“ข้ากำลังจะวางค่ายกลใหญ่ ผู้ใดที่เข้ามาอย่างไม่เป็มิตร ข้าจะสังหารเสียให้สิ้น โดยไม่ปรานี!” กู่ไห่ประกาศอย่างเืเย็น
ฟึ่บ!
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ จวน พลันเบิกตากว้างทันที
วางค่ายกล? สร้างค่ายกลใหญ่?
ค่ายกลเมื่อครู่ยังคงติดตาพวกเขา แน่นอนว่าค่ายกลเช่นนั้น ถึงแม้จะะเิอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่รุนแรงมาก ถึงขนาดรับมือไม่ไหว
ทว่า ตอนนี้กู่ไห่กำลังจะวางค่ายกล!
“ค่ายกลกระบี่์อย่างนั้นหรือ?”
“หรือจะเป็ค่ายกลตารางหมากยี่สิบแปดเส้น?”
“ค่ายกลใหญ่ ที่สังหารผู้ฝึกตนไปมากถึงสองหมื่นคนนั่นน่ะหรือ?”
เหล่าผู้ฝึกตนเริ่มรู้สึกตัว และบางคนเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็เริ่มถอยไปยังพื้นที่นอกจวน
กู่ไห่มิได้สนใจกลุ่มผู้ฝึกตนจากทั่วสารทิศอีก เพียงเหลือบตามองกลุ่มคนโฉดของตนแทน
“เกาเซียนจือ เ้านำกองกำลังทัพฟ้าไปลาดตระเวนรอบๆ จวนสกุลกู่ หากมีคนกล้าบุกเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว ฆ่าได้ทันที!” กู่ไห่เอ่ยเสียงต่ำ
“ขอรับ!” เกาเซียนจือตอบ
กู่ไห่มองกู่ฮั่น ก่อนพูด “กู่ฮั่น เ้าคอยช่วยเหลือเกาเซียนจือ ชี้ขอบเขตของการลาดตระเวน และจัดการกับศิษย์สํานักซ่งเจี่ยที่เหลือ”
“ขอรับ! พ่อบุญธรรม!” กู่ฮั่นตอบรับ
“กู่ฉิน เ้าช่วยจัดการเื่ที่พักให้พวกเขา” กู่ไห่สั่ง
“ขอรับ! พ่อบุญธรรม!” กู่ฉินขานรับ
จากนั้น กู่ฉินก็ค่อยๆ ทยอยพากลุ่มคนโฉดไปยังที่พักซึ่งจัดไว้
ใน่ครึ่งปีนี้ มีการก่อสร้างและต่อเติมอาคารอย่างต่อเนื่อง จวนสกุลกู่จึงขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ตาม หอคอยทะยาน์ก็ยังคงเป็สถานที่ซึ่งกู่ไห่โปรดปรานที่สุด
เมื่อกลับถึงจวนสกุลกู่ กู่ไห่ก็อาบน้ำร้อน ชำระร่างกายให้สดชื่น
จากนั้นก็จะหยิบหินิญญาออกมาเป็จำนวนมาก แล้วเริ่มวางค่ายกลใหญ่ โดยมีกลุ่มคนโฉดเป็ลูกมือช่วยฝังหินิญญาตามผังที่วางไว้
ฟู่ว์!
ทันใดนั้น หมอกสีขาวก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า และค่อยๆ ปกคลุมไปทั่วบริเวณจวนสกุลกู่
“ไปกันเถอะ... กู่ไห่ได้วางค่ายกลแล้ว!”
“ค่ายกลกระบี่์... จะต้องเป็ค่ายกลกระบี่์แน่นอน!”
“มันคือค่ายกลตารางหมากยี่สิบแปดเส้นต่างหากเล่า!”
เหล่าผู้ฝึกตนพากันถอยกรูดไปอย่างรวดเร็ว เพราะเคยได้ยินมานักต่อนักแล้ว ว่าค่ายกลของกู่ไห่นั้นอันตรายมาก
...
