หลังจากนั้นสามวัน ซูเหยียนก็เก็บตัวทำการบำเพ็ญเพื่อบรรลุระดับสมบูรณ์ของขั้นเทวิญญา
ถัดจากนั้นแค่วันเดียวตั้นไถเหยาก็หายไปจากการบำเพ็ญเช่นเดียวกัน
ถังเชวียหรานกลับไปเยี่ยมที่บ้านส่วนหลิงถงเอ๋อร์ก็เก็บตัวเพื่อบำเพ็ญในเวลาต่อมา
...
เวลาผ่านไปถึงห้าวันแต่ความก้าวหน้าของข้ากลับเป็ศูนย์เพราะไม่ว่าจะเคล็ดวิชาาหรือวิชาลมหายใจัต่างก็ไม่มีอะไรคืบหน้าดูเหมือนว่าข้าเดินทางมาถึงจุดที่เล่าขานกันมาว่าเป็จุดสุดท้ายของการบำเพ็ญของผู้ฝึกฝนิญญาแต่ละคนแล้วสินะ
แต่ข้าไม่มีเชื่อหรอก ว่าข้าจะมีขีดจำกัดอยู่แค่นี้!
ปู้เสวียนยินที่ถือกาแฟอยู่ในมือพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มอ่อน “เมื่อตอนที่ข้าฝึกฝนก็เอาแต่บรรลุไปเรื่อยๆพอเจอเข้ากับขีดจำกัดก็ยังบรรลุได้เพราะการฝึกฝนิญญาที่บอกว่าแต่ละคนมักมีขีดจำกัดของตัวเองเป็เพียงเื่หลอกเด็กที่คนเชื่อก็ตายคนแข็งแกร่งก็จะอยู่รอดอยู่แล้ว”
สวี่ลู่ที่อยู่ข้างๆ อดหัวเราะออกมาไม่ได้ก่อนจะพูดขึ้น“การฝึกฝนต้องค่อยเป็ค่อยไปนะ ปู้เสวียนยิน”
ปู้เสวียนยินมองนางตาขวางก่อนจะหันมาพูดกับข้าต่ออย่างแน่วแน่ “ถ้าเจอขีดจำกัดของตัวเองก็ต้องหาวิธีทะลุขึ้นไปให้ได้เอาแบบนี้แล้วกัน เ้าเตรียมเสบียงอาหารให้เพียงพอแล้วไปบำเพ็ญด้วยตัวเองที่หุบเขาหลิงหยุนส่วนจะอยู่นานแค่ไหนก็ตามใจเ้าดูจากฝีมือของเ้าตอนนี้พอจะอยู่ในชั้นที่หกหรือชั้นนอกยังค่อนข้างปลอดภัยอยู่ส่วนชั้นที่ห้ายังพอดูแลตัวเองได้ แต่ถ้าชั้นที่สี่ก็ต้องอันตรายแน่ๆดังนั้นเ้าควรบำเพ็ญอยู่ในชั้นที่หกดีที่สุดและการต่อสู้กับสัตว์ิญญาจะทำให้พลังที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของตัวเ้าถูกบีบบังคับให้ออกมาและทำลายขีดความสามารถของเ้าได้เอง”
ปู้เสวียนยินว่าแล้วเม้มปากแน่นก่อนจะพูดต่อ“เอาเป็ว่าครั้งนี้ข้าจะไม่ไปด้วยก็แล้วกัน เพราะถ้ามีข้าอยู่เ้าก็คงจะไม่มีความรู้สึกแบบเส้นยาแดงผ่าแปดที่อันตรายแต่จะกลายเป็การถ่วงเวลาการบรรลุของเ้ามากกว่า”
“ข้าเองก็คิดแบบนั้น”
“ไปได้แล้ว ข้าจะรออยู่ที่นี่แล้วกัน”
“ได้!”
...
ณ โรงเกลากระบี่เวลากลางคืน
ซ้งเชียนและจ้าวห้าวพากันมากินข้าวส่งท้ายการไปบำเพ็ญนอกสถานที่ของข้าด้วยการนำปลาเค็มมาย่างหลายตัวรวมทั้งอาหารที่ซื้อมาจากด้านนอกสำนัก และเหล้าอีกสองขวดชนิดที่ว่าไม่เมาไม่กลับ!
