รูม่านตาของจิ่งจื่อหดลงอย่างรุนแรงราวกับคิดอะไรออก “เช่น...เช่นนั้น กับครั้งที่แล้วก็...”
เหมือนกันเลยน่ะสิ
เหยียนเฟิงเกอหันหน้ามาอย่างรุนแรง “ครั้งที่แล้ว? ครั้งที่แล้วอะไร?”
ยังไม่ทันให้จิ่งจื่อได้อธิบาย อ๋าวหรานก็ไออย่างรุนแรงออกมาสองที เมื่อไอแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาก แววตาที่ถูกความเ็ปบดบังคู่นั้นค่อยๆ มีประกายขึ้นเล็กน้อย สว่างไสวแต่ก็บอบบางอ่อนแอดึงดูดผู้คน
เทียบกับความเ็ปครั้งที่แล้วที่มีมาเพียงครู่เดียว ครั้งนี้กลับนานกว่าเดิมถึงสิบกว่าวิและเจ็บมากกว่าครั้งก่อน ยังเป็ความรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบและกดไว้เช่นเดิม เจ็บจนมองเห็นทุกอย่างเป็สีขาวโพลน แต่สมองกลับชัดเจน อยากจะเป็ลมแต่ก็เป็ลมไม่ได้
หลังจากที่มองเห็นทุกอย่างกลับมาชัดเจนดังเดิม อ๋าวหรานก็พยายามฝืนลุกขึ้นนั่ง แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่หลังจากความเ็ปคือทำให้เขาอ่อนปวกเปียก ทำได้เพียงล้มลงไปในอ้อมแขนของจิ่งฝานอีกครั้ง มือทั้งสองข้างของเขาถูกจิ่งฝานกับเหยียนเฟิงเกอจับไว้คนละข้าง มือเรียวบางขาวซีดทั้งคู่สั่นน้อยๆ อย่างเย็นเฉียบ
สีหน้าที่เหมือนน้ำแข็งเย็นะเือยู่เสมอของเหยียนเฟิงเกอในที่สุดก็แตกร้าว เต็มไปด้วยความร้อนรน มือยังคงถ่ายทอดลมปราณให้อ๋าวหรานอย่างเอาเป็เอาตาย ปากก็เอาแต่พึมพำซ้ำไปซ้ำมาว่า “ศิษย์น้อง”
ั้แ่ที่ตระกูลอ๋าวเกิดเื่ขึ้นแล้วได้มาพบกับศิษย์น้องผู้นี้อีกครั้ง เหยียนเฟิงเกอก็พบว่าเขาเปลี่ยนไปมาก นิสัยที่ไม่ดีเช่นเมื่อก่อนไม่เหลืออยู่เลยแม้แต่อย่างเดียว เมื่อก่อนเขาดูถูกอ๋าวหรานมาโดยตลอด แต่อย่างไรเสียก็เป็ลูกชายของพ่อบุญธรรม เขาจึงยินดียอมโอนอ่อนให้เขา ดูแลเขาเพื่อให้เขาปลอดภัยไปทั้งชีวิต แต่ทว่าเมื่อได้มาพบกันอีกครั้งกลับตาลปัตรจากที่เขาคิดไปมาก ทุกอย่างล้วนเป็อ๋าวหรานที่ดูแลเขา เื่ต่างๆ ก็ล้วนมองการณ์ไกลยิ่งกว่าเขา