บนหอคอยทะยาน์
กู่ไห่มองดูค่ายกลั์ ที่ปกคลุมไปด้วยเมฆและหมอก ด้วยดวงตาที่ฉายแววพึงพอใจ คนด้านนอกไม่อาจมองเห็นพื้นที่ภายในได้ แต่ตัวเขาที่ยืนอยู่บนหอคอยแห่งนี้ สามารถมองเห็นโลกภายนอกได้อย่างชัดเจน
“พ่อบุญธรรม นี่เป็ค่ายกลกระบี่์ หรือค่ายกลตารางหมากยี่สิบแปดเส้นหรือขอรับ?” กู่ฉินมองไปรอบๆ ด้วยความแปลกใจ
“ไม่ใช่ทั้งคู่!” กู่ไห่ส่ายหน้า
“หืม?”
“ค่ายกลที่ว่า หากจะสร้างต้องใช้หินิญญาจำนวนมหาศาล หินิญญาแค่นี้ไม่พอหรอก!” กู่ไห่กล่าว
“แล้วนี่คือค่ายกลอะไรหรือขอรับ?” กู่ฉินถาม อย่างสงสัย
“ค่ายกลอันว่างเปล่า” กู่ไห่สูดลมหายใจลึก ก่อนตอบ
กู่ฉินมีสีหน้ากังวลเล็กน้อย “พ่อบุญธรรมช่างหลักแหลมนัก ท่านมีทั้งค่ายกลกระบี่์ และค่ายกลตารางหมากยี่สิบแปดเส้น ผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ คงไม่กล้าเอาชีวิตของตนมาเสี่ยงแน่!”
กู่ไห่พยักหน้า
…
นอกจวนสกุลกู่ ภายในป่าเขาที่ห่างไกล
สวบสาบๆๆ!
เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นในป่าใหญ่ หาใช่ใครอื่น แต่เป็กลุ่มคนโฉดที่เฉินเทียนซานเป็ผู้นำทัพไป
ทว่า บัดนี้ ร่างของเขากลับถูกเปลหามอยู่กลางป่า
“แค่กๆๆ!... เร็วเข้า! ไปทางนั้น จวนสกุลกู่อยู่ทิศนั้น... แค่กๆๆ!” เฉินเทียนซานที่อยู่บนเปล ชี้ไปยังจุดที่ไกลออกไป
ไม่เพียงแค่เฉินเทียนซานเท่านั้น ตอนนี้ยังมีคนโฉดจำนวนมากที่าเ็ ส่วนใหญ่ถูกหามด้วยเปลเช่นกัน เมื่อได้ยินว่าจวนสกุลกู่อยู่ทิศทางใด คนที่เหลือก็รีบเดินทางกันอย่างเร่งด่วน
“หัวหน้า ทำไมสำนักชิงเหอถึงทำเช่นนี้? เหตุใดจึงซุ่มโจมตีเรา?” สีหน้าของหนึ่งในคนโฉดเอ่ยขึ้น
“แค่กๆ! คนทรยศ พวกเขาเป็คนทรยศ ทรยศสำนักชิงเหอของข้า แล้วไปร่วมมือกับศิษย์ของซ่งเจี่ย!” เฉินเทียนซานกล่าวด้วยใบหน้าหม่นหมอง
“หัวหน้า พวกเรากลับไปสังหารมันกันเถอะ!” สมุนหลายคนถลึงตา ก่อนเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว
“ไม่!... อย่ากลับไป!” เฉินเทียนซานห้าม ด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“หัวหน้า ข้าคงไม่มีหน้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้! การซุ่มโจมตีครานี้ เราาเ็ถึงสามร้อยคน และเสียชีวิตอีกสิบห้าคน พวกเราเคยสูญเสียมากขนาดนี้เมื่อไรกัน?” หนึ่งในกลุ่มคนโฉดเอ่ย
“ข้ารู้… แค่กๆๆ! ว่าตัวเองไม่มีพลังแข็งแกร่ง ไม่รู้เท่าทันกลอุบายของพวกมัน ข้าไม่ฉลาดเช่นเกาเซียนจือ ไม่ดุร้ายเท่าฮวางบู และไม่ลึกลับเหมือนซ่างกวนเหิน...
