เสียงอึกทึกจากด้านนอกดังเป็พิเศษ ใบหน้าของผู้คนแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี เ้าบ่าวรูปงามสง่าผ่าเผยกับเ้าสาวเรือนร่างเย้ายวนพราวเสน่ห์สวมผ้าคลุมหน้าสีแดงผืนใหญ่ สีสันแห่งการเฉลิมฉลองอันเป็มงคลล่อลวงสายตาผู้คน
เสียงหัวเราะชื่นมื่นกลมกลืนไปกับเสียงประทัดดังกึกก้อง เผยกลิ่นอายมงคลและความยินดี
มีเพียงนางที่ต้องเดียวดายไร้อิสรภาพ ท่ามกลางบรรยากาศอันครึกครื้นเช่นนี้
โม่เสวี่ยถงยืนอยู่หลังม่านที่มุมห้อง หมวกใบเล็กสีเขียวแกมน้ำเงินไม่อาจซ่อนความเกลียดชังราวกับกระหายเืที่อยู่ในก้นบึ้งของดวงตา มองดูโม่เสวี่ยิ่กับซือหม่าหลิงอวิ๋น หนึ่งรอยยิ้มเขินอายกับอีกหนึ่งรอยยิ้มอ่อนโยนจูงมือกันอย่างรักใคร่ มือขาวซีดผอมแห้งจนเห็นแต่หนังหุ้มกระดูกของโม่เสวี่ยถงสั่นระริก กำหินเหล็กไฟไว้ก้อนหนึ่ง
ใครเลยจะคิด คนหนึ่งคือพี่สาวลูกอนุภรรยา ส่วนอีกคนหนึ่งคือสามีของนาง ทว่าตนเองกลับเป็ภรรยาที่เขาปรารถนาจะมอบความตายให้ด้วยสุราพิษจิว[1] ชามหนึ่ง
พวกเขาฆ่าโม่อวี้ ฆ่าแม่นมสวี่ แล้วยังฆ่าอวี้เอ๋อร์ที่เป็เพียงทารกอยู่ในผ้าอ้อม แม้แต่ชื่อของเขาก็มีแต่นางที่เป็คนตั้งให้
...
“โม่เสวี่ยถง เ้านึกว่าเขาจะรักเ้าจริงเช่นนั้นหรือ หน้าตาอัปลักษณ์น่ารังเกียจถึงเพียงนี้ ไม่สู้ตายไปเสียจะดีกว่า ไยต้องอยู่ให้อับอายขายหน้าผู้คน วางใจเถอะ ตำแหน่งของเ้าต่อไปข้าจะเข้ามาอยู่แทนที่เอง สินเดิมมารดาเ้าแน่นอนว่าข้าก็ต้องเป็คนจัดการดูแล ตอนนี้เ้าก็ไปตายได้แล้ว”
…
แม้ต้องลงนรกขุมสิบแปดนางก็ยินยอม ขอแค่ลากชายโฉดหญิงชั่วคู่นี้ลงไปด้วยกัน
นางมองชายหญิงสารเลวที่อยู่นอกม่านแดงคู่นั้นด้วยแรงพยาบาท โม่เสวี่ยถงจุดไฟเผาม่านอย่างสงบนิ่ง รอบกายอบอวลไปด้วยไอมรณะ แค้นสิ ทำไมนางจะไม่แค้น แค้นจนแทบจะสูบเืกินเนื้อของพวกเขาได้เลย
ั์ตาแดงก่ำเป็สีโลหิต เมื่อ์ไร้ความเที่ยงธรรมเช่นนี้ นางก็ขอแก้แค้นเพื่อตนเองเถิด
ม่านสีแดงติดไฟลุกโชติ่ บรรดาแเื่แตกตื่นวิ่งหนีตายกันอลหม่าน ห้องโถงมงคลเต็มไปด้วยความโกลาหล ซือหม่าหลิงอวิ๋นผู้เป็เ้าบ่าวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ดึงโม่เสวี่ยิ่ที่ยังไม่รู้ว่าเกิดเื่อะไรขึ้นหนีออกไปด้านนอก
