เมื่อหยินสงตื่นมาก็รู้สึกว่าร่างของตนกำลังโคลงไปโคลงมา เขาจึงลุกขึ้นนั่ง พบว่าเขาไม่ได้อยู่ในโรงเตี๊ยม แต่กำลังอยู่บนรถม้า จึงแหวกม่านบนหน้าต่างรถม้าออกดูบรรยากาศทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตาภายนอก ด้านนอกยังมีฝูงกาบินต่ำๆ สุดขอบทุ่งหญ้ามีดวงอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยต่ำลง ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็โพล่งออกมา
“ท่านอารอง ท่านอารอง!”
“ข้าอยู่นี่” หยินหัวกล่าวขึ้นอย่างจนใจ
เขานั่งอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่เ้าเด็กนี่ตื่นนอนแล้วก็ยังไม่หันมองเขาสักครา จึงรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็เช่นนี้ โชคดีที่เขาฉลาดหลักแหลม ไม่ปลุกเ้าเด็กนี่ แต่ระหว่างที่เด็กน้อยกำลังหลับเขาก็ฉวยโอกาสพาขึ้นรถม้ามา
เ้าลูกลิงตัวนี้ั้แ่เช้าก็เอาแต่ะโโลดเต้นจนเหนื่อย ยามหลับจึงได้หลับลึกนัก เมื่อขึ้นมาบนรถม้าแล้วก็ยังหลับต่ออีกพักใหญ่ รอจนนอนอิ่มแล้วจึงได้ตื่นขึ้นมา
ตอนนี้ก็ออกมาจากหมู่บ้านไป๋กู่ไกลมากแล้ว อีกไม่นานก็คงจะถึงตัวอำเภอิเหอแล้ว
“ท่านอารอง ทำไม่พวกเราจึงออกมาแล้วเล่า ไม่จำเป็ต้องไปเยี่ยมเยียนท่านผู้มีพระคุณหรือ ทั้งข้ายังเป็หนี้เดิมพันเฉินโย่วอยู่เลย” หยินสงกล่าวกับท่านอารองของตนอย่างร้อนใจ
“เกิดเื่ฉุกเฉิน ท่านกู้บอกว่ากองทัพแคว้นจิงเพิ่งจะถูกส่งมากะทันหัน พวกเราจึงต้องรีบออกมา” ใบหน้าของหยินหัวยามกล่าวก็ทุกข์ระทมไม่ต่างกัน เขาอุตส่าห์เปลี่ยนชุดใหม่ที่เป็ชุดที่ตนชอบที่สุด เตรียมจะไปพบแม่นางสวมหน้ากาก ทว่ากลับคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเื่เช่นนี้ขึ้น กระทั่งใบหน้าใต้หน้ากากของนางเขาก็ยังไม่ทันได้เห็น
ท่านกู้คือทหารที่ตระกูลหยินของเขาอุปถัมภ์ไว้ มีหน้าที่อารักขาความปลอดภัยตลอดเส้นทางของพวกเขา และคอยสืบข่าวคราว ยามอยู่ด้านนอกหลายๆ เื่ก็ล้วนแต่ได้ท่านกู้เป็คนตัดสินใจ โดยเฉพาะครั้งนี้ที่มีทั้งหยินหัวและหยินสง นายน้อยของตระกูลเดินทางมาด้วย ดังนั้นท่านพี่ใหญ่ของหยินหัวจึงได้ส่งคนที่ทำหน้าที่ดูแลให้ติดตามมาด้วยโดยเฉพาะ
ยามนี้เมื่อเกิดเื่ขึ้น ท่านกู้ไม่จำเป็ต้องปรึกษาอันใดก็ตัดสินใจเองได้ทันที
