หวังไห่ถลึงตาใส่ ะโว่า “ข้ายังไม่ตาย ต่อให้ข้าตายแล้วตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่ตกไปถึงเ้า เื่นี้ย่อมมีคนในตระกูลเป็ผู้ตัดสินใจ ไสหัวไปเสีย!”
หวังชุนเฟิงเห็นหวังไห่มีท่าทีคล้ายอยากตีคนก็รู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก รีบเดินออกไปจากห้องอาหารทันที อย่างไรก็ตาม เขายังคงคิดว่าเดินออกไปเฉยๆ เช่นนี้ขายหน้าเกินไปจึงหยุดยืนอยู่ตรงประตูแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ ซานนิวก่อเื่นี้ ท่านอย่าลืมเสียว่าท่านเป็หัวหน้าตระกูลหวังและเป็หัวหน้าหมู่บ้านหลี่ ท่านย่อมมีส่วนผิด ท่านไม่ใช่หัวหน้าตระกูลและหัวหน้าหมู่บ้านที่ดี”
หวังไห่คว้าถ้วยใบหนึ่งเขวี้ยงออกไปทันที
หวังชุนเฟิงที่เดินออกไปถึงลานบ้านแล้วะโมาว่า “พอมีแม่เลี้ยงพ่อก็กลายเป็พ่อเลี้ยงด้วยจริงๆ มีของอร่อยกลับไม่ยอมให้ข้ากิน ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลและหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่ยอมให้ข้า เหตุใดชีวิตข้าจึงรันทดเช่นนี้!”
เฟิงซื่อถูกคำว่า แม่เลี้ยง ทำให้โกรธจนแทบะเิ เดินขากะเผลกออกไปชี้หน้าหวังชุนเฟิงแล้วะโว่า “หวังชุนเฟิง ยังมียางอายอยู่หรือไม่ เ้าเป็เด็กสามขวบที่ยังกินนมแม่อยู่ หรือเป็คนพิการแขนขาขาดกันเล่า แยกบ้านแล้วเ้าก็มีที่นา มีเสบียง มีเงินเป็ของตนเอง แต่ยังมาเบียดเบียนบิดา เ้ายังด่าบิดาเ้าอีก ความดีของเ้าถูกสุนัขกินไปแล้วหรือ ไสหัวไป ต่อไปอย่าเหยียบเข้าประตูบ้านข้าอีก!”
อาทิตย์ตกในฤดูใบไม้ร่วงส่องแสงสีแดงระเรื่อ ตลาดเล็กๆ นอกประตูอำเภอฉางผิง มีผู้คนสัญจรไปมาไม่ขาดสาย
เกวียนลาของบ้านหลี่หยุดอยู่ตรงบริเวณริมสุดของตลาด ซึ่งแม้ว่าจะอยู่ห่างจากประตูเมืองมากที่สุด แต่ผู้คนส่วนใหญ่กลับชอบที่จะเดินมาทางนี้
“กินเต้าฮวยตระกูลหลี่ช่วยบำรุงสมอง เต้าฮวยตระกูลหลี่มีหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน ถ้วยละสามทองแดงเท่านั้น”
“เต้าหู้ตระกูลหลี่ขอรับ จะผัด ต้ม ทอด หรือตุ๋นล้วนมีรสอร่อย กินได้ไม่มีเบื่อ คนเฒ่าคนแก่ไม่มีฟันก็กินได้ เต้าหู้ ตระกูลหลี่มีหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน ชั่งละสี่ทองแดงเท่านั้นขอรับ”
วันนี้เสียงะโเรียกลูกค้าของหลี่ซานดังกว่าปกติ เรียกคนมาได้กลุ่มหนึ่ง ผู้คนเข้ามาล้อมเขาไว้เป็สามสี่แถวทีเดียว
“ตระกูลหลี่ทำอาหารชนิดใหม่ออกมาอีกแล้วหรือ คราวนี้เป็เต้าฮวยอะไรนั่น ในน้ำแกงยังมีไข่ไก่ เห็ดหูหนู และผักหวงฮวาจากทางใต้ด้วย”
“คนที่บ้านข้าชอบกินอาหารของตระกูลหลี่ที่สุดแล้ว คราวก่อนข้าซื้อขนมไหว้พระจันทร์ไปน้อย คนที่บ้านของข้ากินไม่พอ ถึงกับด่าข้ามาเลยเชียว คราวนี้จะต้องซื้อให้มากหน่อย”
ลูกค้าเก่าบอกกันปากต่อปาก ในเวลาเพียงไม่นานคนครึ่งอำเภอก็รู้กันทั่วแล้ว เนื่องจากอาหารที่บ้านหลี่ทำมาขายนั้นล้วนมีรสชาติอร่อย อีกทั้งอาหารชนิดใหม่ก็มีความแปลกใหม่เป็เอกลักษณ์ ราคาก็เป็ธรรม ทุกคนจึงเชื่อมั่นในตระกูลหลี่