“การมีพลังวิชาลมหายใจัขั้นที่แปดอันแข็งแกร่งและพลังของเคล็ดวิชาาขั้นที่สี่อย่างแกร่งกล้าซึ่งเป็วรยุทธ์ขั้นสูงที่หาได้ยากแบบนี้จะทำให้ท่านมีข้อได้เปรียบขณะที่อยู่ในหุบเขาหลิงหยุนก็จริงแต่ก็ใช่ว่าจะดีทุกอย่าง เพราะถึงอย่างไรท่านก็บำเพ็ญมาถึงแค่ระดับกลางของขั้นเทวิญญาเท่านั้นทำให้ยังคงมีสัตว์ิญญาและผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ ที่สามารถจัดการท่านได้อีกจำนวนมาก”
จ้าวห้าวร่ายยาวออกมาหลังจากที่เห็นว่าข้าจะออกไปบำเพ็ญที่หุบเขาหลิงหยุนอย่างถี่ถ้วนก่อนจะพูดต่อ“ในสำนักหมื่นิญญาแห่งนี้ข้าก็มีเพียงแค่เ้ากับเ้าอ้วนซ้งเชียนจึงไม่อยากจะเสียใครคนใดคนหนึ่งไป...”
ข้ายิ้มอ่อนก่อนจะบอกไป“การไปบำเพ็ญที่หุบเขาหลิงหยุนครั้งนี้ข้าได้คุยกับพี่เสวียนยินไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะต้องไปข้าว่าเ้าควรจะเสนอสิ่งที่มีประโยชน์ในการเดินทางดีกว่ามาพูดตัดกำลังใจข้าแบบนี้นะ”
ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาซึ่งเป็เสื้อที่มีรอยเย็บอยู่หลายแห่งจนเหมือนจะใส่ไม่ได้อีกแล้วและไม่มีอะไรต่างไปจากพวกทหารรับจ้างจนๆ นั่นเลยสักนิด
ซ้งเชียนที่เห็นก็พูดขึ้นมาทันที “เฮ้ย! ข้าว่ามันเกินไปหน่อยหรือเปล่า?นี่ถ้าถือขันสักอันก็ไปขอทานได้เลยนะ...พี่เชวียนของข้าเป็ถึงน้องชายของรองเ้าสำนักที่สูงส่งให้ใส่ชุดแบบนี้ออกไปจะดีเหรอ?”
จ้าวห้าวพูด “ดีสิ มีอะไรไม่ดีล่ะ?...คนโง่มักมองเื่ราวแต่เปลือกนอกที่ปู้อี้เชวียนไปครั้งนี้เพราะต้องบำเพ็ญไม่ได้ไปขอสาวแต่งงานสักหน่อยอยู่ในสถานที่อย่างหุบเขาหลิงหยุนจะแต่งตัวดีไปเพื่ออะไรกันข้าบอกไว้เลยนะว่ายิ่งแต่งตัวดียิ่งตายเร็วแต่ถ้ายิ่งธรรมดาก็จะยิ่งรักษาชีวิตตัวเองได้ดี!”
ข้าคิดพลางพูดอย่างเห็นด้วย “เ้าโล้นจอมฝีมือนี่พูดมาก็ถูกตกลงข้าจะใส่ชุดนี้แหละ”
จ้าวห้าวมองข้าแบบไม่ชอบใจนัก “ให้ตายเถอะนี่เ้าตั้งฉายาให้ข้าใหม่อีกแล้วเหรอ!”
ซ้งเชียนพูดขึ้น “จะทำอะไรก็ต้องรอบคอบ เสื้อผ้าก็มีแล้วกระเป๋าเดินทางล่ะ?”