“กองทัพแคว้นจิงมาแล้ว พวกเราไม่บอกเฉินโย่วแต่กลับรีบออกมาเช่นนี้ ท่านอารอง ท่านเสียสติไปแล้วหรือ”
แคว้นจิงป่าเถื่อนแร้นแค้น แต่ไหนแต่ไรก็เป็ที่ขบขันของทั้งสามแคว้น
ในแคว้นก็ยังเกิดาไม่หยุด พี่น้องในราชวงศ์ต่างเข่นฆ่ากันเพื่อ่ชิงอำนาจ บ้านเมืองนองไปด้วยเื ประชาชนไร้ที่พึ่ง ไม่ว่าจะแคว้นเชินหรือแคว้นซีต่างก็รู้สึกว่าแคว้นจิงป่าเถื่อน ดังนั้นทั้งสองแคว้นจึงไม่กล้าที่จะรวมแคว้นกับแคว้นจิง
อีกทั้งยังมีกองทัพแคว้นจิง กองทัพแคว้นจิงชวนขวัญผวานัก ฆ่าคนของตัวเองแล้วก็ทิ้งเด็กและสตรีไว้เื้ั ยามจะสังหารคนแคว้นอื่นก็บุกเข้าไปฆ่ายกเมือง ใครยังมีชีวิตอยู่ก็จะถูกฝังทั้งเป็
เหตุที่ทุ่งหญ้ารกร้างกลายเป็พื้นที่รกร้างนั้นด้านหนึ่งก็เพราะสภาพอากาศ สภาพอากาศที่นี่เลวร้ายยิ่งนัก คิดจะแย่ก็แย่ขึ้นมา เกิดภัยธรรมชาติไม่หยุดหย่อน ทว่าอีกด้านหนึ่งเป็เพราะกองทัพแคว้นจิงว่ากันว่ายามที่แคว้นจิงมีปัญหาภายในทั้งยังเกิดภัยพิบัติ พวกเขาก็เดินทางมายังทุ่งหญ้ารกร้างชายแดนแห่งนี้แล้วออกฆ่า ทั้งยังชิงทรัพย์อย่างไม่ละเว้นว่าใครเป็ใคร
ส่วนพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นในราชสำนัก ทุกครั้งก็คุยโวจนกองทัพจิงเริ่มบุกเข้ามา ถึงเวลานั้นขุนนางเหล่านี้ล้วนแต่ไร้ประโยชน์ ราชสำนักแทบจะลุกเป็ไฟจึงค่อยส่งขุนนางฝ่ายบู๊สักคนมารับบาปที่พวกเขาก่อไว้
หลายปีมานี้ภายในแคว้นจิงเกิดเื่วุ่นวายไม่หยุดหย่อน จึงไม่ได้เดินทางมายังทุ่งหญ้าแห่งนี้นานหลายปีแล้ว ทหารชายแดนของแคว้นเชินแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยจะได้เื่ ทั้งยังหละหลวมมาหลายปี ตอนนี้จึงไม่ได้สนใจเื่แคว้นจิงแล้ว ทว่าก็ไม่คาดคิดว่าแคว้นจิงจะบุกมาอย่างกะทันหันเช่นนี้
“กองทัพจิง นั่นมันกองทัพจิงเชียวนะ เ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือกองทัพจิง พวกเขาทุกคนล้วนเคยปลิดชีพคน ไม่มีคนใดไม่เคยมือเปื้อนเื คนประเภทเ้ากับข้าหากกลับไปก็เท่ากับกลับไปตายเท่านั้นแล้ว” หยินหัวตะคอกใส่หลานชายอย่างเกรี้ยวกราด
“แต่ว่า...แต่ว่า...” หยินสงพลันหน้าแดง ใบหน้างามราวกับสตรีของตนไม่เคยจะมีน้ำตาหลั่งออกมา เขาเกลียดการร้องไห้ เกลียดท่าทีของเหล่าเด็กหญิงที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็เอาแต่ร้องไห้ แต่ไหนแต่ไรมาเขาจึงไม่เคยร้อง ทว่าบัดนี้ดวงตาทั้งสองของเขากลับพร่าเลือนไปด้วยน้ำตาที่เจิ่งนอง