แต่ยกขาไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกฉุดรั้งอย่างแรงให้อยู่กับที่ พอก้มศีรษะลงไปดูก็เห็นชายอาภรณ์ด้านหนึ่งถูกดึงไว้อย่างเอาเป็เอาตาย เปลวเพลิงโหมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชั่วขณะนั้นก็เริ่มมีบางสิ่งร่วงกราว คานขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือศีรษะสั่นะเืจวนเจียนจะหล่นอยู่รอมร่อ ห้องโถงมงคลตกอยู่ในสภาวะอันตรายพร้อมทรุดตัวถล่มลงทุกเมื่อ ซือหม่าหลิงอวิ๋นตื่นตระหนก ยกเท้าเตะโม่เสวี่ยถงที่ยื้อยุดเสื้อคลุมตัวยาวเอาไว้สุดชีวิต ส่วนโม่เสวี่ยิ่ก็ดึงผ้าคลุมหน้าเ้าสาวออก แล้วหลบหนีไปอีกทางอย่างเร่งรีบ
ในระหว่างการยื้อยุดฉุดกระชาก ขื่อคานขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือศีรษะของโม่เสวี่ยถงก็หล่นลงมาทับร่างของนาง หัวถูกกระแทกฟาดลงกับพื้น เืไหลอาบ ดวงตาพลันพร่าเลือน เสียงคำรามดุเดือดดังกึกก้องอยู่ในหัว ทำให้ไม่อาจใคร่ครวญสิ่งใดได้อีก ดวงตาจับจ้องซือหม่าหลิงอวิ๋นเขม็ง ใบหน้าที่อาบไปด้วยโลหิตสีแดงฉานเผยรอยยิ้มสุดรันทดและสิ้นหวัง
หากชาติหน้ามีจริง นางจะให้พวกมันชดใช้ เืต้องล้างด้วยเื รับรองว่านางจะทำทุกอย่างให้หญิงชายชาติสุนัขคู่นี้มีชีวิตดั่งอยู่ในขุมนรกทุกภพทุกชาติ แม้ว่าจะต้องกลายเป็ผีร้ายในอเวจี นางก็ยอมสละตนเองเพื่อลากพวกมันลงไปด้วยกัน
“โม่เสวี่ยิ่ ซือหม่าหลิงอวิ๋น ข้าขอสาบานด้วยิญญาของตนเองและบุตรชาย ความเ็ปทุกข์ทรมานที่พวกเ้ามอบให้ ข้าจะส่งคืนกลับไปเป็ร้อยเท่าหมื่นเท่า”
น้ำเสียงประหนึ่งคำสาปแช่งยังคงวนเวียนอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงเนิ่นนานไม่สลายไป...
ณ เรือนชิงเวย
ั้แ่ฟื้นขึ้นมาโม่เสวี่ยถงยังคงนอนนิ่งอยู่ในท่าเดิม มือทั้งสองกำแน่น ร่างกายแข็งทื่อ ความเ็ปจากเปลวเพลิงดูเหมือนยังคงแผดเผาอยู่ทั่วร่าง หัวใจเ็ปประหนึ่งถูกฉีกกระชากจนขาดวิ่น ความทรมานแบบนั้นทำให้นางหอบหายใจติดขัดอย่างรุนแรง ความเคียดแค้นอันบ้าคลั่งดั่งหลุมดำไร้ก้นบึ้งฝังอยู่ในห้วงความคิด ทำให้นางแยกไม่ออกว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็ความฝันหรือความจริง
นางเหม่อมองลวดลายเกล็ดหิมะบนยอดม่านชั้นบนที่แขวนอยู่อย่างเลื่อนลอยไปครู่ใหญ่ ถึงพบว่านั่นคือมุ้งปักลายที่นางเคยโปรดปรานมากที่สุด รอบด้านประดับด้วยเชือกถักสีถั่วเขียวกับหินปะการังแดง สีแดงสลับเขียวร้อยเป็ม่านบุปผาระย้าเรียบง่ายสวยสง่าส่องประกายวิบวับ ทั้งแปลกตาและงดงามอย่างหาได้ยากยิ่ง สายลมโชยผ่านม่านมุ้งพลิ้วไหวดูราวกับบุปผาร่วงพรูตระการตา
หลังจากใคร่ครวญอยู่นานนางก็สะบัดผ้าห่มออก แต่ก็ต้องใเมื่อพบว่าแขนของตนเองช่างเรียวเล็กราวกับเด็กน้อยยังไม่โต นางค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งบนเตียง ผินมองกระจกทองเหลืองบนโต๊ะเครื่องแป้งตรงฉากบังตาซึ่งอยู่ไม่ไกล ที่กำลังสะท้อนภาพใบหน้าอ่อนเยาว์อย่างชัดเจน ว่าเป็เพียงเด็กหญิงที่ยังไม่เติบโตผู้หนึ่ง
