แม้ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ผืนดินที่แข็งกระด้างจากการถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งมาตลอดฤดูหนาว ทำให้การพรวนดินเป็ไปอย่างยากลำบาก
หากมีปศุสัตว์ช่วยก็คงจะต่างกันออกไป เพียงแค่นำคันไถมาติดตั้ง พรวนดินสองสามรอบให้ดินร่วนซุย จากนั้นคนก็พรวนดินอีกครั้ง ก็จะง่ายกว่านี้มาก
แต่ม้าของบ้านอวิ๋นโส่วจงถูกอวิ๋นโส่วจู่น้องชายคนที่สี่นำไปแล้วยังไม่ได้เอามาคืน แม้ในบ้านจะมีผู้ชายทั้งหมดสี่คน แต่คนที่ทำงานหนักได้จริงๆ ก็มีแค่อวิ๋นโส่วจงกับอากุ้ยเพียงสองคนเท่านั้น
โชคดีที่ตอนนี้แค่พรวนดินทำแปลงผัก ไม่จำเป็ต้องพรวนดินทั้งหมดสองหมู่ เพียงแค่พรวนสักสี่ห้าส่วนก่อนก็เพียงพอแล้ว
แม้อวิ๋นฉี่เยว่จะไม่สามารถช่วยพรวนดินในครั้งแรกได้ แต่เขาก็แบกจอบขนาดเล็กกว่าเดินตามหลัง พรวนดินที่ถูกพลิกขึ้นมาให้ร่วนมากยิ่งขึ้น
อวิ๋นเจียวมองอวิ๋นฉี่เยว่ ตอนอยู่ที่เมืองหลวงเขาไม่เคยทำไร่ไถนามาก่อน แต่ตอนนี้พอลงมือทำจริงๆ กลับดูไม่เก้ๆ กังๆ แต่อย่างใด ท่วงท่าของเขาช่างสง่างามน่ามอง
บุรุษรูปงามราวกับหยกอยู่ท่ามกลางขุนเขา ทำไร่ไถนา... เบื้องหน้าอวิ๋นเจียวราวกับมีม้วนภาพวาดหมึกพู่กันจีนอันงดงามเปิดออก งามตาน่ามอง ชวนให้จิตใจอิ่มเอม
“เจียวเอ๋อร์ เ้ากำลังดูอะไรอยู่?” อวิ๋นฉี่เยว่หยุดพัก ยกมือเช็ดเหงื่อบนใบหน้า “บนหน้าข้ามีสิ่งสกปรกอะไรติดอยู่หรือ?”
อวิ๋นเจียวยิ้มตอบ “ไม่มีหรอกเ้าค่ะ พี่ชายหน้าตางดงามเกินไป ข้าแค่นึกว่ารออีกสองปีพอท่านแต่งงาน จะต้องแต่งกับหญิงงามถึงจะคู่ควรกับท่าน!”
“ฮ่าๆๆๆ วางใจเถอะ ท่านพ่อจะต้องหาภรรยาที่งดงามมาให้พี่ใหญ่ของเ้าอย่างแน่นอน!” ได้ยินดังนั้น อวิ๋นโส่วจงจึงหันมามองสองพี่น้องพลางหัวเราะเสียงดัง
อวิ๋นฉี่เยว่หน้าแดงก่ำ รีบปรายตามองบิดาด้วยความขัดเขิน “ท่านพ่อ น้องสาวพูดจาเหลวไหล ท่านไม่ห้ามปรามก็แล้วไปเถิด แต่ยังมาพูดเล่นสนุกไปกับนางอีก!”
อวิ๋นโส่วจง “น้องสาวของเ้าพูดถูกแล้ว ตอนนี้เ้าก็อายุสิบสามแล้ว อีกสองปีก็ควรจะเริ่มมองหาภรรยาได้แล้ว!”
