ด้านมู่หรงซานนั้นเขามุ่งหน้ามาที่โรงพนันเพื่อพบเจอกับสหายของตนได้สักพักหนึ่งแล้ว เดิมทีนัดกันว่าจะไปดูการแข่งขันกัดจิ้งหรีดเสียหน่อย แต่เขามาช้าไปการแข่งขันนั้นหมดไปเสียแล้ว เขายกจอกสุราขึ้นดื่ม ตอนนี้เขาได้นำเงินที่เหลือติดตัวเพียงสามร้อยตำลึง ซึ่งแอบเก็บเอาไว้ไม่ให้ภรรยารู้ เมื่อจ่ายค่าสุราแล้ว เขาก็นำมันไปแลกมาเล่นพนันเพิ่ม เมื่อเล่นแล้วเสียหมดมู่หรงซานก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเสียแล้ว
"เป็อันใด เห็นเ้าหายหัวไปหลายวันเลยสหายรัก"
"นั่นสิ ข้าคิดว่าเ้าจะเอาแต่อยู่กับภรรยาคนงามเสียอีก"
มู่หรงซานหันไปมองสหายรักสองคนคราหนึ่ง สหายของเขาคนแรกมีนามว่าหวังเจี้ยน เป็บุตรชายของคหบดีเช่นกัน แต่ฐานะร่ำรวยกว่าเขาไม่น้อย ส่วนอีกคนมีนามว่าจ้าวจิ้น เขาเป็บุตรชายของท่านหมอผู้หนึ่งที่มีชื่อเสียง คนทั้งสามคบหากันเป็สหาย เพราะอยู่ในฐานะระดับเดียวกัน ไม่ได้คบหาพวกลูกขุนนางที่มากพิธีเ่าั้
"พูดมากจริง มีให้ข้ายืมสักพันตำลึงหรือไม่อาเจี้ยน แล้วข้าจะหาทางเอามาคืน"
หวังเจี้ยนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าไปมาคราหนึ่ง ก่อนจะตอบ
"ไม่มีหรอก ท่านพ่อท่านแม่ข้าก็ตัดเงินข้าเช่นกัน เขาให้ข้าใช้จำกัด นี่อาซาน เ้าก็อย่าวางมาดนักเลย ไปประจบพ่อแม่เ้าเสียหน่อย รับรองของในเรือนใหญ่ขายได้เงินเยอะแน่ๆ"
จ้าวจิ้นที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยื่นมือไปตบศีรษะของหวังเจี้ยน ก่อนจะเอ่ย
"เ้าก็แนะนำเขาดีๆ หน่อยเถิด"
ดูเหมือนว่าทั้งสามคนนี้จ้าวจิ้นจะเป็ผู้เป็คนมากที่สุดแล้ว เขาพยายามเตือนสหายว่าให้เล่นแต่พอดี แต่สหายรักของเขาทั้งสองคนก็ไม่ฟัง ทั้งที่มู่หรงซานแต่งงานไปก่อนใคร เขาก็ยังไม่เอาการเอางาน
มู่หรงซานขบริมฝีปากตนเองแน่น ก่อนจะเอ่ย
"ข้าไม่อยากขอเงินจากท่านพ่อท่านแม่หรอก บ่นข้าอยู่นั่น พูดมากจริงๆ ระยะหลังมานี้จือจือก็ชอบทุบตีข้า ั้แ่นางฟื้นจากความตายครั้งนั้นก็ดูแปลกไปเลย"
หวังเจี้ยนและจ้าวจิ้นที่ได้ยินเช่นนั้นก็มองหน้าทันที เื่ราวในบ้านของมู่หรงซานมีหรือพวกเขาจะไม่รู้ มู่หรงซานถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ยต่อ
"วันๆ นางเอาแต่กักขังข้า สุราก็ไม่ได้ดื่ม ข้าจะลงแดงตายอยู่แล้ว นี่พวกเ้ารู้ไหม หากนางไม่ชวนข้าออกมาซื้อของวันนี้ ข้าคงไม่ได้ออกมาพบกับสหายรักเช่นพวกเ้า คิดดูนะ อยู่ๆ นางก็อยากจะทำนั่นนี่เพื่อให้ท่านพ่อท่านแม่ของข้าไว้วางใจ อยู่ดีๆ ก็ลุกขึ้นมาทำงานเช่นนี้ ประหลาดไหมล่ะ แล้วยังบอกว่าก่อนจะฟื้นนางฝันว่าพบเจอเทพเ้า เทพเ้าบอกกับนางว่าตีข้าแล้วจะดี เทพเ้าบ้าบออันใดกัน!!!"