แต่ข้ารู้ดีว่าตนเองนั้นกลัวตาย... อะแฮ่ม! กลัวยมทูต แม้จะเคยเอ่ยกับนายท่านว่าไม่กลัว แต่แท้จริงแล้ว ข้าซ่อนมันไว้ในใจมาตลอด
เพราะข้าพรั่นพรึงต่อความตาย จึงไม่อยากให้พวกเราไปเสี่ยง ข้าเสียลูกน้องไปสิบห้าคนแล้ว และไม่้าเสียเพิ่มอีก ดังนั้น เราจะต้องนำเื่นี้ไปรายงานต่อนายท่าน ให้นายท่านแก้แค้นแทนพวกเรา” เฉินเทียนซานกล่าวอย่างอ่อนเพลีย
“เฮ้อ!” กลุ่มคนโฉดเมื่อได้ยินเช่นนั้น พลันรู้สึกหดหู่ขึ้นมา
“สำนักชิงเหอถูกทำลาย... ฮ่าๆๆ! สำนักล่มสลาย... สุดท้าย ก็สายเกินไป! ตอนนี้มันเป็ของสำนักซ่งเจี่ยไปเสียแล้ว หัวหน้าสำนักก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด เป็หรือตายก็ไม่อาจรู้ แม้แต่ท่านถังจู่แห่งหออี้ผินก็ยังถูกคุมขัง... หัวหน้าสำนักซ่งเจี่ย เ้าช่างกล้านัก!” เฉินเทียนซานพูด น้ำเสียงอ่อนล้า
“ท่านถังจู่แห่งหออี้ผิน? เหตุใดจึงถูกคุมขังได้? นางมาทำอะไรที่นี่? “
“ไม่รู้สิ! รีบไปตามเส้นทางนี้เถอะ รีบไปพบนายท่าน... เร็วเข้า!” เฉินเทียนซานเร่ง เสียงอ่อนระโหย
“ขอรับ!” เหล่าคนโฉดขานรับ ก่อนเร่งรุดเดินทางอย่างรวดเร็ว
...
จวนสกุลกู่
ข้างๆ จวนเป็หุบเขาขนาดเล็ก ซึ่งตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา จึงทำให้คนนอกไม่กล้าเข้าใกล้
ภายในหุบเขาค่อนข้างเงียบสงบ มีลำธารใสไหลผ่าน รอบๆ บริเวณเต็มไปด้วยดอกตู้เจวียน[1] สถานที่แห่งนี้ถือเป็เขตหวงห้าม ซึ่งไม่อนุญาตให้คนเข้า เพื่อมิให้รบกวนบรรยากาศอันสงบสุข
ขณะนั้น กู่ไห่ถือกล่องอาหาร เดินผ่านพุ่มดอกตู้เจวียน ตรงเข้าไปในหุบเขา ก่อนหยุดอยู่หน้าสุสานขนาดเล็ก
แผ่นศิลาที่ตั้งอยู่หน้าสุสาน ดูเรียบง่ายไม่หรูหรา บนป้ายนั้นสลักตัวอักษรเอาไว้ว่า ‘สุสานของภรรยารัก เฉินเซียนเอ๋อร์’
กู่ไห่ถือกล่องอาหารไว้ในมือ แล้วทอดสายตาไปยังสุสาน
ไม่นาน กล่องอาหารก็ถูกเปิดออกเบาๆ เขาค่อยๆ หยิบขนมออกมาจานหนึ่ง
“เค้กถั่วเขียว เค้กข้าวมันม่วง เค้กถั่วแดง ทั้งหมดที่เ้าโปรดปราน ครึ่งปีนี้ไม่ได้มาเยี่ยมเยือน ต้นไม้ขึ้นจนรกไปหมด เ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่?” กู่ไห่มองไปที่หลุมศพ พร้อมเผยรอยยิ้มเศร้า
เขาค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่ง ก่อนเอนกายพิงป้ายหลุมศพ
“เซียนเอ๋อร์ ตาเฒ่ากลับมาแล้ว” กู่ไห่กล่าว พลางถอนหายใจเล็กน้อย
กู่ไห่เอนตัวพิงหลุมศพ จากนั้นก็เงยหน้ามองท้องฟ้า ความรู้สึกผ่อนคลาย เข้ามาแทนที่ความเ็ปในหัวใจ ต่อหน้าคนอื่น กู่ไห่ผู้นี้มากไปด้วยศักดิ์ศรี และดุดันอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่เมื่ออยู่ ณ ที่แห่งนี้ เขากลับละทิ้งทุกสิ่ง กลายเป็เพียงเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเท่านั้น
“เห็นหรือไม่ ข้าดูเยาว์วัย มิใช่ตาแก่อีกแล้ว ตอนนี้พลังของข้าอยู่ในระดับก่อ์ขั้นที่เจ็ดแล้ว ข้าเคยบอกเ้าแล้ว ว่าหากคนอื่นสามารถฝึกพลังได้ ข้าก็ต้องทำได้แน่ และข้าก็ทำสำเร็จ
ข้าจะเลื่อนระดับพลังไปสู่แก่นทองคำให้เร็วที่สุด จะได้บรรลุระดับหยวนอิงเร็วๆ ข้าต้องแข็งแกร่ง และมีอำนาจมากขึ้น ทำให้ผู้ที่เคยเหยียบย่ำพวกเรา ไม่อาจทำเช่นนั้นได้อีก
ข้าจะแก้แค้นให้เ้า หากพบคนที่สังหารเ้า ข้าจะฉีกพวกมันเป็ชิ้นๆ”
เขากล่าวเสียงเรียบ ทว่าดวงตาคู่นั้น กลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“เ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้า ข้าจะมีชีวิตที่ดี ดีกว่าคนทั้งปวง ดีกว่าศัตรูของเรา”
“ตอนนี้ ข้ามีหน้ามีตาขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว หากพวกมันมาที่เกาะจิ๋วหวู่ ข้าจะหาพวกมันให้เจอทีละคน... ภรรยาข้า ที่รักของข้า!”