ของที่ขายออกเร็วที่สุดก็คือ เต้าฮวย ซึ่งคงเป็เพราะน้ำแกงที่ราดบนเต้าฮวยดูยั่วน้ำลายผู้คนเป็อย่างยิ่ง อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญคือ จ่ายเพียงสามทองแดงก็ได้กินทั้งเห็ดหูหนูและไข่ไก่แล้ว
เต้าหู้ก็ขายดีเช่นกัน เพราะทุกคนอยากจะลิ้มลองรสชาติที่แปลกใหม่ อยากกินอาหารที่มีหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามหลี่ซานก็ขายเต้าหู้และเต้าฮวยหมดเกลี้ยงจนต้องอธิบายกับลูกค้าคนสำคัญที่มาซื้อไม่ทันว่า พรุ่งนี้จะมาขายอีก จากนั้นจึงขับเกวียนกลับบ้านอย่างสุขใจ
คนบ้านหลี่รอคอยผลการขายอย่างใจจดจ่อ โดยเฉพาะเด็กชายทั้งสี่ เนื่องจากต้องจ่ายค่าเล่าเรียนแพง จึงเกรงว่าจะจ่ายไม่ไหว
หลี่ฝูคังที่ยืนอยู่ตรงลานบ้านะโอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านพ่อกลับมาแล้ว เต้าหู้กับเต้าฮวยของบ้านเราขายหมดเกลี้ยงเลย”
จ้าวซื่อเดินออกมาจากห้องโถง เนื่องจากฟ้ามืดแล้วจึงได้แต่อาศัยแสงจันทร์มองไป เมื่อเห็นใบหน้าคมเข้มที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้างของหลี่ซานก็กล่าวอย่างยินดีว่า “พี่ซาน เหนื่อยหรือไม่”
“ข้าจะเหนื่อยอะไรกัน น้องรองกับหรูอี้เหนื่อยกว่า” หลี่ซานคิดในใจว่า ยังมีลาของบ้านเราที่เหนื่อยด้วย ต้องโม่ถั่วเหลืองกับธัญพืช พวกมันเหนื่อยกว่าเขาเสียอีก
“ท่านพ่อ ให้พี่ชายข้านำเกวียนไปเก็บเถิด ท่านก็เข้ามาดื่มน้ำพักผ่อนก่อน” หลี่หรูอี้พาหลี่ซานเข้ามาในห้องโถง รับถุงเงินสีดำถุงใหญ่มาจากเขาแล้วเริ่มนับเงิน
เต้าหู้สองร้อยกว่าชั่งกับเต้าฮวยถังใหญ่สองถัง เงินทุนประกอบด้วย ค่าถั่วเหลืองห้าสิบชั่ง ไข่ไก่สามชั่ง หวงฮวาแห้งครึ่งชั่ง เห็ดหูหนูแห้งสองชั่ง รวมแล้วราวร้อยแปดสิบทองแดง
เพียงเต้าหู้อย่างเดียวก็ขายได้หนึ่งพันทองแดงแล้ว ส่วนเต้าฮวยขายได้หกร้อยสามสิบทองแดง
หากไม่นับค่าแรงและค่าเสื่อมของเครื่องโม่หินและเกวียน จะได้กำไรสุทธิทั้งหมดหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบทองแดง
ดวงตาของหลี่ซานส่องประกายแวววาว กล่าวอย่างยินดีว่า “ขายเต้าหู้กับเต้าฮวยได้เงินมากกว่าขายแป้งย่างมากทีเดียว” เมื่อก่อนต่อให้ตีให้ตายเขาก็ไม่กล้าคิดว่า ในหนึ่งวันตนจะหาเงินได้มากมายเพียงนี้ ชาติที่แล้วเขาจะต้องจุดธูปทำบุญใหญ่มาแน่นอน ชีวิตนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงได้มอบสูตรทำเต้าฮวยและเต้าหู้มาให้บุตรีสุดที่รักของตน
“เ้าค่ะ” หลี่หรูอี้คิดในใจว่า ทุนค่าถั่วเหลืองต่ำมากจริงๆ ถั่วเหลืองหนึ่งชั่งโม่ออกมาแล้วจะได้เต้าหู้และเต้าฮวยหลายชั่ง
ในแววตาของเด็กชายทั้งสี่แห่งตระกูลหลี่ก็เต็มไปด้วยความนับถือ “น้องห้า เ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ”
“เงินพวกนี้ให้ท่านเ้าค่ะ” หลี่หรูอี้มอบเงินหนึ่งร้อยทองแดงให้หลี่ซาน
หลี่ซานรับเงินทองแดงเ่าั้มาด้วยความร่าเริง ทว่าเมื่อคิดดูอีกครั้ง หากตนฟังคำพูดของครอบครัวสักหน่อยก็คงจะดี หากกลับจากเมืองเยี่ยนมาทำการค้าให้เร็วกว่านี้ ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจได้เงินพอซื้อที่แล้วก็เป็ได้ เมื่อเขาคิดได้ดังนั้นพลันรู้สึกผิดอยู่ในใจ