ได้ยินดังนั้นคิ้วเรียวสวยของอวิ๋นฉี่เยว่พลันขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะพูดกับบิดาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เื่แต่งงานของลูกไม่รีบร้อนขอรับ รอให้เจียวเอ๋อร์แต่งงานก่อน ค่อยมาคิดเื่งานแต่งของลูกก็ยังไม่สาย”
อวิ๋นเจียวสะพายตะกร้าเดินตามหลังอวิ๋นฉี่เยว่ไปโปรยเมล็ดพันธุ์ผัก พลางเบ้ปาก “ข้าไม่แต่งหรอกเ้าค่ะ จะขออยู่กับท่านพ่อท่านแม่ไปตลอดชีวิต! ท่านพี่จะรอไหวหรือ?”
อวิ๋นฉี่เยว่ตอบอย่างจริงจัง “รอไม่ไหวก็ไม่ต้องรอ ข้าก็ไม่แต่งเหมือนกัน จะอยู่กับท่านพ่อท่านแม่ไปตลอดชีวิตเหมือนกัน!”
ขณะนั้นอวิ๋นโส่วจงกับอากุ้ยพรวนดินเสร็จแล้วห้าส่วน อากุ้ยไปตักน้ำ ส่วนอวิ๋นโส่วจงก็ช่วยพรวนดินให้ละเอียดอีกรอบ
“พูดเหลวไหล! ไหนเลยจะมีหลักการที่บุตรสาวโตแล้วยังไม่ออกเรือน บุตรชายโตแล้วก็ไม่ยอมแต่งงาน?”
อวิ๋นเจียวไม่อยากแต่งงานนั้นเป็ความจริง นางชอบครอบครัวนี้ยิ่งนัก คิดว่าแคว้นต้าเยี่ยไม่เหมือนยุคปัจจุบันที่การหย่าร้างทำได้ง่ายดาย หากแต่งงานออกไปแล้วเจอแม่สามีอย่างเถาซื่อ เช่นนั้นชีวิตของนางคงมืดมนเป็แน่
แต่การไม่แต่งงานก็ไม่ใช่เื่ที่สมเหตุสมผล นางเป็คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ย่อมโหยหาความรัก...
“เช่นนั้นข้าก็จะรับเขยเข้าบ้าน หากแต่งออกไปแล้วเจอแม่สามีใจร้าย ท่านพ่อท่านแม่จะไม่เสียใจแย่หรือเ้าคะ?”
อวิ๋นโส่วจงพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง ส่วนแววตาของอวิ๋นฉี่เยว่ก็ดูลึกล้ำขึ้นเล็กน้อย
“อืม เจียวเอ๋อร์พูดถูก ทุกยุคทุกสมัย ฮ่องเต้ล้วนสนับสนุนให้ราษฎรเป็คนกตัญญู คำว่า 'กตัญญู' คำเดียวสามารถกดขี่ข่มเหงผู้คนได้จนถึงตาย เจียวเอ๋อร์ของพวกเราไม่ต้องแต่งงานออกไปแล้ว รับเขยเข้าบ้าน! ตกลงตามนี้!” บุตรสาวที่เฝ้าเลี้ยงดูฟูมฟักมาอย่างดี เขาจะตัดใจยอมส่งไปให้คนอื่นรังแกได้อย่างไร
ลองนึกถึงตัวเองเป็ตัวอย่าง หากตอนที่เขาอายุสิบสามปีไม่ได้ถูกตัดออกจากครอบครัว ไม่ได้แยกบ้านออกมาจากตระกูลอวิ๋น ตอนนี้พาลูกๆ และทรัพย์สินกลับมา ก็คงเป็อย่างที่เถาซื่อพูด ทุกสิ่งที่เขานำกลับมาล้วนเป็ของตระกูลอวิ๋น ไม่เพียงเท่านั้น ต่อให้เถาซื่อจะขายอวิ๋นเจียวและลูกชายทั้งสองคนไปทางการก็คงไม่สนใจ!
