เซียวเจวี๋ยที่ใบหน้าแดงก่ำทั้งหน้า โดยเฉพาะเมื่อมองรูปเต่าบนหน้าซีกซ้ายก็ยิ่งน่าขบขันเป็พิเศษ
มุมปากของชิวอวี่กระตุก แต่เมื่อคิดได้ว่างานชิ้นเอกชิ้นนี้มีเพียงแค่ใครบางคนเท่านั้นที่จะรังสรรค์ขึ้นมาได้ เขาก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมาหน่อยๆ
วินาทีต่อมา เขาก็เห็นชิงอีเดินอาดๆ เข้าไปเตะอีกฝ่าย
ชิวอวี่ขมวดคิ้ว
องค์หญิงช่างโเี้เสียจริง
เซ่อเจิ้งอ๋องค่อยๆ ปรือตาขึ้น แววตาพร่ามัวและยังคงสับสนอยู่เล็กน้อย “เป็อะไรหรือ?” เขายกมือปิดปากหาวจึงได้รู้ว่าใครยืนอยู่ตรงหน้าแล้วเอ่ยถาม “มีเื่อะไรหรือ?”
ชิงอีที่เห็นแววตาง่วงงุนก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้ม “ครั้งนี้เซ่อเจิ้งอ๋องช่างหลับลึกเสียจริง”
“นั่นสิ เหตุใดจู่ๆ ข้าถึงผล็อยหลับไปได้” เซียวเจวี๋ยขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางขยี้ตา ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักถึงความผิดปกติ เมื่อแบมือออกก็พบว่าปลายนิ้วเลอะสีแดงไปทั่ว
เขามองผ่านชิงอีไปที่ประตู ชิวอวี่จึงก้มหน้าลงมองเท้าของตนเองในทันทีเพื่อซ่อนรอยยิ้มของตน
ต้านเสวี่ยและเถาเซียงที่ตามมาติดๆ ได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็แข็งทื่อ
ปฏิกิริยาของพวกเขาทำให้เซียวเจวี๋ยรู้ว่ามีสิ่งผิดปกตินั้นอยู่บนใบหน้าตัวเอง เขาหันไปจ้องชิงอีด้วยรอยยิ้มโดยไม่โกรธเคืองใดๆ “ใจร้าย”
ชิงอีเลิกคิ้ว “ตอนนี้ท่านดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะ ท่านควรจะขอบคุณข้าสิ?”
ขอบคุณ?
เซียวเจวี๋ยหลุดยิ้มแล้วลุกขึ้นสั่งให้ต้านเสวี่ยและคนอื่นๆ ที่อยู่นอกประตูให้ไปเอาน้ำมา
“จะล้างหน้าก็ไปตักน้ำมาล้างเองสิ นางกำนัลของข้าท่านจะมาสั่งตามอำเภอใจได้อย่างไร”
“ก็ได้” เซียวเจวี๋ยยังคงยิ้มอารมณ์ดีและเดินออกไปตักน้ำด้วยตัวเอง
ทุกคนที่อยู่นอกประตูต่างมองด้วยความพิศวง นี่คือเซ่อเจิ้งอ๋อง เทพแห่งาที่ในสมรภูมิรบสามารถสังหารผู้คนเพียงชั่วพริบตากลับยอมทำตามคำสั่งของนางได้ง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ
ชิงอีจ้องมองแผ่นหลังของเขาด้วยสีหน้ายากจะคาดเดา
“หลิงเฟิงกับฉู่สือล่ะ?”
“พวกเขาสองคนยังหลับอยู่เพคะ เมื่อครู่หม่อมฉันลืมไปเรียกพวกเขา” เถาเซียงตอบ
ชิงอีรำพึงในใจว่านางรู้สึกถึงความผิดปกติอยู่ตลอด
หนุ่มน้อยเซียวเจวี๋ยผู้นี้ ในตัวของเขามีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่?
ณ สวนข้างหลัง เซียวเจวี๋ยยืนอยู่ข้างโอ่งเก็บน้ำและมองใบหน้าที่เลอะเทอะของตนเองพร้อมกับรอยยิ้มสดใส ช่างเป็แมวป่าขี้อิจฉาจริงๆ บทจะแก้แค้นขึ้นมาก็ไม่ปล่อยให้พักหายใจเลย
หลังจากล้างสีแดงบนหน้าออกไปแล้ว เซียวเจวี๋ยรู้สึกกระหายน้ำจึงเดินไปข้างบ่อน้ำเพื่อตักน้ำ พลันเขาก็หยุดฝีเท้าลง เขาคุกเข่าลงพร้อมดวงตาที่ไหววูบ แล้วโน้มตัวไปมองในบ่อน้ำ
บ่อน้ำลึกจนไม่เห็นก้นบ่อ ผิวน้ำอันนิ่งสงบใต้แสงจันทราทำหน้าที่คล้ายกระจกเงา ซึ่งมันกำลังสะท้อนเงาของเซียวเจวี๋ย
จ๋อม
ก้อนหินที่ตกลงไปก่อให้เกิดคลื่นน้ำ ภายใต้ระลอกคลื่นเผยให้เห็นใบหน้าขาวซีดที่มีดวงตาเบิกกว้าง แล้วดวงตาสองคู่ก็สบเข้าหากัน
...
