บทที่ 4 ตำรับยาในกองเถ้าถ่าน
ซุปผักป่าถ้วยนั้น แม้จะช่วยประทังความหิวโหยและจุดประกายความหวังขึ้นมาได้ชั่วครู่ แต่เมื่อมันหมดไปความจริงอันโหดร้ายก็กลับมาเยือนอีกครั้ง ราวกับเงาที่ไม่มีวันจาง หาย
หม้อดินเผาว่างเปล่า ไหข้าวสารยังคงว่างเปล่า และท้องของคนทั้งสามก็เริ่มส่งเสียง ประท้วงอีกครั้ง
หลี่ซือมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตากังวลเมฆสีเทาครึ้มเริ่มก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้า บ่งบอกว่าฝนอาจจะตกลงมาในไม่ช้า "วันนี้คงเข้าป่าไม่ได้แล้ว" นางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
อันจินยังคงนั่งอยู่ที่มุมเดิมของเขา แต่สายตาไม่ได้เลื่อนลอยเหมือนเช่นเคย เขากำลังจ้องมองไปยังขาที่ไร้ความรู้สึกของตนเองราวกับกำลังต่อสู้กับปีศาจที่มอง ไม่เห็นในใจ ส่วนลึกในดวงตาของเขานั้นมีความสับสนวูบวาบอยู่ตลอดเวลา เขาคืออันจิน หมอเทวดาผู้เคยหยั่งรู้ถึงรากเหง้าของโรคภัยได้เพียงแค่เหลือบมอง แต่บัดนี้ เขากลับมองไม่เห็นแม้กระทั่งหนทางรอดของครอบครัวตนเอง
เมื่อวานบุตรสาวของเขาทำในสิ่งที่น่าเหลือเชื่อนางไม่เพียงแต่ฟื้นจากไข้หนักได้อย่างปาฏิหาริย์แต่ยังสามารถหาของป่าที่กินได้กลับมาทั้งยังพูดจาด้วยหลักการที่คมคายจนแม้แต่เขาก็ยังต้องนิ่งงันไปชั่วขณะ‘ูเาที่พังทลายยังเริ่มต้นฟื้นฟูตัวเองได้ด้วยหญ้า เพียงต้นเดียว’ คำพูดนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขาราวกับเสียงระฆัง
แต่แล้วอย่างไร? หญ้าต้นเดียวจะต่อกรกับพายุฝนได้อย่างไร? อาหารมื้อเดียวจะต่อสู้กับความอดอยากที่ยาวนานได้อย่างไร?
"โชคช่วยน่ะ มันก็เป็ได้แค่เพียงสายลมวูบหนึ่งเท่านั้น" เขาพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงขมขื่น
"ถ้าเช่นนั้น เราก็ต้องสร้างพายุขึ้นมาเอง"
เสียงใส ๆ ของอันหนิงดังขึ้นจากข้างหลัง ทำให้อันจินสะดุ้งเล็กน้อย นางเดินมายืนอยู่ตรงหน้าเขา ในมือถือใบเชอเฉียนเฉ่าที่เก็บมาเมื่อวานสองสามใบ
"ท่านพ่อ ข้ามีเื่อยากจะรบกวนความรู้ของท่าน"
อันจินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แววตาฉายแววดูแคลน "ความรู้ของข้ารึ? ความรู้ของข้ามันก็เป็ได้แค่ขยะในกองเถ้าถ่าน ถูกคนเหยียบย่ำจนไม่เหลือค่าอะไร แล้ว เ้าจะไปรื้อฟื้นมันขึ้นมาทำไม"
"ขยะในสายตาคนอื่น อาจเป็สมบัติล้ำค่าในสายตาของอีกคนก็ได้" อันหนิงโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ "สำหรับข้า ความรู้ของท่านพ่อล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำ"