เหยียนเฟิงเกอถึงกับคิดว่าบางครั้งเขาก็คล้ายกับพ่อบุญธรรม ท่าทางราวกับผู้าุโ เห็นเขาเป็เด็กน้อย ไม่ว่าเื่อะไรล้วนคิดอย่างรอบคอบ แต่กลับไม่แสดงออกมา ภายนอกมักจะหัวเราะสนุกสนานเหมือนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
เหยียนเฟิงเกอไม่เคยยินดีจะทำเื่น่ากระดากอาย และเขาเองก็รู้ว่าอ๋าวหรานต้องไม่อยากให้เขาทำตัวกระดากอายแล้วพูดคำว่า ‘ขอบคุณ’ แน่ แต่ในใจเขาได้นับศิษย์น้องผู้นี้เป็ดั่งน้องชายแท้ๆ เรียบร้อยแล้ว และเขาก็อยากจะใช้ทั้งกายและใจปกป้องดูแลเขา
มือที่กุมไว้เย็นเฉียบ ไม่รู้ว่าเป็เพราะแรงสั่นค่อนข้างแรงหรือเป็เพราะตัวเหยียนเฟิงเกอกังวลจนสั่นไปด้วย เขารู้สึกว่าแทบจะกุมไว้ไม่อยู่แล้ว
อ๋าวหรานเห็นคนรอบตัววิตกกังวลก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ หลังจากความเ็ปหายไปแล้วก็รู้สึกสบายขึ้นเป็อย่างมาก ถึงจะยังมีความหวาดกลัวอยู่ก็ตาม “เอาละ อย่าทำสีหน้าอมทุกข์กันอีกเลย ข้าไม่เป็ไรแล้ว ไม่เจ็บแล้ว”
มือของจิ่งฝานที่ประคองหลังเขาอยู่หดกลับไปทันใด อ๋าวหรานไม่ทันระวัง เกือบจะหงายหลังลงไปแล้ว โชคดีที่จิ่งฝานรู้สึกตัวกลับมาแล้วรีบโอบเขาเข้ามาไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง
อ๋าวหรานคิ้วกระตุก มือยังถูกจับอยู่จึงทำได้เพียงออกแรงใช้ศีรษะที่ซบอยู่ที่อกจิ่งฝานโขกเข้าไปอย่างแรง ด้วยสีหน้าตัดพ้อ “ถึงจะไม่เจ็บแล้ว แต่อย่างน้อยเ้าประคองแล้วก็ประคองให้ถึงที่สุดสิ ปล่อยมือกะทันหันแบบนี้ได้อย่างไร”
จิ่งเซียงเห็นเขายังล้อเล่นได้อยู่อีกก็กดหน้าผากเขาแรงๆ “เ้าทำให้ข้าใแทบตาย!”
อ๋าวหรานยังคิดจะล้อเล่นอีก แต่เมื่อเห็นว่าในดวงตาของจิ่งเซียงมีน้ำตารื้นแล้วก็อดสะท้านใจไม่ได้ รีบทำท่าทางจริงจังขึ้น “จริงๆ แล้วไม่เป็อะไรมากหรอก ก็แค่จู่ๆ หัวใจก็เจ็บขึ้นมาพักหนึ่ง ตอนนี้หายแล้วจริงๆ”
จิ่งจื่อขมวดคิ้ว “เจ็บแบบครั้งที่แล้วหรือ?”
อ๋าวหรานพยักหน้า
จิ่งจื่อมีสีหน้าหนักอึ้ง “รู้สึกเหมือนจะนานกว่าครั้งที่แล้วอยู่สักหน่อย”
เหยียนเฟิงเกอแววตาหม่นหมอง “เมื่อก่อนก็เคยเป็เช่นนี้หรือ?”
