“เย่เฟิง?”
ชายหล่อเหลาผู้นั้นเผยสีหน้าเ็า และเอ่ยถามขึ้นว่า “มาจากที่ใด”
เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “อาณาจักรจ้าว”
“อาณาจักรจ้าว” ทั้งห้าคนมองหน้ากัน ดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินคำว่าอาณาจักรจ้าว
“พี่หยวน อาณาจักรจ้าวคือที่ใดหรือ? ทำไมข้าไม่เคยได้ยิน?” ชายหล่อเหลาผู้นั้นเอ่ยถามชายแซ่หยวน
“ข้าก็ไม่เคยได้ยิน” ชายแซ่หยวนส่ายหัว
“ดูเหมือนจะเป็อาณาจักรเล็ก ๆ ในแดนชิงอวิ๋น ข้าเคยได้ยินผู้าุโพูดถึง” ชายผอมบางกล่าวขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลน
“อาณาจักรเล็ก ๆ ในแดนชิงอวิ๋น?” ชายผู้หล่อเหลาขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเผยสีหน้าสนใจ แล้วกล่าวกับเย่เฟิงว่า “เ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด?”
“ไม่ทราบ” เย่เฟิงกล่าวขณะที่คนเ่าั้มองเขาด้วยสายตาดูแคลน
“ที่นี่คือเทือกเขาเทียนซีในแดนจิ่วโยวแห่งจักรวรรดิจิ่วโยว ส่วนแดนชิงอวิ๋นที่เ้าอยู่เป็ดินแดนไร้อารยธรรมที่อยู่ห่างไกลที่สุดของจักรวรรดิจิ่วโยว” ชายผู้หล่อเหลากล่าวด้วยสีหน้าดูถูกและโอหังก่อนพูดต่อไป “ในเมื่อเ้าบอกมาจากอาณาจักรเล็ก ๆ ที่ไม่เข้าตานั่น เช่นนั้นข้าก็อยากรู้ว่าเ้ามาทำอะไรที่นี่?”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ใ เขาอยู่ในอาณาจักรจ้าวมาั้แ่เกิดและยังไม่เคยออกนอกอาณาจักรมาก่อน จึงยิ่งไม่เคยได้ยินแดนจิ่วโยวและจักรวรรดิจิ่วโยว อีกอย่างเขารู้ว่ารอบ ๆ อาณาจักรจ้าวนั้นยังมีเพื่อนบ้านอีกหลายอาณาจักร แต่ดินแดนนอกอาณาจักรเหล่านี้คือที่ใด เขาไม่เคยทราบมาก่อน หรือกล่าวได้ว่าเย่เฟิงรู้เพียงว่าอาณาจักรตนอยู่ในแดนชิงอวิ๋นเท่านั้น
แดนชิงอวิ๋นนั้นเป็การรวมกลุ่มของเจ็ดอาณาจักร นั่นคืออาณาจักรจ้าว อาณาจักรเว่ย อาณาจักรฉี อาณาจักรเหลียง อาณาจักรเฉิน อาณาจักรอู๋ และอาณาจักรซ่ง ซึ่งเป็ดินแดนเล็ก ๆ ที่อยู่ในจักรวรรดิจิ่วโยว เช่นนั้นจักรวรรดิจิ่วโยวกว้างใหญ่เพียงใด? แล้วนอกจักรวรรดิจิ่วโยวคือที่ใด?
เมื่อฉุกคิดได้เช่นนี้เย่เฟิงก็ยิ่งใ เขาไม่รู้ว่าโลกที่ตัวเองเกิดมาเป็แบบไหน แล้วยิ่งใหญ่มากเพียงใด?