คำพูดของนางทำให้อันจินชะงักไปเขามองหน้าบุตรสาวที่บัดนี้ดูแปลกตาไปอย่างสิ้น เชิงความอ่อนแอและขี้ขลาดหายไปหมดสิ้นถูกแทนที่ด้วยความมั่นใจและความเฉลียวฉลาดที่ส่องประกายออกมาจากดวงตาคู่นั้น
"เ้า้าอะไร" เขาถามเสียงห้วน
"ข้าอยากทำ ขี้ผึ้งสมานแผล" อันหนิงตอบอย่างตรงไปตรงมา "ข้ารู้ว่าเชอเฉียนเฉ่ามีฤทธิ์ห้ามเืและสมานแผลได้แต่ข้าไม่รู้วิธีการสกัดและปรุง มันให้ออกมาเป็ขี้ผึ้งที่เก็บไว้ได้นาน ข้าจำได้เลา ๆ ว่าท่านพ่อเคยมีตำรับยานี้อยู่"
นางกำลังโกหก แต่เป็การโกหกที่จำเป็อย่างยิ่ง นางไม่สามารถอธิบายเื่ระบบได้ แต่นางสามารถอ้างอิงถึงความรู้ที่บิดาเคยมีเพื่อดึงเขากลับมาจากห้วงเหวแห่งความสิ้นหวัง
อันจินเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจตำรับยาขี้ผึ้งสมานแผลเป็ตำรับ ยาพื้นฐานที่หมอทุกคนต้องรู้ก็จริงแต่การที่เด็กสาวอายุเพียงสิบห้าปีที่ไม่เคยสนใจ เื่ยามาก่อนจะเอ่ยถึงมันขึ้นมา มันช่างน่าเหลือเชื่อ
"เ้าไปได้ยินเื่นี้มาจากไหน" เขาถามเสียงเข้ม
"ข้า ข้าเคยเห็นตำราของท่านพ่อผ่าน ๆ ตอนที่ยังอยู่ที่บ้านเก่าเ้าค่ะ" อันหนิงเตรียมคำตอบไว้แล้ว "ข้าเห็นว่ามันทำไม่ยาก และวัตถุดิบก็พอจะหาได้ ในยามนี้ ชาวบ้านหลายคนต้องทำงานหนัก อาจมีาแถลอกปอกเปิกกันบ้าง หากเราทำขี้ผึ้งนี่ขายในราคาถูก ๆ ก็น่าจะพอแลกข้าวสารมาประทังชีวิตได้"
มันเป็แผนการที่เรียบง่าย แต่กลับมองการณ์ไกลและเปี่ยมไปด้วยความเป็ไปได้
อันจินนิ่งเงียบไปนาน นานจนอันหนิงเกือบจะคิดว่าเขาปฏิเสธไปแล้ว เขากำลังครุ่นคิด ความคิดในหัวของเขากำลังต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง ส่วนหนึ่งคือความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีของอดีตหมอเทวดาที่ถูกทำลายจนย่อยยับ เขาไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับเื่พวกนี้อีกแล้ว มันมีแต่จะตอกย้ำถึงความพ่ายแพ้ของตน เอง แต่อีกส่วนหนึ่ง ส่วนที่ลึกที่สุดในใจ คือสัญชาตญาณของความเป็หมอและสัญชาตญาณของความเป็พ่อ มันกำลังร่ำร้องว่าสิ่งที่บุตรสาวพูดนั้นถูกต้อง นี่อาจเป็หนทางรอดจริง ๆ
"ส่วนผสม เ้าจะไปหามาจากไหน" ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากถาม น้ำเสียงยังคงแข็งกระด้าง แต่ก็เจือปนด้วยความสนใจ "การทำขี้ผึ้งต้องใช้ขี้ผึ้งบริสุทธิ์และน้ำมันพืช ของพวกนั้นต้องใช้เงินซื้อทั้งนั้น"
"นั่นคือสิ่งที่ข้ากำลังจะทำต่อไปเ้าค่ะ" อันหนิงยิ้มออกมาบาง ๆ เมื่อเห็นว่าบิดาเริ่มคล้อยตาม "ข้าจะลองเอาเชอเฉียนเฉ่าส่วนหนึ่งไปแลกกับเพื่อนบ้านดู... ไม่แน่ว่าอาจจะมีคน้ามัน"
