เล่มที่ 7 บทที่ 199 เกาะร้าง
ไม่นานก็มีเสียงคำรามกึกก้องดังขึ้นจากกลางทะเลอูไห่ ท่ามกลางหยาดฝนโลหิตสีแดง บัดนี้มีหัวอันใหญ่โตกำลังเงยหน้าส่งเสียงคำรามดังสนั่นซึ่งแฝงไปด้วยโทสะและความเ็ปออกมา ขณะเดียวกันลำตัวที่ยาวนับหมื่นจ้างก็บิดส่ายไปมาอยู่ในท้องทะเลกว้างใหญ่…
ทว่ายังไม่ทันที่ปีศาจอูหลิงจะไหวตัว ปราณกระบี่ที่อยู่เหนือเมืองวั่งไห่ก็พลันะเิออก กลายเป็ลำแสงที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหารยาวนับพันจ้าง เพียงแค่สะบั้นทีเดียวก็สามารถทำลายทุกอย่างให้ย่อยยับได้ ทันใดนั้นอุณหภูมิรอบด้านก็พลันสูงขึ้น ขจัดไอเย็นที่เกิดจากคลื่นั์ไปจดหมดสิ้น ไม่นานภายในรัศมีร้อยลี้ของเมืองวั่งไห่ ก็ร้อนระอุขึ้นถึงขนาดตายได้เลยทีเดียว…
ไม่รอช้า ลำแสงกระบี่สีแดงเจิดจ้าก็ะเิออก เสี้ยววินาทีที่ลำแสงนั้นกำลังสะบั้นออกไป มันก็เจิดจรัสราวกับฝนดาวตกเลยทีเดียว ทั้งสว่างไสวงดงาม แถมยังเปี่ยมไปด้วยไอสังหารอีกด้วย…
สี่สิ่งที่คุ้มครองเมืองวั่งไห่นั้น ประกอบไปด้วยระฆังไท่เสวียนที่เน้นการป้องกัน กระบี่ฉุนหยางที่โดดเด่นด้านการโจมตี ดังนั้นภายใต้การโจมตีของกระบี่ฉุนหยางแล้ว ต่อให้เป็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันก็ยากจะต้านทานได้ ในอดีตนักพรตฉุนหยางเอง เพียงอาศัยกระบี่เล่มเดียวก็สามารถสกัดฝูงปีศาจที่แห่เข้ามาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน จนกลายเป็ตำนานที่เล่าขานกันมา ไม่มีใครไม่รู้…
ว่ากันว่าในอดีตตอนที่สามสำนักใหญ่สร้างค่ายกลคุ้มกันเมือง นักพรตฉุนหยางเกิดาเ็สาหัส ไร้ทางเยียวยา ใน่เวลาสุดท้ายถึงกับเผาทำลายตบะพลังฟ่าเซี่ยงตนเอง เพื่อสะบั้นกระบี่ที่มีพลังะเืฟ้าะเืดินออกมาครั้งสุดท้าย!
จากนั้นกระบี่เล่มนี้ก็แขวนอยู่ที่เหนือเมืองวั่งไห่ คอยปกปักรักษาทุกชีวิตมาช้านาน…
บัดนี้เมื่อปราณกระบี่ถูกสะบั้นออกไป ก็คล้ายกับนกหงส์ไฟปรากฏกายขึ้น พริบตานั้นเองลำแสงกระบี่ก็ย้อมผืนฟ้าให้กลายเป็สีแดงฉาน ผ่านไปเพียงครู่เดียวก็มีเปลวไฟพวยพุ่งขึ้น ปีศาจอูหลิงที่อยู่กลางทะเลโหยหวนออกมาอีกครั้ง เพราะเสี้ยววินาทีที่ลำแสงปราณกระบี่ฉุนหยางสะบั้นลงไปนั้น ลำตัวของปีศาจอูหลิงที่เต็มไปด้วยเกล็ดก็เกิดรอยแผลขึ้นมาทันที หยาดโลหิตอุ่นร้อนไหลทะลัก ย้อมทะเลในรัศมีร้อยลี้จนแดงฉานราวกับทะเลเื…
ปีศาจอูหลิงโหยหวนออกมาด้วยความเ็ป สายตาก็พลางจ้องเขม็งมาที่เมืองวั่งไห่อย่างเคียดแค้น เป็เวลาถึงหนึ่งเค่อเต็มๆ ในที่สุดลำตัวอันใหญ่โตนับร้อยจ้างของมันก็ค่อยๆจมหายลงไปในท้องทะเล…
ไม่นานน้ำทะเลก็ไหลย้อนกลับ คลื่นน้ำโหมแรงขึ้นอีกครั้ง ลมพายุเริ่มโบกพัด เป็เวลากว่าครึ่งชั่วยาม กนะทั่งสุดแนวฝั่งทะเลอูไห่ก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง…
จนเวลานี้เองผู้บำเพ็ญในเมืองวั่งไห่ถึงกับตระหนักขึ้นได้ว่า…
‘เ้าปีศาจร้ายนั่นได้หนีไปแล้ว!’
