเสิ่นยิ้ม นางชี้ไปยังร่มที่ตั้งอยู่หน้าประตู “ร่มนั่นเคยพังแล้วก็ซ่อมใหม่ ซ่อมแล้วก็พังอีก แต่ไม่ว่าจะเป็ข้าหรือสามีหรืออาเยี่ยนล้วนไม่เคยคิดจะทิ้งมัน ความสัมพันธ์ของสามีภรรยาก็เป็เช่นนี้ไหนเลยคิดอยากจะหย่าก็หย่า อยากแยกจากก็แยกได้? ถ้ามีตรงไหนไม่ดี เราก็เปลี่ยน ถ้าไม่เข้าใจเหตุผล เราก็ชี้แนะแล้วมันก็จะดีเอง”
นายท่านเสิ่นก็พูดเสริมขึ้นมาอีกว่า “เ้าไม่ต้องกังวลไป อาเยี่ยนเป็คนนิสัยดีั้แ่เด็กเขามีความรับผิดชอบมาก ไม่ใช่คนประเภทสองจิตสองใจและยิ่งไม่ใช่บุรุษที่คิดจะหย่าร้างเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวจากคนใกล้ตัว”
“เ้าค่ะ” กู้เจิงยิ้มดีใจ
หลังจากกินข้าวเที่ยงกันเสร็จยังไม่ถึงเวลาที่การสอบในพระราชวังจะเสร็จสิ้น สองสามีภรรยาเสิ่นช่วยกันตักน้ำจากบ่อน้ำมาล้างทรายที่กรองไว้ให้สะอาดส่วนกู้เจิงกับชุนหงยืนดูอยู่ด้านข้าง
เม็ดทรายพวกนี้นายท่านเสิ่นตั้งใจขุดขึ้นมาจากแม่น้ำ
“อาเจิง ชุนหง พวกเ้าไปจุดไฟก่อนทรายนี้ต้องคั่วในกระทะสักรอบเพื่อเอาสิ่งสกปรกออกถึงจะใช้ได้” นายหญิงเสิ่นหันมาสั่ง
สำหรับเื่การจุดไฟ กู้เจิงก็พัฒนาไปมากกลายเป็ชุนหงคอยอยู่ข้างๆ มองดูนางจุดไฟแทนแล้ว ทว่าตอนนี้มือนางได้รับาเ็จึงได้แต่ให้ชุนหงเป็คนทำ
“คุณหนูนี่เป็ครั้งแรกที่ข้าได้เห็นการใช้ทรายคั่วกับขนมเข่งล่ะเ้าค่ะ ต้องหอมมากแน่ๆ” ชุนหงชวนคุยพลางยัดฟืนเข้าไปในเตา
“แต่ข้าเคยเห็นแป้งขนมที่ย่างบนหินมาก่อน” กู้เจิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“คุณหนูเห็นจากที่ไหนเ้าคะ? ทำไมบ่าวถึงไม่รู้” สิบกว่าปีมานี้ ทั้งสองคนเหมือนเป็เงาตามติดกันสถานที่ที่คุณหนูเคยไปนางก็เคยไปมาแล้วทั้งนั้น
กู้เจิงหัวเราะคิกคัก “ในความฝัน” หากบอกว่าเป็โทรทัศน์ชุนหงก็คงไม่เข้าใจ ทรายเมื่อได้รับความร้อนสม่ำเสมอจะทำให้ไม่ไหม้ง่ายดังนั้นชาวบ้านจึงใช้ทรายเพื่อผัดถั่วลิสง
งานใน่บ่ายของทุกคนในบ้านตระกูลเสิ่น คือการเอาทรายที่ล้างแล้วไปขจัดสิ่งสกปรกส่วนขนมเข่งต้องรอมีเวลาว่างครั้งหน้าถึงค่อยนำมาคั่ว แต่เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้นเวลาก็ล่วงไปเที่ยงกว่าแล้ว
เวลานี้ ลุงใหญ่ ลุงรอง และลุงสาม รวมถึงท่านป้าคนอื่นๆต่างพากันมาสมทบที่บ้านตระกูลเสิ่น ทุกคนล้วน้าจะไปรอรับเสิ่นเยี่ยนออกมาจากวังหลวง
“ต้าสือกับตงเถียนไปรอที่หน้าประตูวังก่อนแล้ว” ลุงใหญ่เสิ่นยิ้มพลางกล่าวว่า “เมื่อวานเ้าสองคนนั้นยังให้ภรรยาไปจุดธูปขอร้องพระโพธิสัตว์ที่วัดด้วย”