"ไร้เดียงสา" อันจินส่ายหน้า "ของป่าแลกของมีค่า ใครเขาจะยอม"
"ยังไม่ได้ลอง จะรู้ได้อย่างไรเล่าเ้าคะ" อันหนิงสวนกลับด้วยประโยคเด็ดของนาง "บางที สิ่งที่เรามองว่าไร้ค่า อาจเป็สิ่งที่คนอื่นกำลัง้าอย่างที่สุดก็ได้"
นางไม่รอให้บิดาได้โต้แย้งอีก หันไปหยิบตะกร้าใบเดิม แบ่งเชอเฉียนเฉ่าออกมาครึ่งหนึ่ง แล้วเดินตรงไปยังประตู
"ท่านแม่ ข้าไปบ้านป้าหลิวครู่หนึ่งนะเ้าคะ!" นางะโบอกมารดาที่กำลังสาละวนอยู่ในครัว ก่อนจะเดินหายออกไปจากกระท่อม ทิ้งให้อันจินจมอยู่กับคำพูดที่ท้าทายความคิดของเขาอีกครั้ง
บ้านของป้าหลิวอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักเป็กระท่อมดินที่ดูแข็งแรงกว่าบ้านของนางเล็กน้อย ป้าหลิวเป็หญิงม่ายใจดีที่นาน ๆ ครั้งจะแอบเอาผักดองหรือมันต้มมาแบ่ง ให้ครอบครัวของนางบ้าง แม้ว่าตัวนางเองก็จะลำบากไม่แพ้กัน
เมื่ออันหนิงไปถึง ก็เห็นป้าหลิวกำลังนั่งหน้าเศร้าอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน ส่วนอาเป่า ลูกชายวัยสิบขวบของนางก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ที่แขนมีผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ พันแผลเอาไว้ และมีเืซึมออกมาเป็ดวง
"คารวะป้าหลิวเ้าค่ะ อาเป่าเป็อะไรไปหรือ" อันหนิงเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
ป้าหลิวเงยหน้าขึ้น พอเห็นว่าเป็อันหนิงก็ถอนหายใจยาว "อ้อ หนิงเอ๋อร์เองรึ ก็เ้าเด็กซนนี่น่ะสิ วิ่งเล่นหกล้มแขนไปครูดกับเปลือกไม้ แผลลึกพอสมควรเลย เืไหลไม่ยอมหยุด ข้าเอาเถ้าถ่านพอกไว้แล้ว แต่ก็ยังซึมอยู่เลย"
นี่มัน ์เข้าข้างกันชัด ๆ!
อันหนิงรีบเดินเข้าไปดูแผลใกล้ ๆ "ป้าหลิวเ้าคะท่านใช้วิธีเอาเถ้าถ่านพอกแผลไม่ได้ นะเ้าคะ! มันสกปรก อาจจะทำให้แผลอักเสบติดเชื้อได้"
ป้าหลิวทำหน้าเศร้า "แล้วจะให้ป้าทำอย่างไรได้เล่า จะไปหาหมอที่หอโอสถหมื่นปี ค่ายาของพวกนั้นแพงยิ่งกว่าทองคำเสียอีก"
"ข้ามีของดีมาให้ท่านลองเ้าค่ะ" อันหนิงพูดพลางหยิบใบเชอเฉียนเฉ่าออกมาจากตะกร้า "นี่คือเชอเฉียนเฉ่า เ้าค่ะท่านป้า มันมีฤทธิ์ห้ามเืและสมานแผลได้ดีมาก"
นางไม่รอช้า หยิบใบสมุนไพรสด ๆ สองสามใบใส่ปากเคี้ยวช้า ๆ จนละเอียด อาจจะดูไม่ถูกสุขลักษณะนัก แต่ในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ นี่คือวิธีที่ดีที่สุด จากนั้นจึงคายออกมาพอกลงบนาแของอาเป่าที่เอาขี้เถ้าออกแล้วอย่างเบามือ แล้วใช้ผ้าสะอาดที่ตนเองพกติดตัวมาพันทับเอาไว้
"โอ๊ย! เย็นจังเลยท่านแม่!" อาเป่าร้องออกมา แต่สีหน้ากลับดูผ่อนคลายลง
เพียงไม่ถึงครึ่งถ้วยชา เืที่เคยซึมออกมาก็หยุดไหลสนิท!