เดี๋ยวก่อน... ม่านปักลาย แขนเรียวเล็ก ใบหน้าอ่อนเยาว์ของสาวน้อย โม่เสวี่ยถงเบิ่งตามองตนเองในกระจกอย่างตื่นตะลึง หัวใจเต้นระรัวราวกับกำลังคลั่ง ยกแขนขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ แล้วมองรูปโฉมที่ปรากฏบนกระจกทองเหลืองอย่างงุนงง นี่คือรูปร่างหน้าตาของตนเองเมื่อครั้งเยาว์วัยชัดๆ ปิ่นทองฝังหยกที่ปักอยู่บนมวยผมก็เป็ของขวัญที่ลูกพี่ลูกน้องมอบให้นางเมื่อครั้งวันเกิดครบอายุสิบสามปี
หรือว่า... นางยังไม่ตาย แต่ย้อนกลับมาตอนอายุสิบสาม? ปลายนิ้วที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็หดนิ้วมือเข้ามากำไว้แน่น ความเจ็บจากปลายเล็บแหลมที่จิกเข้าเนื้อทำให้นางกระจ่างใจโดยฉับพลัน ทุกสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าล้วนเป็ความจริง นี่คือเื่จริง นางคาดไม่ถึงว่าจะได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง มิหนำซ้ำยังเป็ชีวิตก่อนที่โศกนาฏกรรมจะเกิดขึ้น แม้จะไม่ใช่จุดเริ่มต้น แต่ก็มิใช่จุดสิ้นสุด ทุกอย่างยังแก้ไขทัน
นางกัดริมฝีปากแน่น บังคับกดดันตนเองราวกับการทำเช่นนั้นจะสร้างแรงกระตุ้นให้นางหัวเราะและะโโลดเต้นอย่างบ้าคลั่ง หยาดน้ำตาคลอเต็มเบ้า
เมื่อมองใบหน้าอิดโรยขาวซีดของสาวน้อยผู้อ่อนเยาว์ในกระจก พลันนึกถึงเื่ที่นางพลัดตกแม่น้ำในปีนั้น นางสลบไปถึงสองวัน ตอนนั้นนางอายุเพียงสิบสามปีจริงๆ
ทั้งความปีติและโศกเศร้าที่ยากจะบรรยายพรั่งพรูเข้ามาในหัวใจ เกิดเป็ระลอกคลื่นมหึมาสาดซัดอยู่ในก้นบึ้งดวงจิตที่อดกลั้น สองมือที่กุมไว้สั่นน้อยๆ อย่างมิอาจควบคุม
ความคิดแรกของนางคือ ์ยังมีตา นางจึงมีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง!
์คงเห็นว่านางได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส จึงให้นางกลับมาสะสางหนี้แค้นให้ตนเองโดยไม่ต้องรอถึงชาติหน้า ฟางอี๋เหนียง โม่เสวี่ยิ่ ซือหม่าหลิงอวิ๋น... นางจะไม่เชื่อใจคนผิดอีกแล้ว
ครั้งนี้ถึงคราวนางส่งพวกเขาลงนรกบ้าง
“คุณหนู อยากดื่มน้ำหรือไม่ ปวดหัวหรือเปล่า อย่าทำให้บ่าวต้องใแบบนี้อีกนะเ้าคะ หากคุณหนูเป็อะไรไป จะให้บ่าวมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร ตอนนี้เป็อย่างไรบ้าง รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่...”
หญิงวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมกันหนาวสีเทาเลิกม่านประตูขึ้นแล้วเดินเข้ามา เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงนั่งใจลอยอยู่หน้าเตียง ก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง ฉับพลันใบหน้าก็เต็มตื้นไปด้วยความอาลัยรัก รีบก้าวเข้ามาสองสามก้าวแล้วยื่นมือเข้ามากุมมือโม่เสวี่ยถงสอดเข้าไปใต้ผ้าห่ม ลูบหน้าผากนางตามความเคยชิน ค่อยๆ วางใจลงได้ จากนั้นก็บ่นจู้จี้จุกจิกไม่หยุดปาก
ทว่าถ้อยคำพร่ำบ่นที่กรอกหูอยู่นี้ กลับนำความยินดีที่แสนอบอุ่นมาให้โม่เสวี่ยถง
สวี่มามา... เป็สวี่มามา แม่นมผู้ไม่เคยทอดทิ้งตนเอง เมื่อเห็นใบหน้าผอมแก้มตอบที่คุ้นตาก็อดรู้สึกแสบจมูกไม่ได้ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาจนั์ตาพร่าเลือน
นางสูดกลิ่นกายที่คุ้นเคยของสวี่มามา ความร้อนภายใต้อุ้งมือคือความอบอุ่นอ่อนโยนที่ออกมาจากกายของนาง โม่เสวี่ยถงหลั่งน้ำตาไม่ขาดสาย เื่นั้น... นางนึกออกแล้ว
วันก่อนเป็วันเซ่นไหว้ครบรอบวันตายของมารดา โม่เสวี่ยถงไปกราบไหว้มารดาที่ริมทะเลสาบ เนื่องจากไม่ได้อยู่ในบ้านของตนเอง นางรู้สิ่งใดควรไม่ควรจึงเลือกที่จะใช้เวลาเพียงเล็กน้อยหลังอาหารเย็นพาสาวใช้สองคนคือโม่อวี้กับโม่จู๋ไปด้วย นางปรารถนาให้สายน้ำนำความคิดถึงที่มีต่อมารดากลับไปยังบ้านเดิมของตน
ระหว่างทางนึกขึ้นได้ว่าลืมหยิบพัดที่มารดาทิ้งไว้ให้มาด้วย โม่อวี้จึงกลับไปนำมาให้ หลังจากโม่จู๋จัดเตรียมโต๊ะบูชาให้นางเสร็จเรียบร้อยก็ถอยไปอยู่ด้านหลัง นางคุกเข่าลงกับพื้นอธิษฐานอยู่เงียบๆ แต่กลับไม่รู้เลยว่าเคราะห์ภัยจากฟ้ากำลังมาถึงตัว หินก้อนหนึ่งของูเาจำลองเกิดหลวมและทลายลงมายังร่างตน นางผลุนผลันลุกขึ้นคิดจะวิ่งหนี แต่ไม่รู้ว่าชายกระโปรงไปเกี่ยวสิ่งใดเข้าจึงทำให้นางเสียหลักพลัดตกไปในแม่น้ำ
ครั้งนั้นนางเกือบสังเวยชีวิต สลบไสลไปถึงสองวันกว่าจะฟื้นขึ้นมา
ใช่แล้ว นางจำทุกอย่างได้ชัดเจน สถานที่แห่งนั้นไม่มีสิ่งกีดขวางที่พอจะทำให้นางสะดุดได้เลย รอบด้านเป็ลานโล่ง แม้แต่หญ้ารกก็ยังไม่มี แต่นางกลับเสียหลักพลัดตกลงไปในน้ำ สำลักจนหายใจไม่ออกเกือบตาย ความเป็จริงทำให้นางถลาเข้าไปในอ้อมแขนของสวี่มามาและร้องไห้สะอึกสะอื้น
“คุณหนู คุณหนูเป็อะไรไป หรือว่ายังเจ็บตรงไหน ให้บ่าวช่วยดูเถิดเ้าค่ะ” เห็นคุณหนูของตนร้องไห้แบบนี้ ก็นึกว่านางถูกเหตุการณ์เฉียดตายทำให้หวาดกลัว จึงพลิกมือขึ้นมาโอบกอดโม่เสวี่ยถงเอาไว้ด้วยความห่วงใย ตบหลังนางเบาๆ พลางปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็ไรแล้วเ้าค่ะคุณหนู... ทูนหัวของบ่าว ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วนะเ้าคะ สวี่มามาอยู่นี่แล้ว”
นางกอดสวี่มามาไว้แน่นและยิ่งร่ำไห้รุนแรงขึ้น คล้ายกับคนหัวใจแหลกสลาย ราวกับว่าใช้การร้องไห้ครั้งนี้เพื่อระบายทุกความเกลียดชัง ความอาฆาตและความตื่นกลัวที่อยู่ในใจออกมา แล้วหลังจากการร้องไห้ครั้งนี้สิ้นสุดลง นางสัญญากับตนเองว่าจะไม่ร้องไห้อีก เพราะคนที่ต้องร้องไห้หลังจากนี้คือคนพวกนั้น