“ข้าเตรียมไว้ั้แ่แรกแล้ว!”จ้าวห้าวว่าแล้วเดินไปหยิบตะกร้าไม้ไผ่ใบหนึ่งออกมาจากซอกมุมของโรงเกลากระบี่แถมมันยังมีรูจากการถูกมอดกัดกินเต็มไปหมด
“อะ เมื่อก่อนตอนข้ายังไม่เข้ามาในสำนักก็เคยออกเดินทางไปแดนไกลในแผ่นดินใหญ่หลงหลิงแห่งนี้ระหว่างทางก็เจอถิ่นทุรกันดารซึ่งหาของกินไม่ได้เลยสักอย่างแต่โชคดีที่ข้ามีตะกร้าไม้ไผ่ใบนี้ก็เลยปลอมตัวเป็พระเร่ร่อนเที่ยวขอข้าวคนอื่นกินกว่าครึ่งปีทำให้ข้าอดทนจนมีวันนี้ได้...”
ซ้งเชียนจ้องไปบนหัวล้านของเขาก่อนจะพูดขึ้น “แ**ง!เ้าหัวโล้นแบบนี้ไปปลอมตัวเป็พระแล้วใครจะรู้ล่ะ แต่พี่เชวียนของข้าผมดกดำขนาดนี้จะต้องให้โกนผมเหมือนเ้าเลยหรือไง?”
จ้าวห้าวได้ยินแบบนั้นจึงพูดขึ้น “แบบนั้นก็ดีสิ ข้าจะได้ไม่หัวโล้นอยู่คนเดียวเ้าว่าไงล่ะปู้อี้เชวียน?”
ข้าส่ายหน้าเป็การปฏิเสธ “เ้าหัวโล้นคนเดียวก็พอแล้วล่ะเอาเป็ว่าพรุ่งนี้ข้าจะทำผมให้รุงรังหน่อยแล้วแบกตะกร้านี่ไปด้วยก็พอแล้วล่ะและข้าจะต้องนำปลาหลีฮื้อหลงหลิงนี่ไปกินด้วย เพราะถึงยังไงข้าก็ต้องไปฝึกฝนเคล็ดวิชาาอยู่ดีตะกร้าไผ่ก็ดูธรรมดาขนาดนี้คงไม่มีใครสังเกตเห็นถือว่าเป็อุปกรณ์ที่ใช้ได้เลยทีเดียว”
ดูเหมือนว่าครั้งนี้เสื้อผ้าที่จะนำไปเปลี่ยนคงไม่จำเป็แล้วต่อให้สกปรกแค่ไหนก็ช่างมัน เพราะการบรรลุขีดจำกัดของข้าเป็สิ่งสำคัญที่สุดขอแค่เพียงบรรลุขั้นเทวิญญา ข้าก็จะมีหน้ามีตาในสำนักจวี๋ฉีแล้วล่ะ!
...
วันต่อมา
ข้าแต่งตัวใหม่แล้วเตรียมปลาเค็มไปด้วยอีกห้าถึงหกกิโลก่อนจะเริ่มออกเดินทางส่วนโสมโลหิตราคาสูงถึงล้านต้นๆ ที่ซูซีอวี๋ให้มานั้นข้าก็เตรียมมาด้วยเช่นกันเพราะการไปบำเพ็ญครั้งนี้จะสามารถบรรลุอย่างราบรื่นได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับของสิ่งนี้แล้ว
ข้ารีบออกเดินทางในตอนที่ฟ้ายังไม่สางเพราะไม่อยากอับอายใคร ความจริงแล้วถ้าตัวเองขายหน้าคงไม่เท่าไรแต่ถ้าพี่เสวียนยินต้องมาขายหน้าไปด้วยคงจะไม่ดีเท่าไร
กระทั่งฟ้าสางข้าก็มาถึงสถานีรถไฟจัดการจ่ายเงินเสร็จสรรพแล้วก็ขึ้นไปบนรถเมื่อคนในขบวนเดียวกันเห็นข้าแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ขาดหลุดลุ่ยก็พากันมองแบบรังเกียจผู้หญิงบางคนถึงขั้นขยับหนีเหมือนกลัวว่าข้าจะทำให้เสื้อผ้าของพวกนางต้องแปดเปื้อนด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทหารรับใช้หลายนายพูดขึ้น “เ้าคนสกปรกนี่มาจากไหนกันนึกไม่ถึงว่าจะมีเงินซื้อตั๋วนั่งรถไฟไปยังหุบเขาหลิงหยุน แต่ดูๆไปแล้วก็เหมือนซื้อตั๋วไปตายมากกว่า”
ข้าหาที่นั่งริมหน้าต่างแล้วนั่งลงเพื่อเสพสุขกับบรรยากาศสงบๆบนรถไฟ
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงดังเอะอะขึ้นมาหน้าโบกี้ ก่อนจะมีชายหลายคนเดินเข้ามาด้วยท่าทีอวดตัวซึ่งคนข้างหน้าเป็ชายสวมเสื้อปักเย็บด้วยมือแขนสั้น ใบหน้าบ่งบอกถึงอารมณ์ของพวกลูกคนหนูส่วนด้านหลังคือพวกลูกสมุนที่มองคนในรถแบบหยามเหยียด
ข้ามองดูอย่างละเอียดก็พบว่าเขาเป็คนที่ค่อนข้างจะมีเงินมากทีเดียวเพราะไม่ว่าจะเป็ข้อมือ เอว สร้อยคอ หรือแหวนต่างก็เป็อาวุธิญญาทั้งสิ้นให้ตายเถอะ! รวยกว่าเสียอีก แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าลูกคนรวยอย่างแท้จริง!