กู่ไห่หยิบเค้กถั่วเขียวขึ้นมากิน มองไปรอบๆ บริเวณ ไม่นานก็คลี่ยิ้มอย่างขมขื่น
“หลายเดือนก่อน ในดินแดนแรกสาบสูญ ข้าได้ยินมาว่ามนุษย์มีสามดวงจิต คือจิตแห่งฟ้า จิตแห่งปฐี และจิตแห่งิญญา
หลังจากตายไป จิตแห่งฟ้าจะกลับคืนสู่์ จิตแห่งปฐีก็จะกลับชาติมาเกิดใหม่ ส่วนจิตแห่งิญญาจะอยู่ดูแลหลุมศพ
จิตแห่งิญญาของเ้ายังอยู่หรือไม่? เห็นข้าหรือเปล่า? ได้ยินข้าบ้างไหม?” กู่ไห่กินเค้กถั่วเขียวในมือ ก่อนเอ่ยอย่างแ่เบา
“ข้าคิดถึงเ้าเหลือเกิน... เซียนเอ๋อร์!” พลันหยาดน้ำตาใสๆ ก็ไหลรินจากหางตาของเขา
กู่ไห่อิงกายกับหลุมศพ พร้อมพึมพำแ่เบา ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เขาจึงค่อยๆ หลับไป ข้างๆ ที่พักพิงแห่งสุดท้ายของหญิงผู้เป็ที่รัก
เสียงที่คะนึงหา ปรากฏขึ้นอีกครั้งในความฝันของเขา
“สามีของข้าเป็วีรบุรุษผู้กล้าหาญ เขาช่วยผู้คนในแคว้น”
“สามีข้าเป็คนดี ที่ช่วยชีวิตผู้คนเอาไว้”
“สามี เ้าหมานี่น่าสงสารจริงๆ!”
“สามี ข้าอยากมีลูกให้ท่าน”
“สามีข้าแข็งแกร่งที่สุด เขาสามารถปกป้องข้าได้”
“มีสามีอยู่ จะไม่มีผู้ใดมารังแกข้าได้!”
เสียงในความฝัน ล้วนเป็ภาพความทรงจำในอดีต กู่ไห่ย้อนคำนึงถึงอดีตในห้วงฝันครั้งแล้วครั้งเล่า... เขาเอนตัวพิงหลุมศพ แม้ว่าจะหลับไปแล้ว แต่น้ำตาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล
...
เฉินเทียนซานและคนโฉดที่าเ็จำนวนมาก ถูกพาไปยังจวนสกุลกู่โดยกลุ่มคนโฉด
การเดินทางเป็ไปอย่างราบรื่น แม้ว่าหลายคนจะสงสัยว่าเหตุใด คนเหล่านี้ถึงได้มีสภาพเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าขวางทางพวกเขา
...