ตอนนี้นางเ็ปเท่าไร คนเ่าั้ต้องเ็ปยิ่งกว่าเป็เท่าทวีคูณ
“ถงเอ๋อร์เป็อะไรไปหรือ ผู้ใดรังแกถงเอ๋อร์ของข้า” เสียงหัวเราะอย่างสนิทสนมดังขึ้น คำพูดที่เจือด้วยเสียงหัวเราะลอยนำเข้ามาั้แ่ตัวยังไม่ผ่านเข้าประตู ผ้าม่านลายประณีตวิจิตรด้านนอกถูกเลิกสูงขึ้น อวี้ซื่อเดินยิ้มหน้าชื่นเข้ามา
นางอายุราวสามสิบปีเศษ รูปโฉมงดงาม สวมกระโปรงจีบม้าแปดกลีบสีฟ้าอ่อน ทำให้ดูอ่อนกว่าวัยเป็พิเศษ ทันทีที่เข้ามาถึง สองตาก็มองประเมินโม่เสวี่ยถงั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อเห็นนางพิงขอบเตียงอย่างอ่อนแรง ก็ยิ้มระรื่นแล้วนั่งลงหน้าเตียงก่อนจะยึดมือนางมากุมอย่างอบอุ่นสนิทสนม
“ท่านป้าสะใภ้” โม่เสวี่ยถงััถึงประกายเฉียบคมดุดันภายใต้ก้นบึ้งของดวงตา จึงเงยหน้าขึ้นมองอวี้ซื่อทั้งน้ำตาที่หลั่งคลอ
แม้จะมองผ่านม่านน้ำตาที่พร่าเลือน นางก็ยังดูออกว่าในก้นบึ้งของดวงตาคู่นั้นมีความเ็าอยู่หลายส่วน ไหนเลยจะมีความทุกข์ร้อนกังวลใจแม้เพียงนิด
“ดูแล้วช่างน่าสงสารนัก ผ่ายผอมถึงเพียงนี้ ร่างกายคงอ่อนแอมากเป็แน่แท้ ต้องพักผ่อนให้มากนะ” แล้วอวี้ซื่อก็เรียกโม่จู๋ที่มาพร้อมกับนางให้เข้ามา ดวงหน้าเผยรอยยิ้มเมตตาอ่อนโยน แสดงความรักและห่วงใยที่ผู้าุโมีต่อผู้น้อยอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับไม่เอ่ยถึงเื่ที่โม่เสวี่ยถงตกน้ำเลย
“คุณหนูนอนลงก่อน พักผ่อนให้มากหน่อย ก็เพราะร่างกายอ่อนแอแบบนี้อย่างไรเล่าจึงสะดุดล้มได้ เมื่อทราบว่าคุณหนูตกน้ำ ฮูหยินก็เป็ห่วงจนนอนไม่หลับทั้งคืน คุณหนูช่างมีบุญวาสนาโดยแท้ ชาตินี้จึงมีฮูหยินผู้เป็ป้าสะใภ้รักใคร่ห่วงใยถึงเพียงนี้” โม่จู๋กระวีกระวาดก้าวเข้ามาประคองโม่เสวี่ยถงให้นอนลงอย่างเอาใจใส่
นางเป็สาวใช้สวมชุดเสื้อกระโปรงปักดิ้นลายบุปผา อายุราวๆ สิบห้าสิบหกปี กำลังอยู่ใน่วัยแรกรุ่น ทั้งงดงามและปราดเปรื่องเป็ที่สุด รูปร่างอรชรบอบบางราวกับจะปลิวไปตามลม วางสีหน้าบ่าวผู้แสนดีที่เอาใจใส่ผู้เป็นายอย่างเต็มที่
แต่หากฟังความหมายจากคำพูดของนางอย่างถี่ถ้วน กลับไม่ได้กล่าวเพื่อโม่เสวี่ยถงสักนิด แต่ละคำที่ออกจากปากล้วนมีแต่ถ้อยคำสรรเสริญเยินยออวี้ซื่อ ซ้ำยังกลายเป็ตำหนิว่าร่างกายของโม่เสวี่ยถงอ่อนแอ เป็ภาระให้ผู้ใหญ่ต้องกังวล
โม่เสวี่ยถงเหลือบตามองสาวใช้ตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย พลางยิ้มเย็นอยู่ในใจ
โม่จู๋ นางลืมสาวใช้ผู้นี้ไปได้อย่างไร...
ตอนนี้นางกำลังป่วยไข้ ไม่เห็นสาวใช้ผู้นี้จะมาดูแลเอาใจใส่ แต่กลับแล่นไปประจบประแจงอวี้ซื่อ พูดวกไปวนมากลายเป็ตำหนิว่านางอยู่บ้านผู้อื่นแล้วยังไม่รู้จักดีชั่ว ก่อเื่สร้างปัญหามาให้
แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ ตอนที่อยู่ริมทะเลสาบมีคนจงใจทำให้นางสะดุดล้มชัดๆ และสถานที่แห่งนั้นก็ไม่มีผู้อื่นนอกจากโม่จู๋เพียงคนเดียว
………......................................................................................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] สุราพิษจิว คือ สุราพิษชั้นยอดที่มักใช้ในวังหลวง