ต้าสือและตงเถียนเป็บุตรชายคนโตและบุตรชายคนรองของลุงใหญ่เสิ่น
“อากุ้ยก็ไปรอที่หน้าประตูวังหลวงแล้วเหมือนกัน” ลุงรองหันมาพูดกับกู้เจิง “อาเจิง อากุ้ยทำแท่นไม้ของเ้าเสร็จแล้วเดี๋ยวเย็นนี้จะเอามาให้เ้า”
“ขอบคุณเ้าค่ะ” กู้เจิงพูดด้วยความดีใจ
“ไปทำอะไรกันมากมายขนาดนี้” นายท่านเสิ่นมองพี่น้องตัวเองอย่างขบขัน “พวกเราไปกันเยอะขนาดนี้ จะทำให้คนขำขันเสียเปล่า”
“มีอะไรน่าขันกัน?” ป้าใหญ่เสิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด “การได้เข้าสอบในวังหลวงนับเป็เกียรติอย่างยิ่งยวดไม่แน่ว่าคนจากบ้านอื่นอาจมามากกว่าบ้านเราก็ได้”
“พี่สะใภ้ใหญ่พูดถูกแล้ว” ป้ารองเสิ่นก็เห็นด้วย
ลุงสามกับป้าสามยิ้มมองหน้ากัน
มีพี่น้องมากมาย ช่างครึกครื้นเสียจริงกู้เจิงฟังแล้วรู้สึกเบิกบานมีความสุขนัก
ตระกูลเสิ่นมีรถม้าเพียงคันเดียว พวกผู้หญิงจึงได้นั่งไปกับรถม้าส่วนเหล่าบุรุษให้เดินกันไปกู้เจิงยกม่านหน้าต่างขึ้นมองพ่อสามีกับพวกท่านลุงที่กำลังพูดคุยหัวเราะอย่างสนุกสนานและพากันเดินตามหลังรถม้านางอดคิดไม่ได้ว่าท่านย่าที่สอนให้พี่น้องทุกคนรักใคร่กลมเกลียวกันได้เช่นนี้จะเป็คนแบบไหนกันนะ?
เป็ดังเช่นที่ป้าใหญ่กล่าวไว้ไม่มีผิด หน้าประตูวังหลวงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย มีคนยืนเป็กลุ่มเป็ก้อนอยู่เต็มไปหมดแต่ละบ้านมีจำนวนมากกว่าบ้านพวกนางเสียอีก
“พวกเ้าดูสิ เมื่อครู่ข้าพูดไว้ว่าอย่างไร? เทียบจำนวนคนของเรากับพวกเขา ยังนับว่าเยอะอยู่ไหม?” ป้าใหญ่ลงจากรถม้าก็เห็นเหล่าสะใภ้คุยกัน
“ท่านแม่ อาสะใภ้รอง อาสะใภ้สาม พวกท่านมาแล้ว” เสิ่นต้าสือและเสิ่นตงเถียนวิ่งมาหา
เสิ่นกุ้ยก็อยู่ด้วย ทุกคนต่างะโเรียก
“อาเยี่ยนใกล้จะออกมาแล้ว” เสิ่นกุ้ยกล่าว “ได้ยินว่าครั้งนี้จะประกาศรายชื่อออกมาเลยข้าตื่นเต้นจนทนไม่ไหวแล้ว”
“จริงด้วย ไม่รู้ว่าอาเยี่ยนจะได้ลำดับที่เท่าไหร่?” เสิ่นตงเถียนรูปร่างแข็งแรงมาก เขากำยำล่ำสัน แต่ไม่สูงนักไม่เหมือนลุงใหญ่กับเสิ่นต้าสือ
เสิ่นต้าสือยิ้ม “ข้าไม่กังวลเลยสักนิดอาเยี่ยนฉลาดขนาดนี้ น่าจะอยู่ในลำดับต้นๆ”
“คุณหนู บ่าวตื่นเต้นมากเลยเ้าค่ะ ท่านตื่นเต้นไหมเ้าคะ?” ชุนหงถามพลางกระตุกแขนเสื้อของกู้เจิง
“ตื่นเต้นสิ” กู้เจิงจ้องประตูวังหลวงเขม็งไม่แม้แต่จะกะพริบตา
อยู่ๆ ไม่รู้ว่าเสียงใคระโขึ้น “ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว” เป็อย่างที่ว่าไว้ นางเห็นประตูวังหลวงค่อยๆ เปิดออกเหล่าผู้สอบทยอยเดินออกมา