จ้าวจิ้นไม่เอ่ยอะไร แต่กลับเป็หวังเจี้ยนที่เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"อาซาน มิใช่ว่าจือจือของเ้าถูกผีเข้าสิงหรอกหรือ ข้าเคยพบเจอเื่พวกนี้มามาก"
"เ้าเหลวไหลแล้วอาเจี้ยน"
จ้าวจิ้นรีบเอ่ยห้ามปรามทันที แต่หวังเจี้ยนกลับยังไม่ยอมหยุด
"จริงๆ นะอาซาน วันก่อนภรรยาของขุนนางผู้หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากจวนของข้ามีอาการแปลกๆ ไป โชคดีมีไต้ซือผู้หนึ่งมาช่วยไว้ ยามนี้ไต้ซือผู้นั้นยังพักอยู่ในเมืองหลวง ได้ยินว่าอยู่ที่บ้านขุนนางตระกูลหยาง เ้าจะพานางไปดักรอเขาไหม เผื่อเขาจะช่วยได้ เอาอย่างนี้ ข้าจะส่งคนไปดักรอไต้ซือผู้นั้นก่อนก็แล้วกัน"
มู่หรงซานมีสีหน้าครุ่นคิด หลายวันมานี้หลี่จื่อเวยเปลี่ยนไปมากจริงๆ บางคราอาจถูกิญญาครอบงำได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงตกปากรับคำกับหวังเจี้ยนในทันที ก่อนที่คนทั้งสามจะเดินออกมาจากโรงพนันพร้อมกัน
เมื่อเดินออกมาก็พบกับหลี่จื่อเวยที่เดินมาพอดี แววตาที่นางมองเขาทั้งดุดันและเ็า มู่หรงซานยิ้มตาหยี ก่อนจะเดินเข้าไปจับมือของหลี่จื่อเวยเอาไว้
"จือจือยอดรัก ข้าเพียงมาพบสหายเท่านั้น"
หลี่จื่อเวยไม่อยากจะทุบตีเขานอกจวน นางอุตส่าห์เดินหาของเอาไว้ต่อทุน แต่สามีตัวดีกลับมาทำเช่นนี้เสียได้!!!
มู่หรงซานที่เห็นว่าภรรยาที่รักไม่ได้เอ่ยวาจาด่าทอ เขาจึงชวนนางไปพบไต้ซือทันที ก่อนหน้านี้หวังเจี้ยนส่งคนไปดักรอแล้ว พบว่าไต้ซือผู้นั้นกำลังจะออกมาจากตระกูลหยางพอดี
หลี่จื่อเวยยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดก็ถูกมู่หรงซานพาตัวไปแล้ว เขาพานางมาที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง ได้ยินว่าภัตตาคารแห่งนี้เป็ภัตตาคารของตระกูลมู่หรง ได้มาเห็นกับตาก็พบว่ามันค่อนข้างใหญ่โตไม่น้อย เพียงเวลาไม่นานมู่หรงซานและสหายก็จัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมสรรพ เมื่อเดินขึ้นมาที่ห้องชั้นบนก็พบกับไต้ซือชราผู้หนึ่งที่กำลังนั่งรออยู่ เมื่อเห็นพวกเขาก็ยิ้มขึ้นมา และมองมาที่หลี่จื่อเวย
"นี่ใช่หรือไม่ ภรรยาที่คนของเ้าบอกว่าถูกผีเข้าสิงจนเปลี่ยนไปน่ะ"
หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองมู่หรงซาน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ
"นี่ท่านหาว่าข้าถูกผีเข้าหรือ"
มู่หรงซานได้แต่ยิ้มแห้ง หลี่จื่อเวยรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เดิมทีมันก็คงจะเป็เช่นนั้นเพราะว่านางทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้ แต่นางไม่ใช่ผี นางแค่ทะลุมิติมาต่างหาก
ไต้ซือเดินเข้ามาหาหลี่จื่อเวย ก่อนจะพิจารณามองนางและเอ่ยขึ้นมา
"ไอหยา ผีตนนี้อาฆาตแรงมาก ข้าจะทำพิธีปัดเป่าให้เอง แต่ต้องใช้ตำลึงเยอะหน่อย ข้าคิดในราคาคนกันเอง สามพันตำลึงก็พอ"
หลี่จื่อเวยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมา นี่มันไต้ซือจอมลวงโลกชัดๆ มู่หรงซานนะมู่หรงซาน โง่เง่าเสียจริง นางไม่คิดมาก่อนเลยว่าเขาจะโง่บัดซบได้ถึงเพียงนี้
ไต้ซือชรายกไม้เท้าขึ้นมา ยังไม่ทันจะได้ทำอันใด ก็โดนหลี่จื่อเวยชกหน้าเข้าให้จนเซถลา ก่อนจะะโถีบซ้ำจนไต้ซือชราร้องโอดครวญ สหายรักทั้งสามมองหน้ากันไปมาด้วยความตื่นตระหนก
"ค่าจ้างสามพันตำลึง ดูแล้วมันแพงไปนะ เ้าไปหลอกสำเร็จมากี่คนแล้วล่ะ คิดจะมาหลอกตบตาข้าฝันไปเถอะ ข้าไม่โง่เหมือนคนอื่นหรอกนะ ไสหัวไป อย่ามายุ่งกับข้า มิเช่นนั้นเ้านั่นแหละที่จะเป็ผีแทน!!! อ้อ จับตัวส่งทางการดีกว่า จะได้ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอีก"
ไต้ซือชราจ้องมองหลี่จื่อเวยด้วยความหวาดกลัว ไม่คาดคิดว่าจะมีคนมองออกว่าเขาเป็เพียงนักต้มตุ๋น ไปดีกว่า อยู่ไม่ได้แล้ว!!
ไต้ซือชราอาศัยทีเผลอรีบหลบหนีไปทันที แต่ท้ายที่สุดวันหนึ่งเขาก็ถูกจับเข้าคุกไปจนได้
หลี่จื่อเวยหันกลับมามองมู่หรงซาน ก่อนจะเอ่ยกับเขา
"กลับจวน"
มู่หรงซานหลับตาลงช้าๆ รู้สึกได้ถึงสัญญาณอันตราย เมื่อกลับมาที่จวนก็เป็เช่นนั้นจริงๆ เขาถูกนางทุบตีจนนอนติดเตียงไปหลายวัน