จากนั้นก็มีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังขึ้น…
ส่วนปราณกระบี่ฉุนหยางก็บินหายกลับเข้าเมืองวั่งไห่ไปตามเดิม ยันต์ไท่หยินก็ราวกับภาพวาดม้วนหนึ่ง ค่อยๆหดเล็กจนกลายเป็เพียงยันต์ขนาดไม่ถึงหนึ่งจ้าง ลอยกลับค่ายกลคุ้มกันเมืองราวกับหลับใหลอีกครั้ง ส่วนไอิญญาที่รายล้อมระฆังไท่เสวียนก็พลันสลายไปเช่นกัน กลายเป็เพียงระฆังโบราณเก่าแก่และเรียบง่าย แขวนอยู่ที่เหนือกำแพงเมืองเช่นเดิม…
ไอิญญาตามตรอกซอยต่างๆก็จางหายไปด้วยเช่นกัน อักขระมากมายบนกำแพงที่เรืองรองก็หม่นแสงลง พริบตาถัดมาก็กลายเป็กำแพงขรุขระตามเดิม ไม่เหลือเค้าความน่าเกรงขามอีกต่อไป…
ภัยพิบัติคลี่คลายลงไป ทุกอย่างกลับเป็เหมือนเดิม…
มีเพียงท่าเรือที่ถูกทำลายจนกลายเป็ซากปรักหักพัง ไม่เหลือชิ้นดี เมื่อกวาดตามองไปจึงพบว่าพื้นที่กว่าพันลี้พินาศเสียหายจนหมดสิ้น เสาไฟกว่าสิบต้นที่ตั้งอยู่กลางทะเลอูไห่ก็เหลือเพียงสามต้นเท่านั้น เกาะน้อยใหญ่มากมายถูกแรงปะทะจนจมหายสู่ก้นทะเล บัดนี้ยังคงมีเสียงถล่มใต้น้ำดังแว่วๆอยู่บ้าง ไม่เพียงเท่านี้จุดชีพจรใต้พิภพก็ยังแปรปรวนจากแรงปะทะของปราณกระบี่และปีศาจอูหลิง ดูท่าภายในหนึ่งเดือนนี้ บริเวณนี้จะต้องมีแผ่นดินไหวบ่อยครั้งเป็แน่…
หลังจากที่ปีศาจอูหลิงถอยร่นกลับไป ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง น้ำทะเลที่เหือดหายไปพร้อมกับปีศาจอูหลิง บัดนี้ก็ค่อยๆไหลเอ่อกลับมา จนเกิดเป็กลุ่มน้ำวนจำนวน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เอง ต่อให้เป็สามฝูงเรือใหญ่ ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามออกเรือไปอีกพักใหญ่…
ภัยพิบัติครั้งนี้ไม่ได้คร่าชีวิตผู้บำเพ็ญไปมากนัก แต่ก็ทำให้เมืองวั่งไห่บอบช้ำพอสมควร เกรงว่าจะต้องใช้เวลากว่าครึ่งปี ถึงจะฟื้นฟูกลับมาได้
ในขณะที่ทุกสำนักกำลังประเมินความเสียหายของสำนักตนอยู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้น จนผู้คนแตกตื่น
“ดูนั่นเร็ว!”
เมื่อสิ้นเสียง เหล่าผู้บำเพ็ญก็หันไปมองตาม พริบตานั้นก็เห็นว่าที่เส้นขอบฟ้า มีลำแสงสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมาจากก้นทะเล ในตอนแรกยังเป็เพียงลำแสงอันอ่อนจางคล้ายเมฆหมอกเบาบางเท่านั้น ทว่าครู่เดียวลำแสงนั้นก็แรงกล้าขึ้น สุดท้ายก็เจิดจรัสราวกับดวงดาว ก่อนจะเกิดเป็เกาะหนึ่งค่อยๆปรากฏขึ้นมา!