“ท่านอารอง ข้าขอร้องท่าน ต่อให้พวกเราจะช่วยอันใดไม่ได้ แต่อย่างน้อยพวกเราก็บอกเฉินโย่วว่าเกิดอะไรขึ้นได้ พวกเราพานางมากับพวกเราได้ พานางกลับไปแคว้นซีกับพวกเราอย่างไรเล่า”
“พวกเรากลับไปไม่ได้ เส้นทางแม่น้ำของแคว้นเรากำลังจะถูกสกัดแล้ว เ้าวางใจเถิด ยามที่ข้าออกมา ก็ได้ส่งคนไปแจ้งพวกเขาแล้ว ส่วนเื่ที่พวกเขาจะรับมืออย่างไรนั้น พวกเราคงไม่อาจช่วยได้” หยินหัวเองก็รู้สึกว่าการกระทำของตนนั้นออกจะขี้ขลาดไปสักหน่อย
ทว่าการเดินทางครั้งนี้ ยามพบเจอเื่ใหญ่อะไรก็ล้วนแต่ต้องให้ท่านกู้เป็คนตัดสินใจ เขานั้นไร้ซึ่งอำนาจที่จะโต้แย้ง
รถม้าพลันตกสู่ความเงียบงัน มีเพียงเสียงล้อรถม้าบดขยี้พื้นหญ้าขณะวิ่งที่ยังดังอยู่
“ครืนๆ ตึงตังๆ”
หยินสงพิงขอบหน้าต่างมองทุ่งหญ้าลึกที่อยู่แสนไกล ดวงอาทิตย์ยามอัสดงดูราวกับขนมเปี๊ยะสีทองที่กำลังตกหลุมก็ไม่ปาน เพียงแต่เสียงตึงตังดังขึ้นอีกครั้งมันก็หายลับไปจากสายตาเสียแล้ว ใต้หล้าพลันเข้าสู่ความมืด
ลมโบกพัด ฝูงกาดำกระพือปีกโบยบินอย่างเงียบงันในความมืด
......
“กองทัพจิงมาแล้วหรือ” ใบหน้าของท่านนายอำเภอเฉินพลันซีดขาว เขาเอนพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง ไม่อาจหยุดยั้งร่างที่ไหลลงเบื้องล่างราวกับว่าเขาจะลงไปกองกับพื้นก็ไม่ปาน
เสมียนซูก็ใจนมุมปากมีตุ่มพองขึ้นมา คงจะเป็เพราะเมื่อคืนเขาดื่มสุรามากไป ทั้งยังกินของมัน จึงทำให้เป็ร้อนในขึ้นมา ่นี้ตำแหน่งเสมียนของเขานับว่าทั้งเป็อิสระทั้งสุขสบาย ค่าน้ำชาน้ำร้อนก็ได้ไม่ขาด เ้านายก็คุยง่ายนัก ไม่เหมือนกับจู่ปู้อู๋ในอดีตที่เอาแต่เล่นลูกไม้ไม่มีหยุดหย่อน
เมื่อก่อนเ้าหน้าที่ในศาลาว่าการไม่เคยจะอยู่กันครบ เขานั้นนับว่าเป็เพียงเสมียนอำเภอคนหนึ่งเท่านั้น ใต้บังคับบัญชาก็มีทหารเพียงสี่ถึงห้านายเท่านั้น คนอื่นๆ ต่างก็มีที่นาการค้าของตนเอง รอจนเบื้องบนเข้ามาตรวจสอบก็ค่อยลากคนมาออกหน้า
แต่ยามนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขานั้นมีขุนนางคนอื่นอยู่เกือบสิบนาย ทั้งนอกจากขุนนางเหล่านี้แล้ว ยังมีนักการสำรองในศาลาว่าการอีกจำนวนหนึ่งที่สามารถรอเลื่อนขั้นขึ้นมาได้ตลอดเวลา ให้เป็นักการอย่างเป็ทางการ ที่มีคนมากถึงเพียงนี้ก็เพราะสวัสดิการจากศาลาว่าการอำเภอในปัจจุบันนั้นแตกต่างกับในอดีตราวฟ้ากับเหว