อ๋าวหรานยังไม่ทันตอบ จิ่งจื่อก็พยักหน้า “ครั้งที่แล้วคือตอนอยู่ที่โรงเรียน แต่ดูไม่สาหัสเท่านี้”
อ๋าวหรานรู้สึกดีขึ้นมากแล้วจึงคิดอยากจะลุกขึ้นนั่งตรงๆ แต่กลับพบว่าถูกจิ่งฝานโอบไว้อย่างแแ่ในอ้อมแขน พยายามดึงดันอยู่พักหนึ่งก็ไม่หลุดจึงอดถอนหายใจไม่ได้ คาดว่าคนผู้นี้คงยังดึงสติกลับมาไม่ได้ พอดีเลย พิงเขาก็สบายดี ชายชาตรีผู้ไม่เคยคิดเปลี่ยนแนวอย่างอ๋าวหรานกลับขยับตัวหาที่พิงอย่างสบาย ผ่อนคลายทิ้งร่างลงไปพิงเขาอย่างมั่นคงโดยไม่รู้ว่าคนที่ถูกพิงแข็งค้างไปทั้งร่างแล้ว “ศิษย์พี่ ท่านไม่ต้องถ่ายลมปราณให้ข้าแล้ว ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว”
เหยียนเฟิงเกอเห็นว่าสีหน้าเขาดีขึ้นมากแล้วจริงๆ จึงค่อยๆ ถอนมือออก
จิ่งฝานยังคงร่างแข็งค้างอยู่เช่นเดิม เขาเคยอุ้มอ๋าวหรานมาหลายครั้งแล้ว เมื่อก่อนนั้นแทบจะทนไม่บดขยี้กระดูกของคนผู้นี้ไม่ไหว ทำให้เขาเ็ปจนไม่อยากอยู่ จะอยู่ก็ไม่ได้ จะตายก็ไม่ได้ ตอนที่อุ้มเขานั้น...เขาใช้ความอดทนอย่างที่สุดเพื่อจะได้ไม่ทำให้เขาเืสาดตรงนั้น
ภายหลังมากลับไม่เหมือนเดิมแล้ว ครั้งที่เขาถูกจิ่งเซิ้งวางยาและตอนที่อุ้มเขาไว้ ในใจมีความรู้สึกแปลกประหลาด เป็ความคับแค้นกับความรู้สึกประหลาดอื่นผสมปนเปเข้าด้วยกัน ไม่มีความคิดอยากจะทำให้เืสาดแต่อย่างใด เขารู้สึกแม้กระทั่งว่าอยากจะอุ้มให้นานกว่านี้
ครั้งนี้เขาโอบคนคนนี้ไว้ คนผู้นี้ปล่อยกายทั้งร่างลงบนร่างเขา ดูนุ่มนิ่มอ่อนแอ ชื้นเหงื่อเย็นน้อยๆ ร่างกายภายในอ้อมแขนของเขาดูบอบบางอย่างชัดเจน แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาใจสั่นมากยิ่งกว่าก็คือความเชื่อใจและพึ่งพิงอย่างเต็มที่นี้ ราวกับเชื่อใจเต็มร้อยและวางใจผู้อื่นอย่างไม่คิดจะป้องกันตัวเลยสักนิด
เวทีประลองทุกที่มีความสูงประมาณครึ่งตัวคน พวกจิ่งฝานล้วนเป็ผู้ฝึกวรยุทธ์ ะโแค่ทีเดียวก็ขึ้นไปได้อย่างสบาย อิ่นซีเิซึ่งไม่มีวรยุทธ์ทำได้เพียงวนไปที่บันไดแล้วรีบวิ่งขึ้นไปอย่างร้อนรน
ตอนที่ขึ้นมาถึงนั้น คนอื่นๆ ได้ล้อมตัวอ๋าวหรานไว้จนมิดแล้ว อิ่นซีเิจึงทำได้เพียงยืนเยื้องไปทางด้านหลัง นางเองก็รู้ว่าตัวเองไม่เป็ทั้งวรยุทธ์และวิชาแพทย์ ถึงเข้าไปก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูอย่างร้อนรน ไม่กล้าต่อบทสนทนา ตอนนี้เห็นว่าบรรยากาศเริ่มดีขึ้นมาบ้างแล้วจึงอดถามอย่างกังวลไม่ได้ว่า “คุณชายอ๋าวท่านป่วยหรือ?”