เบื้องหน้าจักรวรรดิจิ่วโยว อาณาจักรจ้าวเล็กลงถนัดตาจนแทบเปรียบเทียบไม่ได้ และอาณาจักรเล็ก ๆ ก็ถูกเหล่าผู้ฝึกยุทธ์จักรวรรดิจิ่วโยวเรียกว่าดินแดนไร้อารยธรรม
“เ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือไง?” ชายหล่อเหลาเห็นเย่เฟิงเงียบกริบก็เกิดโมโหขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะขึ้นเสียงใส่เย่เฟิงเช่นนั้น
“ดูเหมือนว่านี่จะไม่เกี่ยวข้องกับใต้เท้า ไยต้องถามเล่า?” เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ชอบให้ใครมาวางอำนาจบาตรใหญ่ แม้อีกฝ่ายจะเป็อัจฉริยะจากดินแดนไกลพ้นก็ตาม
“ฮ่า ๆ ๆ” ได้ยินคำพูดของเย่เฟิงก็มีคนหนึ่งะเิหัวเราะ จากนั้นกล่าวกับชายผู้หล่อเหลาคนนั้นว่า “พี่ม่อหลี่ เขาไม่ให้เกียรติเ้า”
ประโยคนี้เป็การเติมเชื้อเพลิงให้ไฟลุกลามอย่างเห็นได้ชัด
“ก็แค่สวะขั้นรวมชี่ที่ 5 พี่ม่อหลี่จะไปเสวนากับเขาทำไม? ฆ่าเขาก็พอ” ชายชุดเพลิงดูเหมือนจะรำคาญ ในความคิดของเขา การสังหารผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 5 ดีดนิ้วก็ทำได้แล้ว ไยต้องพล่ามไร้สาระมากขนาดนั้น
“เห็นหรือยัง เขาให้ข้าฆ่าเ้า แล้วเ้าจะทำยังไงล่ะทีนี้?” ชายหล่อเหลาผู้นั้นกล่าว
“เ้าจะฆ่าข้า แล้วข้าจะทำอะไรได้?” เย่เฟิงแสยะยิ้มพร้อมดวงตาเผยประกายคมกริบ เขาััได้ถึงเจตนาไม่ดีของคนเหล่านี้ บางทีในสายตาของพวกเขา อาณาจักรจ้าวก็เป็เพียงดินแดนไร้อารยธรรมเท่านั้น
“คุกเข่าขอโทษข้าซะ ข้าอาจไว้ชีวิตเ้า เป็ไง?” ชายหล่อเหลาผู้นั้นกล่าว
“เลิกเล่นได้แล้ว อย่าลืมเป้าหมายของพวกเรา ผลึกิญญาก็ไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาง่าย ๆ” ขณะนั้นหญิงสาวที่เงียบมาตลอดก็ได้พูดออกมา จากนั้นนางกวาดตามองเย่เฟิง แล้วกล่าวกับอีกสี่คนว่า “เพิ่มมาหนึ่งคน พลังก็เพิ่มอีกหนึ่ง คนคนนี้อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 5 ไม่สู้ให้เขามาร่วมเดินทางกับเรา เช่นนี้เวลาเจออันตรายจะได้มีคนช่วย”
ชายทั้งสี่ได้ยินเช่นนั้นก็กะพริบตาปริบ ๆ พวกเขามองไปที่เย่เฟิง แล้วเห็นชายชุดเพลิงเหยียดยิ้ม “คนที่มาจากดินแดนไร้อารยธรรมจะมีประโยชน์อะไร?”
“ใช่! เขาไปกับพวกเรามีแต่จะเป็ตัวถ่วงเปล่า ๆ” ชายอีกคนกล่าว
ชายหล่อเหลาผู้นั้นยิ้มเย้ยหยันและไม่พูดอะไร แต่สีหน้าท่าทางก็แสดงสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจแล้ว
“ข้าว่าศิษย์น้องเมิ่งพูดมามีเหตุผล แม้คนคนนี้จะมีพลังต่ำต้อย แต่อาจมีประโยชน์ ข้าว่าให้เขาไปกับพวกเราเถอะ”
ชายสามคนต่างดูถูกเย่เฟิง แต่ชายแซ่หยวนกลับเห็นด้วยกับข้อเสนอของหญิงสาวผู้นั้น จากนั้นชายสามคนนั้นมองหน้ากัน ก่อนที่ชายผู้หล่อเหลาจะพูดขึ้นว่า “ในเมื่อพี่หยวนพูดเช่นนี้ ให้คนคนนี้ติดตามก็ไม่เป็ไร”
ส่วนชายอีกสองคนก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของชายแซ่หยวน
“ไป!”