ในจวนสกุลกู่
“หัวหน้าเฉิน เหตุใดจึงมีสภาพเช่นนี้?” เกาเซียนจือมองดูเฉินเทียนซานที่ได้รับาเ็ ด้วยความใ
“นายท่านล่ะ? พาข้าไปพบนายท่าน!” เฉินเทียนซานเอ่ยอย่างร้อนรน
หัวหน้าสี่เหล่าทัพ ต่างมารวมตัวกัน โดยมีกู่ฉินและกู่ฮั่นยืนอยู่ด้านข้าง เฉินเทียนซานในตอนนี้ มีท่าทีกังวลมาก
“หัวหน้าเฉิน ท่านพ่อกำลังไว้อาลัยท่านแม่ผู้ล่วงลับ ไม่มีใครสามารถรบกวนท่านได้” กู่ฉินกล่าวเสียงเรียบ
“อา!... แต่เื่นี้สำคัญมาก” เฉินเทียนซานกล่าวอย่างกระวนกระวายใจ
“ท่านบอกเราก่อนเถอะ ท่านพ่อไว้อาลัยท่านแม่ที่สุสานบนหุบเขา ไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวน ต่อให้ข้ากับพี่ใหญ่ ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้!” กู่ฮั่นอธิบาย
“ท่านแม่ผู้ล่วงลับ? นายท่านมีภรรยาด้วยหรือ?” ฮวางบูเอ่ยถาม ด้วยความประหลาดใจ
กู่ฉินและกู่ฮั่นไม่ได้ตอบแต่อย่างใด ทุกคนเห็นสีหน้าของทั้งสอง ก็เข้าใจแล้ว ว่าไม่ควรถามอะไรอีก จึงหันไปมองเฉินเทียนซานอีกครั้ง
“เฉินเทียนซาน เกิดอะไรขึ้น?” ซ่างกวนเหินขมวดคิ้วแน่น
“เฮ้อ! พวกเราโดนซุ่มโจมตี” เฉินเทียนซานกล่าวอย่างขมขื่น
“เ้ากลับไปที่สำนักชิงเหอ แล้วโดนซุ่มโจมตีอย่างนั้นหรือ?” ทุกคนต่างถามอย่างกังขา
...
หลายวันต่อมา ที่ศาลาแห่งหนึ่งของสำนักชิงเหอ
หัวหน้าสำนักซ่งเจี่ย กำลังฟังรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชา
“กู่ไห่กลับมาแล้ว? ดูเหมือนอาจารย์อาไป๋จะเสียท่าใช่หรือไม่?” หัวหน้าสำนักเอ่ยถามเสียงเย็น
“ขอรับ! อาจารย์อาไป๋เปลี่ยนร่างแล้ว แต่ก็ยังถูกสังหารโดยเหล่าคนโฉด” สมุนที่อยู่ด้านหลังกล่าวอย่างนอบน้อม
“ฮึ่ม! ช่างไร้ประโยชน์นัก ข้าให้เขารีบไปให้เร็วที่สุด แต่เขากลับเอาแต่สนใจกับการโอ้อวดตน... ฮึ่ม!” หัวหน้าสำนักกล่าว
“ท่านหัวหน้า คนโฉดกลุ่มนั้น...”
“พวกมันเป็เพียงกากเดนของหลี่เหว่ย คนโฉดกลุ่มนี้น่ะหรือ ที่เข้าทำลายพรรคต้าเฟิง? หากเป็เมื่อก่อน ข้าคงจะกังวลอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ยังมีอะไรให้ต้องกังวลอีก
ตอนนี้พวกเ้าก็เปลี่ยนร่างได้แล้ว ส่วนคนที่เหลือ ก็กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ยังกลัวว่าพวกมันจะทำอะไรได้อีกหรือ?” หัวหน้าสำนักพูดอย่างเ็า
“ขอรับ ข้าน้อยคิดมากไปแล้ว!”
“การสอบปากคำเป็อย่างไรบ้าง?” หัวหน้าสำนักถามเสียงทุ้มต่ำ
“ยังไม่มีอะไรคืบหน้า พวกเราก็ลงโทษไม่น้อย แต่หัวหน้าสำนักชิงเหอผู้นั้นช่างดื้อด้านนัก ไม่ยอมปริปากสักนิด” ผู้ใต้บังคับบัญชาตอบ ด้วยใบหน้าถอดสี
ดวงตาหัวหน้าหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนสั่ง “ต้องเค้นถามหลวงจีนผู้นั้นให้ได้ มิเช่นนั้นเรามีปัญหาแน่”
“ขอรับ!”
---------------------------------------------
[1] ดอกตู้เจวียน (杜鹃花) หรือดอกอาซาเลีย (Azalea) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ ‘กุหลาบพันปี’ มีหลายสี ทั้งสีชมพู สีเหลือง สีขาว สีม่วง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้