“ไอ้คนที่อวดรวยมันเป็ใครกันวะ?” ผู้ฝึกฝนิญญาสองคนที่อยู่ข้างหลังหันไปพูดคุยกัน
“ชู่! อย่าเสียงดังไปสินั่นคุณชายใหญ่ของตระกูลิในดินแดนกาฬวาตที่ชื่อิไซว่และที่มีเงินมากมายก็เพราะพ่อของเขามีกิจการกว่าครึ่งหนึ่งของดินแดนกาฬวาตซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับอาวุธิญญาและรวยจนสามารถเป็ปรปักษ์กับแผ่นดินใหญ่ได้ไอ้เด็กนี่ไม่ได้เศษเสี้ยวของพ่อเลยสักนิดแต่ก็มีเงินที่ให้ไม่มีวันหมดเวรกรรมของพ่อมันแท้ๆ!”
“ฮึ! แล้วคนแบบนี้จะไปหุบเขาหลิงหยุนอีกทำไมกัน?”
“ฝึกฝนฝีมือยังไงล่ะ ไม่เห็นหรือไงว่าพาลูกน้องมาตั้งหลายคน”
“เป็คนรวยก็เป็คนรวยสิวะจะเอาลูกน้องไปด้วยแล้วอวดอ้างว่าไปหุบเขาหลิงหยุนเพื่อฝึกฝนอีกทำไม สวะชัดๆ!”
“ชู่! เบาหน่อยสิวะ อยากตายหรือไง?”
...
ข้าได้ยินแล้วก็แทบจะหัวเราะออกมา หน้าของเขามันกลมจนเป็รูปตัวโอเนื้อบนหน้าคงจะมีมากกว่าเนื้อบนตัวของข้าด้วยซ้ำ ตัวกลมดิ๊กจนน่าใตาก็เล็กจนแทบมองไม่เห็นทาง...ขี้เหร่! บอกเลยว่าขี้เหร่สุดๆนึกไม่ถึงว่าคนแบบนี้จะมีชื่อที่ให้ความหมายว่าหล่อและฉลาดหลักแหลมไร้เหตุผลสิ้นดี!
และในตอนนี้เองิไซว่ก็เดินเข้ามาพร้อมกับลูกน้องก่อนจะปรายตามองผู้ฝึกฝนิญญาสองคนนั้นแล้วพูดขึ้น“ไสหัวไป พวกข้าจะนั่งตรงนี้!”
“เ้า!”
ทั้งสองคนต่างก็โมโหแต่ไม่กล้าทำอะไร เพราะสมุนแต่ละคนของิไซว่ล้วนแต่อยู่ในขั้นเทวิญญาทั้งสิ้นส่วนพวกเขาสองคนเพิ่งจะอยู่ในขั้นประกายจิตเท่านั้น
และสุดท้ายิไซว่ก็นั่งลงข้างหลังของข้าก่อนจะมองมา “ซวย!เพิ่งจะออกบ้านก็เจอกับขอทาน ถุยๆๆ ซวยชะมัดยาด!”