ชายแซ่หยวนนำทางไปก่อน พวกเขามาที่นี่ล้วนมีเป้าหมายชัดเจน ดังนั้นจึงไม่อยากเสียเวลา ชายหล่อเหลาและชายชุดเพลิงปรายตามองเย่เฟิงแวบหนึ่งก่อนจะเดินตามไป
“พวกเราไปกันเถอะ ไม่งั้นจะถูกทิ้งเอาได้” หญิงสาวเหลือบมองเย่เฟิงก่อนจะเดินตามไปโดยไม่สนใจเย่เฟิง บางทีในสายตาของพวกเขา เย่เฟิงเป็เพียงมดแมลงตัวเล็ก ๆ ที่ไร้ค่า
ในความเป็จริง ด้วยความเร็วของเย่เฟิง หากคิดฉวยโอกาสนี้หนีไป ห้าคนนั้นก็ไม่มีทางไล่ตามเขาทัน แต่เย่เฟิงกลับไม่คิดหนี เขาเดินตามหญิงสาวไป โดยที่เขารู้สึกสนใจผลึกิญญาที่ห้าคนนั้นพูดมา จึงอยากดูว่าของสิ่งนั้นคืออะไร
“เ้ามาจากอาณาจักรจ้าวจริง ๆ หรือ?” ครู่ต่อมาหญิงสาวหันมามองเย่เฟิงแล้วซักถามด้วยความสงสัย
“ใช่” เย่เฟิงพยักหน้า
“ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าเ้ามาทำอะไรที่นี่ บอกข้าจะได้หรือไม่?” หญิงสาวเอ่ยถามพลางกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนพูดต่อว่า “หากเ้าไม่อยากพูดข้าก็จะไม่บีบคั้นเ้า”
“ถ้าข้าบอกว่าตอนเคลื่อนย้ายมิติแล้วมาเจอมิตินี้ล่ะ เ้าเชื่อไหม?” เย่เฟิงกล่าว โดยที่ไม่บอกความจริงกับอีกฝ่าย
“เชื่อ” หญิงสาวพยักหน้า แม้นางจะไม่อยากให้คนเ่าั้ดูถูกเย่เฟิง แต่ความหยิ่งผยองมันอยู่ในสายเื จะพูดกับคนนิรนามที่มาจากดินแดนไร้อารยธรรมได้อย่างไร
นางเพียงสงสัยเย่เฟิงก็เท่านั้น
“ข้ามีคำถาม แม่นางจะคลายความสงสัยให้ข้าได้หรือไม่?” เย่เฟิงเอ่ยถามหญิงสาว ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ช่วยเขาไว้เมื่อครู่นี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีจุดประสงค์อะไร เมื่อเทียบกับชายสี่คนนั้น สุดท้ายนางสามารถแก้ไขปัญหาชั่วคราวได้เสมอ เย่เฟิงจึงไม่ได้รังเกียจหญิงผู้นี้
“ว่ามาสิ” หญิงสาวกล่าวโดยไม่หันไปมองเย่เฟิง
“สี่คนนั้นเป็ใคร แล้วแม่นางเป็อะไรกับพวกเขา?” เย่เฟิงเอ่ยถาม
หญิงสาวหันไปมองเย่เฟิงพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ชายหล่อเหลาคนนั้นมีนามว่าม่อหลี่ มาจากวังเทียนสุ่ยแห่งจักรวรรดิจิ่วโยว เป็บุตรของผู้าุโในวังเทียนสุ่ย คนที่ใส่ชุดเพลิงมีนามว่าชิงเหยียน เขามาจากสำนักเพลิงชาด เป็บุตรของผู้าุโในสำนักเช่นกัน ชายที่มีร่างผอมบางมาจากนิกายจื่อเจี๋ย เป็ศิษย์สายตรงของผู้าุโในนิกายท่านหนึ่ง ส่วนคนที่ถือค้อนมีนามว่าหยวนป้าเทียน เป็เซิ่งจื่อแห่งตำหนักเสวียนยื่อ ข้าเป็เพียงพันธมิตรกับพวกเขาในการเดินทางครั้งนี้”
หญิงสาวแนะนำให้เย่เฟิงอย่างละเอียด เมื่อเย่เฟิงได้ยินชื่อกองกำลังที่ไม่คุ้นหูเหล่านี้ก็รู้สึกมึนงง แต่เขารู้ว่ากองกำลังเหล่านี้จะต้องเป็กองกำลังที่ทรงอิทธิพลและไม่ธรรมดาของจักรวรรดิจิ่วโยว
“แล้วเ้าล่ะ?” เย่เฟิงเอ่ยถามอีกครั้ง
“ข้ามาจากหมู่บ้านหานเสวี่ย มีนามว่าเมิ่งยวี่ฉิง” หญิงสาวกล่าวเสียงนิ่งเรียบ
“ข้าไม่เคยได้ยินชื่อกองกำลังเหล่านี้มาก่อน ว่าแต่พวกเขาแข็งแกร่งมากแค่ไหน แล้วอยู่ระดับอะไร?” เย่เฟิงเอ่ยถาม แม้เขาจะรู้ว่ากองกำลังเหล่านี้ไม่ธรรมดา แต่ความจริงเป็อย่างไร เขากลับไม่รู้แน่ชัด