อวิ๋นฉี่เยว่รู้สึกว่ามีเหตุผลเช่นกัน พอนึกถึงน้องสาวที่อ่อนหวานนุ่มนิ่มของตนในวันหนึ่งจะต้องแต่งงานออกไป ในใจของเขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
อวิ๋นเจียวไม่คิดเลยว่าคำพูดล้อเล่นของตนจะถูกอวิ๋นโส่วจงและอวิ๋นฉี่เยว่คิดเป็จริงเป็จังมากเพียงนี้ ในใจพลันรู้สึกอบอุ่นหวานล้ำ
ระหว่างที่พูดคุยกัน เมล็ดพันธุ์ผักในตะกร้าของอวิ๋นเจียวก็ถูกโปรยลงดินจนหมด ส่วนต้นกล้าที่อวิ๋นโส่วจงซื้อมาก็ปลูกเสร็จเรียบร้อยแล้ว อากุ้ยตักน้ำกลับมา อวิ๋นโส่วจงจึงนำดินละเอียดมาโรยกลบเมล็ดพันธุ์ที่โปรยลงไป จากนั้นจึงรดน้ำ
“ตอนนี้ที่บ้านเรายังไม่มีปุ๋ย พรุ่งนี้ขึ้นเขาไปเก็บใบไม้เน่ามาทำปุ๋ยกันเถอะ” หลังจากทำงานเสร็จ อวิ๋นโส่วจงพูดพลางล้างมือ
พอได้ยินว่าจะขึ้นเขาดวงตาของอวิ๋นเจียวก็เป็ประกาย “ท่านพ่อ พรุ่งนี้พาข้าขึ้นเขาไปด้วยนะเ้าคะ!”
เห็นอวิ๋นโส่วจงทำท่าทางลังเล อวิ๋นเจียวจึงรีบตบหน้าอกรับประกัน “ท่านพ่อ ข้าจะไม่วิ่งเล่นซุกซนเ้าค่ะ!”
อวิ๋นฉี่เยว่พูดเสริม “ท่านพ่อ ข้าจะดูแลน้องสาวเอง พรุ่งนี้พาพวกข้าขึ้นเขาไปด้วยเถอะขอรับ”
“งั้นก็ดูว่าพรุ่งนี้เช้าพวกเ้าจะตื่นไหวหรือไม่!” อวิ๋นโส่วจงพูดด้วยรอยยิ้ม พรุ่งนี้เขานัดผู้ใหญ่บ้าน อวิ๋นโส่วกวง และอวิ๋นโส่วเย่าให้มากินข้าวที่บ้าน ดังนั้นงานในบ้านต้องทำให้เสร็จเร็วหน่อย
พอได้ยินดังนั้นอวิ๋นเจียวก็พยักหน้าหงึกๆ แล้วดึงแขนเสื้ออวิ๋นฉี่เยว่พลางพูดว่า “พี่ใหญ่ พรุ่งนี้เช้าท่านปลุกข้าด้วยนะเ้าคะ!”
“ได้สิ!” อวิ๋นฉี่เยว่เอื้อมมือไปลูบหน้าผากนางเบาๆ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มอบอุ่น
“เอาล่ะ กลับไปดูกันว่าท่านแม่ของพวกเ้าทำอะไรอร่อยๆ ให้พวกเรากินบ้าง!”
อวิ๋นเจียวสูดดมกลิ่นหอมที่ลอยมาจากในลานบ้าน พลางพูดด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข “ต้องเป็ซี่โครงหมูตุ๋นหัวไชเท้ากับผักกาดขาวผัดกากหมูแน่ๆ เลยเ้าค่ะ!”
ทุกคนเดินเข้าไปในห้องโถง บนโต๊ะมีซี่โครงหมูตุ๋นหัวไชเท้ากับผักกาดขาวผัดกากหมูวางอยู่จริงๆ อวิ๋นโส่วจงเอ่ยชม “จมูกเจียวเอ๋อร์ของพวกเราช่างดีจริงๆ”
ขณะนั้นฟางซื่อกับชุนเหมยยกน้ำอุ่นเข้ามาให้พวกเขาล้างมือ จากนั้นจึงถามอวิ๋นโส่วจงด้วยรอยยิ้ม “พวกเ้าคุยอะไรกันอยู่ถึงได้ดูมีความสุขเช่นนี้?”