แต่ละคนมีคนในตระกูลมารับไป ตอนที่กู้เจิงเห็นเสิ่นเยี่ยน คนตระกูลเสิ่นก็เข้าไปรุมล้อมสอบถามเขาแล้ว
แต่ยังไม่ทันที่เสิ่นเยี่ยนจะได้พูด ก็ได้ยินเสียงแหลมสูงของกงกง* ดังขึ้น “สามอันดับแรกออกมาแล้ว”
(*คำเรียกขันทีที่มีตำแหน่งชั้นสูง)
กู้เจิงเห็นมหาดเล็กสองคนติดแผ่นป้ายสีเหลืองไว้บนผนังแดง เสิ่นกุ้ยวิ่งเข้าไปเป็คนแรกจากนั้นทุกคนต่างก็วิ่งกรูเข้าไปดู
“ลำบากเ้าแล้ว” นายหญิงเสิ่นมองลูกชายอย่างภูมิใจ
กู้เจิงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเสิ่นเยี่ยนกำลังคิดจะถามเขาว่าเป็อย่างไรบ้าง? เสิ่นเยี่ยนก็จับมือนางขึ้นมาดู หัวคิ้วเขาขมวดเป็ปม “มือเ้าเป็อะไร?”
“ล้มน่ะเ้าค่ะ” เขาสังเกตเห็นมือของนาง
“ทำไมเ้าถึงไม่ระวังขนาดนี้?”
กู้เจิงยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็อะไรแล้วเ้าค่ะ”
“ได้อันดับที่ห้า อันดับที่ห้า” เสิ่นกุ้ยวิ่งมาบอกทุกคนอย่างตื่นเต้นดีใจ
กู้เจิงตาเป็ประกาย นางฉีกยิ้มมองสามีอย่างตื่นเต้น “ท่านพี่ ลำบากท่านแล้วเ้าค่ะ”
สามพี่น้องตระกูลเสิ่นจองห้องส่วนตัวที่หอถงชุนไว้แล้วดังนั้นพวกเขาจึงตรงจากประตูวังหลวงไปยังห้องที่จองไว้ในทันทีเมื่อไปถึงฟ้ายังไม่ทันมืด ทุกคนก็นั่งพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่ด้านในหมดแล้ว
“ต่อจากนี้ อาเยี่ยนของพวกเราก็น่าจะได้เป็ขุนนางแล้วสินะ?” ป้าใหญ่พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “จะได้เป็ขุนนางระดับใดกัน?”
“ระดับขุนนางเจ็ดแปดอะไรนี่คงมีอยู่กระมัง?” ป้ารองถาม
เสิ่นเยี่ยนพยักหน้ายิ้มรับ “ข้าเป็จิ้นซื่อหากข้าเข้ารับราชการจะต้องมีตำแหน่งขุนนางขั้นหกหรือไม่ก็เจ็ดขอรับ”
“อาเยี่ยน อนาคตเ้าต้องรุ่งโรจน์แน่” เสิ่นต้าสือยิ้มพลางเอ่ยว่า “ต่อไปหากพวกเราเจออาเยี่ยน ควรเรียกเขาว่าใต้เท้าเสิ่นใช่ไหมนะ?”
ทุกคนในครอบครัวต่างพากันหัวเราะ
กู้เจิงกับชุนหงมองหน้ากันยิ้มๆ
ขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันสนุกสนาน จู่ๆก็มีชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพแต่สายตาดูหาเื่ผู้หนึ่งแหวกม่านเข้ามาหลังจากกวาดสายตามองทุกคนแล้ว สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่ป้าสาม ด้วยสีหน้ายั่วเย้า “เป็เยียนเหมยจากหอจือเซียงจริงๆ ด้วย ข้ายังนึกว่าข้าตาฝาดไปไม่ได้เจอกันหลายปี มีเสน่ห์ยิ่งกว่าแต่ก่อนเสียอีก”