“ท่านแม่ เงินของท่านเ้าค่ะ” หลี่หรูอี้นับเงินออกมาสองร้อยทองแดงแล้วมอบให้จ้าวซื่อ จากนั้นจึงให้พี่ชายทั้งสี่และหลี่สือคนละสิบทองแดง ที่เหลืออีกหนึ่งพันทองแดงก็เก็บเอาไว้
เมื่อทุกคนได้เงินก็ยิ้มจนหน้าบาน
อาหารเย็นมีผัดแตงกวา ผัดเต้าหู้ และผัดไข่ อาหารหลักคือ หมั่นโถว
แป้งหยาบในบ้านนำไปทำกินหมดแล้ว ในที่สุดก็ไม่ต้องกินแป้งหยาบอีก
หลี่หรูอี้กำชับต่อหน้าทุกคนในครอบครัวว่า “ท่านพ่อเ้าคะ พรุ่งนี้ตอนท่านกลับจากตำบลจินจี ก็ซื้อเนื้อหมูจากลุงจางมาด้วยห้าชั่ง พรุ่งนี้ข้าจะทำหมูหนึ่งแป้งกินเป็มื้อเย็น”
หลี่ซานอดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “ซื้อเนื้ออีกแล้วหรือ”
หลี่หรูอี้กล่าวอย่างมีเหตุผลว่า “ไม่กินเนื้อแล้วจะเอาแรงจากไหนมาขายของหาเงินเ้าคะ”
หลี่สือกล่าวเสียงแ่ “ท่านพี่ วันนี้หรูอี้ให้ลากินข้าวสาลีด้วย บอกว่าลาลากเครื่องโม่เหนื่อย ต้องบำรุงสักหน่อย”
จ้าวซื่อกล่าวเสริม “เครื่องโม่หินสองเครื่องใหญ่ของบ้านพวกเราต้องใช้แรงมาก หากให้คนลากย่อมต้องเหนื่อยและทำให้ร่างกายเสียหายหนัก หรูอี้ซื้อลาสองตัวนั้นมานับว่าถูกต้องและดียิ่งจริงๆ ”
ก่อนหน้านี้คนในครอบครัวคิดว่าไม่จำเป็ต้องใช้ลาถึงสองตัว ตัวเดียวก็เพียงพอแล้ว ทว่าตอนนี้เมื่อพิจารณาดูก็นับว่าหลี่หรูอี้มองการณ์ไกล ซื้อได้ถูกต้องแล้วจริงๆ
วันนี้พวกเขาทำเต้าหู้ เต้าฮวย และน้ำเต้าหู้กันทั้งวัน ยุ่งและเหนื่อยจนแทบทนไม่ไหว เมื่อกินอาหารเย็นเสร็จก็ได้พักผ่อนกันเสียที
จ้าวซื่อรีบบอกเื่หวังซานนิวกับหลี่ซาน ทั้งยังบอกอีกด้วยว่าหวังไห่พาครอบครัวมาขอบคุณ
หลี่ซานนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวอย่างเนิบช้าว่า “ข้าว่าตระกูลฟางทำเช่นนี้คงไม่มีทางเลือก”
จ้าวซื่อเอ่ยถาม “เหตุใดจึงกล่าวว่าไม่มีทางเลือก?”
“โบราณว่า ความมั่งคั่งมักจะหายไปกับผู้คน” หลี่ซานมองไปยังภรรยาสุดที่รักก่อนอธิบายต่อ “หวังลี่ตงต้องไม่ยอมคืนสินสอดแน่ หากบ้านฟางไม่ได้สินสอดคืนยังจะแต่งใครได้อีก เช่นนั้นก็ทำได้เพียงพาตัวหวังซานนิวไป” ส่วนจะจัดการหวังซานนิวเช่นไร ฟางหู่ไม่ได้มาเอง จึงเห็นได้ชัดว่าไม่ยอมรับการแต่งงานในคราวนี้ ส่วนหวังซานนิวก็ไม่ใช่คนของตระกูลหวังแล้ว ก็ย่อมไม่มีตระกูลหวังเป็ที่หลบภัยอีก ทำได้เพียงยอมรับการจัดแจงของตระกูลฟางเท่านั้น
จ้าวซื่อกำชับหลี่สือและลูกๆ ว่า “ความดีความเลวขึ้นอยู่กับความคิด หวังซานนิวเกิดความคิดอำมหิตในหัวใจ ้าขโมยเงินและฆ่าคน เช่นนี้จะต้องตกนรกแน่ ดังนั้นเกิดเป็คนห้ามมีใจคิดชั่วร้ายเป็อันขาด”
หลี่ซานกล่าวเสริมว่า “ห้ามโลภ”
หลี่หรูอี้คิดในใจว่า จะใจดีก็ต้องดูด้วยว่าใจดีกับผู้ใด หากใจดีกับคนเลวย่อมได้รับความเลวตอบแทน จะต้องใช้เลวต่อเลว ตาต่อตาฟันต่อฟัน
นางยิ้มเล็กน้อย คำพูดเหล่านี้เก็บไว้ในใจก็พอ
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้