“แหวะ”
หลังจากศพในบ่อน้ำถูกนำขึ้นมา คนไม่น้อยก็พากันคายของเก่ากันเป็แถว
ตอนแรกเหล่าองครักษ์คิดว่าพวกเขาโชคดีที่ไม่ต้องดื่มน้ำจากซากศพ แต่เมื่อนึกได้ว่าตนเองอาจดื่มน้ำในบ่อนี้เข้าไปก็เริ่มมีสีหน้าไม่ค่อยจะดีนักและอดรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนไม่ได้
ศพที่เพิ่งนำขึ้นมาคาดว่าน่าจะตายมานานแล้ว แต่กลับยังไม่เน่าเปื่อยสักนิด ยามมองใบหน้านั้นก็รู้สึกขนพองสยองเกล้า
นี่มันวั่งจีไม่ใช่หรือ?!
เหตุใดวั่งจีถึงมีสองคนล่ะ?
ในคืนนี้มันเกิดอะไรเกิดขึ้นกันแน่ เซียวเจวี๋ยฟังชิวอวี่รายงานเกี่ยวกับเื่นี้เกือบทั้งหมดก็สั่งให้คนไปเรียกสามเณรน้อยเ่าั้มาทันที
“พระ พระอาจารย์วั่งจี?!”
“เป็ไปได้อย่างไร เหตุใดอยู่ดีๆ พวกท่านต้องฆ่าคนด้วย...”
เหล่าสามเณรน้อยร้องไห้ทันที
“เฮ้อ พวกเ้าดูให้ดีๆ สิ คนผู้นี้ตายอยู่ใต้บ่อน้ำนี้ไปตั้งนานแล้ว” หลิงเฟิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “คนผู้นี้คือวั่งจีตัวจริงใช่หรือไม่? เช่นนั้นผู้ชายที่อยู่กับพวกเ้าเมื่อตอนกลางวันคือใครกัน?”
สามเณรน้อยมองหน้ากัน แล้วหนึ่งในนั้นก็นึกบางอย่างออกจึงเดินดุ่มๆ ไปพับแขนเสื้อของศพขึ้น แล้วปล่อยโฮ “เขาคือพระอาจารย์วั่งจีจริงๆ รอยแผลเป็นี้ เป็ข้าที่ทำให้เขาาเ็โดยบังเอิญเมื่อหลายปีก่อน”
“คนที่ตายไปแล้วคือวั่งจี เช่นนั้นคนที่ยังมีชีวิตอยู่คือใครล่ะ?”
“ข้ารู้แล้ว! เป็เขา ต้องเป็เขาแน่ๆ!” สามเณรน้อยที่กำลังร้องไห้อยู่เงยหน้าขึ้น “มีฆราวาสชายมาที่นี่เมื่อหนึ่งปีก่อนและบอกว่าเขาเป็น้องชายของพระอาจารย์วั่งจี ทั้งคู่หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ แต่คนผู้นั้นก็เดินทางกลับไปในวันรุ่งขึ้น ถ้าตอนนี้พระอาจารย์วั่งจีตายแล้ว เช่นนั้นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็น่าจะเป็...”
“เป็ไปไม่ได้หรอก ตามที่เ้าเล่ามาถ้าเขาตายไปเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว เช่นนั้นหตุใดกระดูกถึงไม่เน่าเปื่อยเลยล่ะ” หลิงเฟิงส่ายหน้า
“นั่นน่ะสิ” องครักษ์ที่ลงไปเอาศพขึ้นมาตั้งข้อสังเกต “น้ำในบ่อนี้เย็นะเื เมื่อครู่แค่ข้าััไปเพียงแค่นิดเดียวก็ยังรู้สึกว่าเหมือนโดนแช่แข็งอย่างไรอย่างนั้น หรือบางทีอาจเป็เพราะเหตุนี้ศพของวั่งจีเลยคงอยู่ในสภาพเดิม”
หลิงเฟิงขมวดคิ้วและกระแอมออกมาสองครั้ง “นี่มันซานถางแบบไหนกันเนี่ยแทบไม่ต่างจากปรโลกเลย!”