ตอนนี้จิ่งเซียงถึงเพิ่งมองเห็นนาง ความกังวลในน้ำเสียงยังไม่ลดลง “ตอนนี้ยังไม่รู้”
อ๋าวหรานไม่อาจทนมองสีหน้าอมทุกข์เช่นนี้ของนางได้จึงดึงแขนที่ถูกเหยียนเฟิงเกอกุมไว้ออกแล้วลูบหัวจิ่งเซียง “เ้าจะทุกข์ใจไปทำไม ตระกูลจิ่งมีหมอเทวดามากถึงเพียงนี้ จะรักษาข้าไม่ได้เชียวหรือ อีกอย่างก็ไม่ได้สาหัสเท่าไร อาจเป็เพราะได้รับาเ็ตอนอยู่ที่ตระกูลอ๋าวจึงยังไม่หายดี เป็ผลสืบเนื่องจากอาการาเ็นั่นแหละ”
จิ่งเซียงกัดริมฝีปาก “เื่นานเท่าไรแล้ว ผลสืบเนื่องนี่มาช้าเกินไปแล้วกระมัง?”
อ๋าวหรานหัวเราะฮ่าๆ ตีจิ่งเซียงเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจ และหาได้สนใจที่ตัวเองทิ้งตัวลงบนตัวผู้อื่นตั้งครึ่งตัวสักนิดไม่ แถมยังพูดอีกว่า “กลัวอันใด ไม่ใช่ว่ายังมีพี่เ้าอยู่หรือ? ถ้าเขารักษาข้าไม่ได้ ข้าก็จะทำตัวติดกับเขาไม่ปล่อย ฉายา ‘อัจฉริยะ’ ของเขาจะถูกเรียกเสียเปล่าไม่ได้ ข้าต้องให้โอกาสเขาได้แสดงฝีมือ”
พูดแล้วยังทำสีหน้าเหมือนป่วยเป็โรคมอสอง แสดงออกทางสีหน้าว่า ‘เ้าต้องสู้นะ กลุ่มเรา้าเ้า’ ทำให้ทั้งจิ่งเซียงและอิ่นซีเิหัวเราะออกมา
แขนข้างที่โอบอ๋าวหรานอยู่ของจิ่งฝานสั่นเล็กน้อย หัวใจเหมือนถูกอะไรบางอย่างตีขึ้นลงรอบหนึ่ง รู้สึกทรมานอย่างที่สุด
แผ่นหลังของอ๋าวหรานแนบอยู่กับแขนเขาจึงรับรู้ได้ถึงอาการสั่นสะท้านของจิ่งฝาน ในใจอดรู้สึกหม่นหมองลงไปไม่ได้ หากเป็เพราะร่างนี้ของตัวเองที่ควรจะตายไปแล้ว แต่ยังฝืนมีชีวิตอยู่ต่อไป การที่เปลี่ยนแปลงเนื้อเื่มากมายจึงต้องได้รับการลงโทษจากกฎเช่นนี้ เช่นนั้นแม้แต่จิ่งฝานเองก็คงรักษาไม่ได้กระมัง?
อาการเจ็บหัวใจของตนนี้...จริงๆ แล้วเกิดขึ้นได้อย่างไร?
อ๋าวหรานทางด้านนี้มีบางอย่างเกิดขึ้น จิ่งเหวินซานที่อยู่บนเวทีเองก็ร้อนรน เดิมทีการแอบควบคุมทำอะไรไม่ดีลับหลังนี้ก็ทำให้เขาร้อนตัวมากอยู่แล้ว กลับไม่คิดว่าจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้น ไม่พออ๋าวหรานยังล้มลงไปบนพื้นอีก ถึงแม้จะบอกว่าแค่คนตัวเล็กๆ ตายไปสักคนไม่ได้สำคัญอะไร แต่ท่ามกลางสายตาผู้คนเช่นนี้ หากสืบได้เื่อะไรขึ้นมา เช่นนั้นเขาคงต้องกินไม่หมด ใส่ห่อกลับไป1 แล้ว
เขาไม่กล้าฝากผู้อื่นไปจึงรีบแจ้งต่อจิ่งเฟิงกั๋วแล้วรีบวิ่งลงมาอย่างเร่งรีบ โชคดีที่ตอนนี้จิ่งเฟิงกั๋วกำลังสงสัยในตัวอ๋าวหรานอยู่พอดี จึงไม่พูดอะไร
ตอนที่จิ่งเหวินซานลงมานั้น อ๋าวหรานก็ดีขึ้นมากแล้ว แต่พอเห็นคนที่้าจะเอาชีวิตตัวเอง...มองมาด้วยสีหน้าห่วงกังวลแล้วก็รู้สึกราวกับกินอุจจาระเข้าไปก็ไม่ปาน
เดิมทีจิ่งเหวินซานเห็นอ๋าวหรานเหมือนจะอาการดีขึ้นแล้ว แต่พอเห็นตัวเองก็มีสีหน้าเหมือนจะตายคาที่อย่างไรอย่างนั้นก็รู้สึกร้อนใจเป็อย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่าเ้าหวาหวาชีที่ควบคุมกู่ไม่ได้ผู้นี้จะพูดอะไรที่ไม่สมควรออกไปหรอกกระมัง
จิ่งเหวินซานหัวเราะออกมาสองที เสแสร้งกังวล “เกิดอะไรขึ้น? หรือว่าาเ็แล้ว?”
