เดิมทีกูเฟยเยี่ยนเพียงแค่ประหลาดใจ แต่เมื่อได้ยินว่างานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดขององค์ชายแปดถูกจัดเตรียมโดยอวิ้นกุ้ยเฟย นางก็ตื่นใมากทีเดียว
นางนึกออกแล้วว่าจวินฮั่นหยิ่นเกิดก่อนจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยไม่กี่เดือน ปีนี้มีอายุยี่สิบปีซึ่งเป็ปีที่ต้องทำพิธีสวมหมวก [1] นี่นา!
ไม่เพียงแค่ราชวงศ์ตระกูลจวินเท่านั้น แต่ทายาทสายตรง สามัญชน คนสูงศักดิ์ หรือคนต่ำต้อย ของแต่ละตระกูลในดินแดนเสวียนคงล้วนเข้าพิธีสวมหมวกและมีการปฏิบัติแบ่งแยกอย่างเข้มงวด
หากเป็บุตรของทายาทสายตรง พิธีสวมหมวกจะต้องยิ่งใหญ่อลังการและจำเป็ต้องจัดพิธีที่ศาลบรรพบุรุษ พิธีสวมหมวกนี้จะมีบิดาเป็เ้าภาพและผู้ที่ทำพิธีจำเป็ต้องมีฐานะสูงศักดิ์และมีแขกคนสำคัญที่มีฐานะที่ไม่ธรรมดา หลังจบพิธีสวมหมวกแล้วต้องจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองขนาดใหญ่เพื่อเชื้อเชิญบรรดาแขกทั้งภายในและภายนอก
หากว่าเป็บุตรจากสามัญชนจะมีการปฏิบัติที่แตกต่างกันมาก แม้ว่าจะทำพิธีสวมหมวกที่ศาลบรรพบุรุษเช่นกันแต่เป็พิธีการที่เรียบง่ายและไม่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังไม่มีการเชิญแขกสูงศักดิ์ทั้งหลายอีกด้วย หลังจบพิธีแล้วก็ไม่มีงานเลี้ยงขนาดใหญ่ใดๆ โดยทั่วไปในคืนวันนั้นมารดาจะจัดเตรียมงานเลี้ยงเล็กๆ ไว้เพื่อเฉลิมฉลองเท่านั้น
องค์ชายแปดเป็บุตรที่เกิดจากสามัญชน มารดาทั้งต่ำต้อยและเสียชีวิตั้แ่เยาว์วัย งานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดจึงถูกเตรียมการโดยอวิ้นกุ้ยเฟยแทน เป็เพราะหวงโฮ่วต อวิ้นกุ้ยเฟยจึงเป็ผู้ที่คอยดูแลตำหนักทั้งหกมาหลายปีแล้ว เหล่าองค์หญิงและองค์ชายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะล้วนได้รับการสั่งสอนจากนาง
กูเฟยเยี่ยนตั้งใจพิจารณาจดหมายเชิญแล้วพบว่าผู้ลงนามเป็ชื่อขององค์ชายแปด
นางระแวงเป็ที่สุด ในเมื่องานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดได้ถูกจัดโดยอวิ้นกุ้ยเฟย เช่นนั้นคนที่องค์ชายแปด้าเชิญ อวิ้นกุ้ยเฟยก็จะรับรู้แน่นอน อวิ้นกุ้ยเฟยเกลียดนางเข้ากระดูก เขาจะอนุญาตให้จวินฮั่นหยิ่นเชิญนางเข้าไปในพระราชวังในฐานะของแขกสูงศักดิ์หรือ? นี่มันผิดปกตินะ! จดหมายเชิญนี้อาจจะไม่ได้เขียนโดยองค์ชายแปด มีความเป็ไปได้ว่าอวิ้นกุ้ยเฟยยืมชื่อขององค์ชายแปดมาเขียน?
กูเฟยเยี่ยนคิดไปคิดมาโดยคิดว่างานเลี้ยงนี้มีความเป็ไปได้แปดถึงเก้าส่วนว่าจะเป็งานเลี้ยงเฉลิมฉลองที่พร้อมไปด้วยแผนสังหาร ตัวนางไม่อาจไปได้!