ยามนักการอย่างพวกเขาออกไปด้านนอกแล้วได้สวมชุดแบบเดียวกันกับนักการในศาลาว่าการเดินไปบนถนนอย่างสง่าผ่าเผย ย่อมรู้สึกราวกับจะลอยขึ้น์ ทว่ายังไม่ทันได้เสพสุขสักเท่าไร กองทัพจิงก็เดินทางมาเสียแล้ว
“ใต้เท้า ใต้เท้า พวกเรานั้นเป็ถึงขุนนางของอำเภอนี้ วันปกติก็วิ่งเต้นช่วยงานราษฎรมาไม่น้อย แต่ยามนี้เหล่าคนที่มาเป็ถึงกองทัพแคว้นจริง พวกเราย่อมรบไม่ชนะแน่” เสมียนซูรู้สึกหวาดกลัวเื่นี้ที่สุด จึงได้รีบกล่าวออกมา
ตอนนี้ท่านนายอำเภอเฉินก็ราวกับคนทึ่มทื่อเช่นกัน
เมื่อก่อนเขายังคิดว่าวาระดำรงตำแหน่งของเขานั้นสั้นเกินไป อยากให้มีเวลาเหลือให้เขามากกว่านี้อีกสักหน่อย ให้เขาได้ตั้งใจทำงานให้ดีกว่านี้ ทว่ากลับคาดไม่ถึงว่าแคว้นจริงจะบุกเข้ามาเช่นนี้
ว่ากันตามหลักแล้ว เขานั้นสามารถจากไปได้ตั้งนานแล้ว หรือจะจากไปตอนนี้ก็ย่อมได้
เื่กองทัพที่เคลื่อนเข้ามานั้น ยามนี้ก็แค่เข้ามาสืบข่าวคราวเท่านั้น ยังไม่ได้บุกเข้ามาจริงๆ
หากคิดจะไปก็ยังทันอยู่ ถึงอย่างไรก็ถือว่าเขาได้สร้างผลงานแล้ว กลับไปเมืองหลวงแล้วรายงานว่าแคว้นจิงเดินทางมาแล้ว เท่านี้ก็ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับเขาอีก
ท่านอาจารย์ของเขาก็ล้วนสอนเขาเช่นนี้
รู้รักษาตัวรอดเป็ยอดดี ูเาเขียวยังอยู่ไหนเลยจะกลัวไร้ฟืนเผาไฟ ต้องมีชีวิตอยู่เท่านั้นจึงจะสามารถเป็กำลังให้แคว้นได้
ทว่าบัดนี้กระทั่งก้าวขา เขาก็ยังก้าวไม่ออก
เมื่อได้ยินคำของเสมียนซู เขาก็เข้าใจทันที เพราะเขาเองก็มีความคิดเช่นนี้ ทว่าอ้าปากอยู่นานสองนาน เื่ที่จะสั่งการให้ออกเดินทาง ไม่ว่าอย่างไรก็พูดไม่ออก กลับถามออกมาว่า “ทางทหารชายแดนเป็อย่างไรบ้าง”
เสมียนซูที่มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของทั้งอำเภอ บัดนี้ทั้งมีกำลังมากพอ หูตาก็กว้างขวาง ยังไม่ทันเห็นกองทัพจิงก็ป่าวประกาศเสียแล้ว
“กองทัพจิงยังไม่ทันฆ่าใคร ใต้เท้าของพวกเขาออกคำสั่งให้ปลิดชีพคนของตนไปกว่าครึ่งแล้ว ใต้เท้าของพวกเขาราวกับเสียสติไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น”