ขณะที่เกาะปริศนากำลังปรากฏขึ้นกลางทะเล ทันใดนั้นเองทั่วทั้งเมืองวั่งไห่ก็แตกฮืออีกครั้ง บัดนี้สีหน้าผู้บำเพ็ญมากมายเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เพราะทั้งลำแสงที่พวยพุ่ง และเกาะลึกลับที่ปรากฏขึ้นกลางทะเล ทุกอย่างนี้ล้วนก็เป็โชควาสนาที่หนึ่งชีวิตยากจะพานพบ!
และบ่ายวันนั้นเองก็มีผู้บำเพ็ญนับร้อย ล่องเรือออกไปนับสิบลำ เพื่อมุ่งไปสำรวจยังเกาะปริศนานั้น…
ผู้บำเพ็ญนับร้อยเหล่านี้เป็เพียงผู้บำเพ็ญพเนจร ไร้สังกัดไร้สำนัก จึงไม่มีอะไรให้เป็กังวล เพราะพวกเขาต่างก็ทุ่มทุกอย่างเพื่อมายังทะเลอูไห่แห่งนี้ โดยหวังว่าจะเจอโชควาสนากับเขาบ้าง ทว่าทะเลอูไห่มีสามสำนักใหญ่ยึดครองมาเป็เวลาช้านาน หากมีอะไรดีๆก็จะถูกสามสำนักใหญ่เลือกไปก่อน จากนั้นค่อยเป็เหล่าสำนักเล็กๆที่เหลือ สุดท้ายค่อยตกมาถึงมือเหล่าผู้บำเพ็ญพเนจรเหล่านี้เป็กลุ่มสุดท้าย
คนพวกนี้จึงถือว่าเป็ชนชั้นล่างสุดในที่นี้ก็ว่าได้…
พอมีเกาะลึกลับปรากฏขึ้นมา คนพวกนี้จึงไม่รอช้าที่จะดาหน้าเข้าไป เพราะเดิมทีพวกเขาก็ไม่มีอะไรจะให้เสียอยู่แล้ว จึงไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น…
ผู้าุโของสามสำนักใหญ่มองเหล่าผู้บำเพ็ญพเนจรที่ออกเรือไปด้วยสีหน้าเ็า ทว่ากลับไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เพราะสำหรับผู้าุโทั้งสามแล้ว เหล่าผู้บำเพ็ญนับร้อยนี้เปรียบเสมือนหนูทดลองชั้นเลิศ จะเป็โชควาสนาหรือกับดัก พรุ่งนี้เดี๋ยวก็จะรู้เอง
หากเป็กับดักละก็การตายของผู้บำเพ็ญนับร้อยแลกกับการชีวิตที่ปลอดภัยของเหล่าศิษย์สามสำนักใหญ่ จึงถือว่าคุ้มค่าทีเดียว…
หากเป็โชควาสนา สามสำนักใหญ่ก็ไม่รีบร้อน ค่อยส่งสามฝูงเรือและผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันออกไปทีหลัง ภายใต้ความแตกต่างของพลังที่ราวกับฟ้าเหวนี้ สุดท้ายผลประโยชน์ก็ย่อมตกมาที่สามสำนักใหญ่อยู่ดี
“จริงสิ คนผู้นั้นของร้านหลอมอาวุธฟานซื่อได้เข้าร่วมด้วยหรือไม่?” ่เวลาพลบค่ำ จู่ๆผู้าุโหลงเซี้ยงจากสำนักเชียนซานก็โพล่งถามออกมา
เมื่อสิ้นเสียงของหลงเซี้ยง ผู้าุโอีกสองคนก็ชะงักลง ช่วยไม่ได้ หลังจบเทศกาลไห่หุ่ย ผู้บำเพ็ญที่ชื่อหลินเฟยจากร้านหลอมอาวุธฟานซื่อก็มีตำนานเื่เล่ามากมาย ต่อให้เป็ผู้าุโทั้งสามที่มีฐานะสูงส่ง ยังอดที่จะหวั่นเกรงไม่ได้…
เพราะอีกฝ่ายมีพลังเพียงขั้นมิ่งหุนเคราะห์สองเท่านั้น แต่กลับรอดตายจากเงื้อมมือของผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันได้ คนเช่นนี้จึงถือว่าหายากเลยทีเดียว…
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------