ทว่าหากนางไม่ไปจวินฮั่นหยิ่นจะคิดอย่างไรกัน? ละครของนางใกล้จะจบลงแล้ว นางไม่สามารถหยุดในตอนนี้ได้ นอกจากนี้คืออวิ้นกุ้ยเฟยเป็เ้าภาพในงานเลี้ยง หากนางไม่ให้เกียรติก็จะไม่รู้ว่าอวิ้นกุ้ยเฟยจะยัดเยียดโทษฐานอันใดมาให้นางอีก!
ต้องทราบเอาไว้ว่าบัตรเชิญภายในพระราชวังที่แม้จะบอกว่าเป็เพียงแค่บัตรเชิญ แต่ในความเป็จริงแล้วไม่ต่างอะไรกับคำสั่ง หากไม่ได้มีฐานะเทียบเท่ากับผู้จัดงานเลี้ยงจะไม่สามารถปฏิเสธได้
กูเฟยเยี่ยนกำลังครุ่นคิด แต่เซี่ยเสี่ยวหม่านกลับเอ่ยอีกครั้งว่า “เหอะ นังหนูน้อย ข้าพเ้าบอกแล้วว่าเ้ามีฝีมือ! เกรงว่านู๋ไฉทั่วทั้งเมืองคงจะมีเพียงแค่เ้าที่โชคดีได้รับจดหมายเชิญไปงานเลี้ยงภายในพระราชวัง เ้านี่นะ อาศัยความโชคดีของท่านแม่ทัพเฉิงอยู่รู้ไหม อิ่มอกอิ่มใจไปเถอะ! องค์ชายแปดคือผู้ที่เก่งกาจ พระองค์ไม่ใช่คนที่เ้าจะสามารถนึกถึงอยู่ตลอดเวลาได้ จงระวังว่าจะไม่ได้เจอแตงโมแล้วยังทำเมล็ดงาตกอีก”
ชัดเจนว่าเซี่ยเสี่ยวหม่านก็ได้ยินข่าวลือเ่าั้แล้ว
กูเฟยเยี่ยนมองเขาโดยไม่พูดอะไรออกมาระยะหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ความอิจฉาทำให้กลายเป็คนโง่! ”
เซี่ยเสี่ยวหม่านเกิดโทสะ “เ้า! เ้าพูดอีกทีซิ! ”
กูเฟยเยี่ยนไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเขา แล้วพูดด้วยความจริงจัง “เตี้ยนเซี่ยทราบหรือยัง? พระองค์จะเสด็จไปหรือไม่? ”
งานเลี้ยงแบบนี้ต้องเชิญจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยแน่นอน
นางทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ย เมื่อถึงเวลานั้นนางจะไปพร้อมจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยและกลับพร้อมจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ย ใครเล่าจะกล้าวางแผนต่อนาง? กูเฟยเยี่ยนลังเลครู่หนึ่งพลันเอ่ยถามอีกครั้ง “สองสามวันมานี้เตี้ยนเซี่ยไม่ได้อยู่ที่จวนใช่หรือไม่? ”
คราวก่อนที่นางถูกชิงตัวไปยังเพ้อฝันให้จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยเป็ห่วงเป็ใยนาง ในคราวนี้หลังจากที่กลับมาจากการถูกลักพาตัวที่สวนคีรีบุปผาจันทร์นางก็ไม่กล้าเพ้อฝันแล้ว
นางไม่ทราบด้วยว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยอยู่ในจวนหรือว่ายังไม่ได้กลับมาเลย นับั้แ่วันที่ทำให้เขาโกรธในศาลากุยอวิ๋น นางก็ไม่กล้าเริ่มไปหาเขาอีกเลย