ชิงอีปรายตามองหลิงเฟิง นั่นทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา
“คนผู้นี้ตายอยู่ในบ่อน้ำมาตั้งหนึ่งปี เวลาที่พวกเ้ามาตักน้ำไม่เคยสังเกตเลยหรือ?” ต้านเสวี่ยถามด้วยอาการพะอืดพะอม
สามเณรน้อยส่ายหน้าทั้งน้ำตา “น้ำในบ่อน้ำนี้นิ่งมากแถมถูกทิ้งร้างมานานแล้ว ปกติเราเลยเอาน้ำฝนในโอ่งมาใช้ เพราะก่อนหน้านี้มีหินก้อนใหญ่ปิดปากบ่อน้ำไว้ แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้าฟ้าผ่าใส่หินจนแตก”
เหอะๆ ฟ้าช่างบังเอิญผ่าได้ถูกเวลาเสียจริง ก็แค่บังเอิญ
ในห้องมีเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอก ทุกคนต่างรู้สึกโชคดีที่ตนเองไม่ได้ดื่มน้ำศพไป
“เ้าตัวปลอมนั่นมาที่นี่คนเดียวหรือ?” ทุกคนต่างมองมาที่ชิงอีที่จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา
สามเณรน้อยนึกย้อนอยู่ครู่หนึ่ง “เหมือนว่าจะไม่ใช่นะพ่ะย่ะค่ะ ยังมีอีกคนหนึ่งที่มากับเขา ดูเหมือนจะตามหาเ้าอาวาสด้วย”
ชิงอีหันไปมองยอดเขา ความชั่วร้ายอบอวลยิ่งกว่าบรรยากาศตอนกลางคืน
เหอะๆ งั้นก็ถูกแล้วสินะ
ทุกคนในที่นี้ต่างมีลางสังหรณ์ว่ามันไม่ใช่เื่ดี ชิวอวี่ที่นึกถึงเื่ตัวปลอมที่พูดถึงก่อนหน้านี้ ถ้าวั่งจีตัวปลอมสามารถปลอมตัวเป็วั่งจีตัวจริงได้ เช่นนี้เ้าอาวาสวัดตงหวาตอนนี้จะเป็ตัวปลอมตัวด้วยหรือไม่?!
คนชั่วเหล่านี้มีวิธีการที่คาดเดาไม่ได้ ถึงขนาดทำหน้ากากปลอมตัวเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกจับได้
“พักกันก่อนเถอะ แล้วพรุ่งนี้เมื่อขึ้นไปบนูเาแล้วค่อยว่ากันอีกที” ชิงอีจัดแขนเสื้อและเดินจากไป
ทันทีที่ชิงอีจากไป คนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปโดยปริยาย แต่คืนนี้คงจะนอนไม่หลับ
ชิวอวี่มองยอดเขาที่ถูกเมฆปกคลุมในยามราตรีดูท่าว่าพายุกำลังจะมา
เมื่อชิงอีก้าวเท้าเข้ามาในห้องก็รู้สึกว่าใครบางคนตามมา จึงหมุนตัวไปปิดประตูอย่างรวดเร็ว แต่ก็ถูกขายาวๆ แทรกเข้ามาระหว่างช่องประตูเสียก่อน
เซียวเจวี๋ยยิ้มมองนาง “เดิมทีที่นี่เป็ห้องข้านะ”
“แล้วไง?”
“ถ้าองค์หญิงจะไม่ให้ข้าเข้าไป มันคงไม่สมเหตุสมผล”
ชิงอียิ้มอย่างเ็า “ข้าที่ยังไม่ได้แต่งงาน แล้วมานอนค้างคืนกับชายหนุ่มอย่างท่าน แบบนี้ต่างหากที่ไม่สมเหตุสมผล!”
“ไม่ช้าก็เร็วก็จะเป็สามีภรรยาอย่างเป็ทางการ ทว่าในชีวิตจริงก็เป็สามีภรรยามาตั้งนานแล้ว เช่นนั้นองค์หญิงควรทำตัวดีๆ กับข้าให้มากกว่านี้”
ั์ตาของเซียวเจวี๋ยสั่นระริก เพียงชั่วพริบตาเข้าฉวยโอกาสเข้ามาในห้องพร้อมลงมือปิดประตูด้วยตัวเอง
ชายโสด หญิงโสด สายตาสอดประสาน
เป็ประกายไฟลุกโชนไปทั่วทุกที่