อวิ๋นฉี่ซานที่เดินตามหลังพวกเขาเข้ามาในบ้านรีบพูดแทรกขึ้นมา “เจียวเอ๋อร์บอกว่าท่านแม่ทำซี่โครงหมูตุ๋นหัวไชเท้ากับผักกาดขาวผัดกากหมูขอรับ แต่ท่านพ่อก็ไม่คิดบ้างหรือว่า วันนี้พวกเราไปในตำบลก็ได้แต่หัวไชเท้ากับผักกาดขาวที่เก็บไว้ในยุ้งฉางเท่านั้น”
่ต้นฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ นอกจากหัวไชเท้า ผักกาดขาว และผักดองที่เก็บไว้ในยุ้งฉางแล้วก็ไม่มีผักสดอย่างอื่นขายเลย!
เมื่อถูกบุตรชายแย่งพูด อวิ๋นโส่วจงไม่เพียงไม่โกรธ กลับหัวเราะเสียงดัง “เป็พ่อที่ไม่รู้เื่เอง เอาล่ะๆ กินข้าวกันเถอะ!”
ในบ้านนี้อวิ๋นโส่วจงและครอบครัวนั่งล้อมวงกินมื้อเย็นแสนอร่อยมื้อแรกนับั้แ่ย้ายเข้ามาที่หมู่บ้านไหวซู่ ส่วนอีกด้านที่บ้านตระกูลอวิ๋นกลับวุ่นวายจนแทบพลิกแผ่นฟ้า!
่เช้าหลังจากที่อวิ๋นโส่วจงและครอบครัวย้ายออกจากบ้านตระกูลอวิ๋น ผู้เฒ่าอวิ๋นก็สั่งให้อวิ๋นฉี่ชิ่งไปตามหาอาสี่ของเขาในตำบล จนกระทั่งฟ้ามืดอวิ๋นฉี่ชิ่งถึงได้กลับมา
“ฉี่ชิ่ง แล้วอาสี่ของเ้าเล่า?” อวิ๋นฉี่ชิ่งยังไม่ทันได้ดื่มน้ำสักอึกก็ถูกผู้เฒ่าอวิ๋นเรียกตัวไปที่ห้องโถง
อวิ๋นฉี่ชิ่งส่ายหน้า “ข้าตามหาท่านอาสี่ในตำบลทั้งวันก็ไม่พบขอรับ!”
ผู้เฒ่าอวิ๋นเพียงแต่สั่งให้อวิ๋นฉี่ชิ่งไปตามหาคน ไม่ได้ให้เงินเขาติดตัวไปแม้แต่น้อย อวิ๋นฉี่ชิ่งอย่าว่าแต่นั่งเกวียนเลย ทั้งวันนี้แม้แต่อาหารยังไม่ได้กินสักคำ
เมื่อได้ยินดังนั้นเถาซื่อก็ต่อว่า “เ้าเด็กไร้ประโยชน์ ทั้งวันเอาแต่เดินเตร่ไปทั่วหรืออย่างไร? ให้เ้าไปตามหาคนแค่คนเดียวก็ยังหาไม่เจอ! ไม่รู้ไปแอบอู้งานที่ไหนกันแน่! ทั้งบ้านมีแต่พวกโง่เง่า! หวังพึ่งอะไรพวกเ้ามิได้เลย!”
อวิ๋นฉี่ชิ่งก้มหน้าเม้มปากแน่น ไม่ปริปากสักคำ อวิ๋นโส่วกวงและครอบครัวเองก็คุ้นเคยกับคำด่าทอของเถาซื่อเป็อย่างดี ทำได้เพียงโกรธอยู่ในใจไม่กล้าพูดออกมา
ผู้เฒ่าอวิ๋นรีบเอ่ยถาม “เ้าไปหาที่สำนักศึกษาเอกชนหรือยัง? เขาไม่ได้บอกว่าเอาม้าไปส่งให้อาห้าของเ้าหรอกหรือ?”
อวิ๋นฉี่ชิ่งตอบ “ข้าไปหาแล้วขอรับ ท่านอาห้าบอกว่าไม่เห็นรถม้าอะไรเลย”