อันที่จริงแล้วเซี่ยเสี่ยวหม่านไม่ทราบแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของหมางจ้ง ดังนั้นเขาจะไปทราบตารางงานของจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยได้อย่างไร เขาไอสองสามครั้งแล้ววางมาดขรึมตอบกลับไป “แพทย์หญิงกู ข้าพเ้าเคยพูดไว้หลายครั้งแล้วว่าตารางงานของเตี้ยนเซี่ยไม่ใช่สิ่งที่พวกเราคนรับใช้จะ…”
เซี่ยเสี่ยวหม่านยังพูดไม่ทันจบ กูเฟยเยี่ยนก็เดินออกไปแล้ว ใช่แล้ว เซี่ยเสี่ยวหม่านเคยพูดไว้หลายครั้ง นางฟังจนเบื่อเต็มที
แม้ว่าใจจะไม่สู้แต่เื่นี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของตนเอง ดังนั้นสองสามวันต่อจากนี้กูเฟยเยี่ยนจึงไปเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าห้องบรรทมของจวินจิ่วเฉิน นาง้าทราบว่าเขาอยู่ที่จวนหรือไม่ และ้าทราบว่าเขาจะไปงานเลี้ยงหรือไม่
แต่น่าเสียดายที่พบกับความผิดหวัง
จวบจนกระทั่งคืนวันงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง จวินจิ่วเฉินก็ยังไม่ปรากฏตัว
กูเฟยเยี่ยนเสียใจมาก หญิงสาวรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าโชคชะตาของตนเองกับดาวนำโชคอย่างจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยใกล้จะจบลงแล้ว
ทว่าถึงจะเสียใจแต่นางก็เรียกสมาธิคืนมาอย่างรวดเร็ว
ต่อให้คืนนี้เป็งานเลี้ยงเฉลิมฉลองที่พร้อมไปด้วยแผนสังหาร แต่กูเฟยเยี่ยนก็ไม่กลัว ไม่ว่าอวิ้นกุ้ยเฟยจะมีแผนการอะไร นางก็รับมือได้ทั้งหมด หากเจอเทพเ้าก็สังหารเทพเ้า หากเจอพระก็สังหารพระ!
กูเฟยเยี่ยนเตรียมตัวด้วยความตั้งใจ นางไม่ได้จัดเตรียมเสื้อผ้า ไม่ได้แต่งหน้า แต่จัดเตรียมเม็ดยา ยาพิษ และกริชป้องกันตัว
นางออกจากบ้านพักก่อนเวลาครึ่งชั่วยามเพื่อหลีกเลี่ยงเซี่ยเสี่ยวหม่านที่จู้จี้จุกจิกและหลีกเลี่ยงเฉิงอี้เฟยที่้ามารับนาง
่เวลาพลบค่ำ ดวงจันทร์ล่องลอยอยู่เหนือต้นหลิ่วเซา
ณ ตำหนักไท่จี๋ในพระราชวังมีแสงไฟแวววาวและผู้คนที่เดินเข้าเดินออกด้วยความสนุกสนาน
วันนี้เป็วันเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิด แม้ว่าผู้ที่ได้รับเชิญมางานเลี้ยงจะไม่เยอะ แต่ก็จัดงานอย่างใหญ่โตหรูหรา อวิ้นกุ้ยเฟยเข้าใจดีว่าเทียนอู่ฮ่องเต้โปรดปรานองค์ชายแปดมาก ไม่ว่านางจะปฏิบัติต่อจวินฮั่นหยิ่นอย่างไร แต่สิ่งของที่อยู่หน้างานล้วนไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่นิดเดียว
กูเฟยเยี่ยนมาถึงตรงเวลา ทันทีที่นางถูกขันทีพาเข้ามาในตำหนักก็พบเห็นว่าเหล่าแขกผู้มีเกียรติได้เข้ามาประจำตำแหน่งแล้ว งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้น