พูดจบยังหันหน้าไปมองหวาหวาชี “แค่ประมือกันเท่านั้น จำไว้ว่าห้ามทำร้ายผู้อื่นถึงชีวิต”
ั้แ่ที่หวาหวาชีถูกจิ่งเซียงผลักจนล้มเขาก็เริ่มลนลานแล้ว โชคดีที่เขาไม่ได้ละเลยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคนั้นของพวกจิ่งจื่อ จึงรู้ชัดว่าอ๋าวหรานไม่ได้เป็เช่นนี้เป็ครั้งแรก คิดว่าคงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา อีกอย่างหวาหวาชีเองก็คุ้นเคยกับแมลงกู่ตระกูลตัวเองเป็อย่างดี เขาไม่มีทางสาดกู่พลาดแน่นอน
เมื่อรู้ว่าไม่เกี่ยวกับตัวเอง หวาหวาชีก็รีบใช้รูปลักษณ์ของตนให้เป็ประโยชน์อย่างเต็มที่ ใบหน้าเล็กๆ นั้นแฝงไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจกับความไม่อยากจะเชื่อ “ไม่ใช่ข้า เมื่อกี้พวกเขาเพิ่งพูดกันว่าเขาไม่ได้เป็เช่นนี้ครั้งแรก อีกอย่างอาวุธลับของข้าล้วนไม่โดนเขาเลย ไม่เกี่ยวกับข้า”
น่าเสียดายที่น้ำเสียงไม่ค่อยเข้ากับใบหน้าสักเท่าไร
จากนั้นจิ่งเหวินซานก็ใจกล้าขึ้นมาทันที หากเกี่ยวข้องกับหวาหวาชี เขาก็ต้องคิดหาวิธีปกป้องหวาหวาชี อย่างไรเสียพวกเขาสองคนก็เป็ตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน2 จิ่งเหวินซานที่มั่นใจขึ้นแล้ว...แม้แต่ความเป็ห่วงจอมปลอมก็คร้านจะแสดงอีก “ในเมื่อหลานอ๋าวเป็เช่นนี้มาั้แ่แรกก็หวังว่าจะไม่มาร่วมกิจกรรมที่อันตรายเช่นนี้อีก จะได้ไม่ทำให้ตัวเองาเ็ แล้วยังทำให้ผู้อื่นลำบากไปด้วย”
พูดจบก็กวาดสายตาไปยังจิ่งฝานทีหนึ่ง แล้วจึงกลับมาที่อ๋าวหราน ในสายตาแฝงแววเกลียดชังและดูถูก “หลานข้านี้มีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยม พอดีเ้าเองก็สนิทกับเขา ให้เขาช่วยรักษาเ้าแล้วกัน การประลองรอบหลัง หลานอ๋าวก็เอาเวลาไปรักษาตัวเถิด อย่าให้เกิดเื่ขึ้นอีก”
อ๋าวหรานมุมปากกระตุก หมดคำจะพูดอย่างสิ้นเชิง คนผู้นี้ไม่มีลักษณะท่าทางอันดีของคนที่เติบโตมาในตระกูลหมอเลยแม้แต่น้อย เปลี่ยนสีหน้าเร็วเกินไปแล้ว!