พักเดียวสมุนของเขาก็เดินเข้ามาพร้อมกับพูดขึ้น “เ้าหนุ่มนายน้อยของข้าบอกว่าเ้าเป็ตัวซวย ไม่ได้ยินหรือไง รีบไสหัวไปซะอย่ามาเกะกะลูกตาแถวนี้!”
ข้าเดือดดาลขึ้นมาในใจแต่เมื่อนึกถึงเื่ที่ตัวเองต้องพยายามถ่อมตนเพื่อการบำเพ็ญก็ต้องเงียบไปจะมัวไปจุกจิกกับพวกคนชั้นต่ำอย่างพวกนี้มีแต่เสียเวลาเปล่าเมื่อคิดได้อย่างนี้ข้าจึงหอบตะกร้าไม้ไผ่เดินออกไปนั่งตรงหัวโบกี้
ิไซว่มองข้าอยู่ไกลๆ ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้น “นับว่ามันตาถึงพวกเ้า เอาเงินรางวัลให้มันไปสักหมื่นเหรียญสิ!”
“ขอรับ คุณชาย!”
สมุนคนหนึ่งเดินตรงมาพร้อมกับธนบัตรปึกใหญ่แล้วยัดเข้ามาในอกของข้า“คุณชายของข้าให้เ้าเก็บไว้ ถือว่าวันนี้เ้าโชคดีไปแล้วกัน ฮึ!”
แ**งเอ๊ย!! เห็นว่ามีเงินแล้วเอามาฟาดหัวข้างั้นเหรอ?
ข้าตะลึงก่อนจะเก็บเงินนั้นไว้อย่างดี
มาบำเพ็ญแบบไม่หาเื่ไม่กลัวมีเื่แถมยังมีเ้าโง่เอาเงินมาให้ถึงที่แบบนี้ข้าจะไม่เอาได้อย่างไร!
...
ไม่รู้ว่าิไซว่คนนั้นหยิบเอาพัดมาจากไหนก่อนจะพัดวีให้ตัวเองพร้อมกับมองออกไปยังหน้าต่างแล้วท่องบทกวี “ใบไม้ร่วงๆ มักเงียบเหงาเศร้าใจนักทำให้ข้าประจักษ์ว่ายังรักนางสุดหัวใจ...บรรยากาศตอนนี้ยิ่งทำให้ข้าอดนึกถึงนางผู้เลอโฉมคนนั้นไม่ได้เมื่อหลายปีก่อนในฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ ลมอ่อนพัดปลิวกับใบไม้ที่ร่วงหล่นท่ามกลางป่าไม้เวลานั้นร่างของเราทั้งสองรวมเป็หนึ่ง...มันช่างเป็ความสุขที่ยากจะลืมเลือนจริงๆ”
ลูกสมุนคนอื่นต่างพากันพยักหน้ารับก่อนจะพูดขึ้น “คุณชายใหญ่ช่างเป็นักกวีที่ยิ่งใหญ่และฉลาดหลักแหลมจริงๆข้าน้อยต่างไม่กล้าจะสู้กับท่านว่าแต่...ครั้งนี้เราจะเข้าไปชั้นที่เก้าหรือชั้นที่แปดดีขอรับ?”
“เ้าพวกกระจอก ครั้งนี้พวกเราจะเข้าไปชั้นที่เจ็ดต่างหากล่ะ!”
สมุนคนเดิมถอนหายใจอย่างหวั่นๆ“แล้วถ้าพวกเราเจอกับสัตว์ิญญาระดับสี่ล่ะขอรับ...”
“ขี้ขลาดตาขาว! ขนาดเ้าขอทานนั่นยังไม่กลัวและพวกเ้าที่เป็ถึงผู้มีฝีมือของดินแดนกาฬวาตจะกลัวทำไม!”
“ที่คุณชายพูดมาก็ถูกขอรับ!”
“ฮึ เ้าพวกสวะ!”
...
คุณชายใหญ่คนนี้พูดถูกเพราะจะมองอย่างไรลูกน้องที่พามาด้วยก็ดูไม่มีประโยชน์เลยสักนิด!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้