ที่นั่งในตำแหน่งหลักแบ่งเป็ด้านซ้ายกับด้านขวา อวิ้นกุ้ยเฟยอยู่ทางด้านซ้าย องค์ชายแปดจวินฮั่นหยิ่นอยู่ทางด้านขวา ด้านล่างของอวิ้นกุ้ยเฟยคือเหล่าองค์ชายใหญ่และเหล่าองค์หญิงองค์ชาย องค์หญิงหวายหนิงที่ถูกลดขั้นเป็สามัญชนก็มาด้วยเช่นกัน ในส่วนทางด้านล่างของจวินฮั่นหยิ่นนั้นมีเฉิงอี้เฟยเป็ผู้นำ ถัดจากเฉิงอี้เฟยถึงจะเป็ทายาทตระกูลสูงศักดิ์ตามด้วยตระกูลขุนนาง
กูเฟยเยี่ยนมองไปที่องค์ชายใหญ่กับองค์หญิงหวายหนิงแล้วมั่นใจขึ้นมากเรื่อยๆ ว่าคนที่เชิญนางมาคืออวิ้นกุ้ยเฟย
“แพทย์หญิงกูแห่งจิ้งหวางฝู่มาถึง! ”
ทันทีที่ขันทีขานชื่อ ผู้คนที่เดิมทีพูดคุยหัวเราะก็หยุดลงกะทันหันแล้วพร้อมใจกันหันมามอง คนส่วนใหญ่เกิดความตกตะลึงเพราะคิดไม่ถึงว่ากูเฟยเยี่ยนจะถูกเชิญมา! สำหรับสายตาขององค์หญิงหวายหนิงนั้น ไม่อาจใช้คำว่าชั่วร้ายได้แล้ว นี่มันเรียกได้ว่าคล้ายกับใบมีดที่สามารถสังหารคนได้
กูเฟยเยี่ยนมองผู้คนอยู่ในสายตา นางอึดอัดแต่ไม่ประหม่าและไม่หวาดกลัว ในเมื่อมาแล้วก็ต้องสงบนิ่ง!
นางจงใจหยิบจดหมายเชิญขึ้นมายื่นให้กับขันทีผู้รายงาน จากนั้นจึงเผยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปด้วยความสุภาพเรียบร้อย
ภายในห้องเกิดความเงียบสงัด ทุกคนล้วนจ้องมองไปที่กูเฟยเยี่ยน หญิงสาวยืดอกตัวตรงก้าวเข้าไปทีละก้าวด้วยความสง่างามจนไปถึงด้านหน้าที่นั่งหลักแล้วโน้มกายด้วยความไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งและก็ไม่ถ่อมตนจนดูต่ำต้อย “แพทย์หญิงกูเฟยเยี่ยนน้อมคารวะกุ้ยเฟยเหนียงเหนี่ยงเพคะ”
ดวงตาของอวิ้นกุ้ยเฟยทอประกายแห่งความคับแค้นใจ ไม่ช้าเสียงหัวเราะเยาะก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงาม นางแสร้งทำเป็ไม่เคยพบกูเฟยเยี่ยนมาก่อน “ที่แท้เ้าก็คือกูเฟยเยี่ยน! เงยหน้าขึ้นมาให้เปิ่นกงได้มองดีๆ หน่อย”
กูเฟยเยี่ยนไม่พอใจั้แ่ที่ได้รับเชิญมาแล้ว ครั้นได้ยินเช่นนี้นางจึงอารมณ์เสียมากขึ้นไปอีก
นางมาร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดของจวินฮั่นหยิ่น ไม่ได้มาคารวะอวิ้นกุ้ยเฟยโดยเฉพาะ การที่เขาจะมองนางดีๆ มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
กูเฟยเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม “กุ้ยเฟยเหนียงเหนี่ยงเป็ผู้สูงศักดิ์ที่มักจะลืมเื่ราวจริงเสียด้วย นู๋ปี้เคยพบกุ้ยเฟยเหนียงเหนี่ยงที่ห้องทรงพระอักษร กุ้ยเฟยเหนียงเหนี่ยงลืมไปแล้วหรือเพคะ? ”
———————-
เชิงอรรถ
[1] ปีที่ต้องทำพิธีสวมหมวก หมายถึง ประเพณีก้าวพ้นวัย ใช้แสดงว่าผู้ชายที่มีอายุ 20 ปีเติบโตจนอยู่ใน่วัยผู้ใหญ่แล้ว มีความหมายคล้ายคลึงกับพิธีปักปิ่นของผู้หญิง