จิ่งเซียงเห็นอ๋าวหรานถูกริบสิทธิ์ในการประลองไปเสียเฉยๆ ก็โกรธขึ้นมาทันใด ลุกพรวดขึ้น “ท่านลุง อ๋าวหรานยังไม่แพ้เสียหน่อย เ้าเตี้ยนั่นสู้เขาไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เ้าเตี้ย “...”
ถูกแทงใจดำอย่างร้ายแรง
จิ่งเหวินซานหาได้สนใจไม่ หัวเราะเสียงเย็นออกมาทีหนึ่งราวกับคิดว่าจิ่งเซียงเป็แค่เด็กเล็กๆ ที่โวยวายอย่างไร้เหตุผล ในน้ำเสียงมีความเข้มงวดและเยาะหยัน “ข้าก็อยากให้หลานอ๋าวแข่ง แต่ร่างกายของหลานอ๋าวจะไหวหรือ? นี่ก็แค่คำแนะนำของข้าในฐานะหมอเท่านั้น”
อ๋าวหรานเห็นจิ่งเซียงโกรธจนตาแดงจึงรีบใช้แรงหยัดกายขึ้นจากอ้อมแขนของจิ่งฝาน กระตุกชายเสื้อจิ่งเซียงแล้วส่งสายตาไปทางจิ่งเหวินซาน พูดด้วยน้ำเสียงเ็าอยู่หลายส่วน “ท่านลุงวางใจ ร่างกายข้าข้าย่อมรู้ดี ในเมื่อการแข่งขันยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ เช่นนั้นก็ยังสามารถจัดประลองต่อไปได้ เกี่ยวกับที่ว่าข้าจะทนได้หรือไม่นั้นก็เป็เื่ของข้าแล้ว”
จิ่งเซียงมีสีหน้าเป็กังวล
จิ่งเหวินซานถูกแซะกลับก็รู้สึกโกรธขึ้นเล็กน้อย ถลึงตาใส่อ๋าวหรานไปทีหนึ่ง “เช่นนั้นหลานอ๋าวก็เชิญตามสบาย แต่ว่า...”
จิ่งเหวินซานหลุดยิ้ม แต่รอยยิ้มกลับลามไปไม่ถึงดวงตา “หากหลานอ๋าวเกิดเื่อะไรขึ้นอีก จะโทษว่าเป็ความผิดผู้อื่นไม่ได้หรอกนะ!”
อ๋าวหรานกำลังคิดจะพูดอะไรกลับถูกจิ่งฝานที่ด้านหลังดึงกลับเข้าไปในอ้อมแขน แผ่นหลังชนเข้ากับหน้าอกของจิ่งฝาน รู้สึกอุ่นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็ความอบอุ่นจากการที่ตัวเองซบเมื่อครู่หรือไม่
ถูกเขากอดเสียเต็มอ้อมแขน อ๋าวหรานอดหันศีรษะไปไม่ได้ มองจิ่งฝานอย่างสงสัย
สายตาของจิ่งฝานอยู่บนร่างของจิ่งเหวินซาน ในดวงตาไร้อุณหภูมิความอบอุ่นใดๆ ลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้น พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ไม่ต้องแข่งแล้ว ถอนตัวเสีย”
อ๋าวหรานแววตาเกิดความสงสัย “?”
จิ่งเซียง “?”
ส่วนจิ่งจื่อกลับมีสีหน้าร้อนรน “เพราะเหตุใด? จะให้ยอมแพ้ไปเฉยๆ ได้อย่างไร?”
กินไม่หมด ใส่ห่อกลับไป1 (吃不了,兜着走)เปรียบเทียบถึงการทำเื่ไม่ดี แล้วสุดท้ายก็ไม่อาจรับผลที่ตามมาไหว
เป็ตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน2 (是一条线上的蚂蚱)เปรียบเทียบกับคนสองคนที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ผู้ใดก็อย่าได้คิดผลักความรับผิดชอบออกจากตัว