ป้าหลิวเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง "์! หยุดจริงๆ ด้วย! หนิงเอ๋อร์ เ้ารู้เื่พวกนี้ได้อย่างไรกัน"
"ท่านพ่อเคยสอนข้าไว้นิดหน่อยเ้าค่ะ" อันหนิงใช้ข้ออ้างเดิม "นี่เป็เพียงการรักษาเบื้องต้นเท่านั้นนะเ้าคะท่านป้าท่านต้องคอยล้างแผลให้สะอาดทุกวัน"
"ขอบใจเ้ามาก! ขอบใจเ้ามากจริงๆ!" ป้าหลิวจับมืออันหนิงไว้แน่นด้วยความซาบซึ้ง "ป้าไม่รู้จะตอบแทนเ้าได้อย่างไรดี"
"ท่านป้าอย่าได้เกรงใจเลยเ้าค่ะ" อันหนิงส่ายหน้า "แต่ว่า ข้ามีเื่อยากจะรบกวนท่านป้าสักเล็กน้อย"
นางเล่าแผนการทำขี้ผึ้งสมานแผลให้ป้าหลิวฟัง และเอ่ยปากขอแลกเชอเฉียนเฉ่าที่เหลือทั้งหมดกับขี้ผึ้งและน้ำมันพืชเล็กน้อย
ป้าหลิวฟังจบก็พยักหน้าหงึกๆ "เื่แค่นี้เอง!ที่บ้านป้าพอมีขี้ผึ้งที่เก็บไว้ซ่อมร่ม กระดาษอยู่ก้อนหนึ่ง ส่วนน้ำมันก็พอจะแบ่งให้เ้าได้ รอเดี๋ยวนะ"
นางหายเข้าไปในบ้านครู่หนึ่งก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับขี้ผึ้งก้อนเล็ก ๆ สีเหลืองนวลและขวดดินเผาใบจิ๋วที่บรรจุน้ำมันพืชไว้ประมาณหนึ่งในสี่
"ขอบพระคุณท่านป้ามากเ้าค่ะ!" อันหนิงรับของมาด้วยความดีใจ
"ข้าต่างหากที่ต้องขอบใจเ้า" ป้าหลิวกล่าว "ถ้าเ้าทำขี้ผึ้งนั่นสำเร็จแล้ว อย่าลืมแบ่งมาขายให้ป้าบ้างล่ะ!"
"แน่นอนเ้าค่ะ!"
อันหนิงกลับมาถึงกระท่อมพร้อมกับวัตถุดิบที่้า นางวางขี้ผึ้งและน้ำมันลงบน โต๊ะอย่างภาคภูมิใจ
หลี่ซือมองของเ่าั้ด้วยความยินดี ส่วนอันจิน แม้ใบหน้าจะยังคงเรียบเฉย แต่ในแววตากลับฉายแววซับซ้อนอย่างยิ่งเขาไม่คิดเลยว่าบุตรสาวของเขาจะทำสำเร็จ จริงๆ
"ท่านพ่อ ตอนนี้เรามีของครบแล้ว" อันหนิงหันไปพูดกับบิดา "ขั้นตอนต่อไป คงต้องรบกวนท่านพ่อชี้แนะแล้ว"
นางไม่ได้ขอให้เขาลงมือทำ นางเพียงแค่ขอ "คำชี้แนะ" เป็การมอบอำนาจและให้ความเคารพแก่เขาอย่างชาญฉลาด
อันจินนิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่ เขามองไปยังกองเชอเฉียนเฉ่า มองขี้ผึ้ง มองน้ำมัน แล้วมองไปยังใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังของบุตรสาว
ในที่สุด เขาก็พยักหน้าช้าๆ เพียงครั้งเดียว
"ไฟ ต้องใช้ไฟอ่อนที่สุด" เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า "และตอนเคี่ยว ต้องคนไปในทิศทางเดียวกัน ห้ามหยุดเด็ดขาด"
นั่นคือประโยคแรก ประโยคแรกในฐานะ "หมอ" ที่หลุดออกมาจากปากของเขาใน รอบครึ่งปี หลี่ซือยกชายแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาอย่างเงียบเชียบ ส่วนอันหนิง นางยกยิ้มกว้างที่สุดในชีวิตภูผาที่พังทลาย ไม่เพียงแต่ยอมให้หญ้าได้หยั่งรากแล้ว แต่บัดนี้ เขากำลังจะสอนให้หญ้าต้นนั้น รู้วิธีที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง