ท่านพ่อบอกว่าเขาซ่อนความสามารถไว้ แล้วทำไมต้องซ่อนไว้ด้วยเล่า? มีความรู้ความสามารถเช่นนี้เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่เข้าร่วมการสอบรับราชการ?
กู้เจิงยังไม่ทันได้ละสายตาออกไปจากเขา จู่ๆ เสิ่นเยี่ยนก็ลืมตาขึ้น
นางรีบยิ้มออกมา แล้วเรียกอย่างเอาใจ “ท่านพี่”
เสิ่นเยี่ยนล้วงเอาผ้าสีแดงม้วนหนึ่งออกมา “ท่านพ่อตาบอกว่าท่านได้นำชื่อของเ้าไปให้ที่ว่าการแก้ไขให้ถูกต้องดังนั้นจึงได้ทำหนังสือสมรสของเ้ากับข้าใหม่”
เื่นี้ท่านพ่อได้บอกกับนางไว้ก่อนแล้ว กู้เจิงรับผ้าแดงม้วนนั้นมาดูเห็นตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่ ‘บทหลวนเฟิ่ง*’ ที่เขียนอยู่ด้านหน้า แม้จะนั่งอยู่ในรถม้ามืดๆแต่คิดไม่ถึงว่าภายในจะเย็บด้วยกระดาษเซวียนจื่อ[1] เข้ากับตัวผ้าโดยมีตัวอักษรสีดำเขียนอยู่ แม้จะอยู่ในที่มืดตัวหนังสือก็ยังเด่นสะดุดตามาก
(* หลวนและเฟิ่งเป็นกตระกูลหงส์ สัตว์เทพนิยายที่มักปรากฏในตำนาน ในที่นี้อุปมาถึงคู่สามีภรรยา)
“สองสกุลเกี่ยวดอง ร่วมทําพันธสัญญา โชคชะตาผูกติดชั่วกาลคู่ควรหนึ่งเดียว ยามดอกท้อ* บานสะพรั่งครอบครัวรักใคร่กลมเกลียว กำเนิดลูกหลานดั่งเถาแตง[2] รุ่งเรืองหลายชั่วอายุคน ขอให้คำมั่นสัญญา เคียงข้างจนแก่เฒ่าดุจคู่์ประทาน บทกวีบนเมเปิ้ลแดง[3] บันทึกไว้ในยวนยาง[4] พิสูจน์ได้ด้วยสิ่งนี้”
(* เปรียบเปรยถึงความรัก)
ถ้อยคำเหล่านี้ช่างดึงดูดกู้เจิงนัก อดไม่ได้ที่จะอ่านวนซ้ำอีกนางรู้สึกเพียงว่ามันหวานซึ้งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ไม่รู้ว่าใครเป็คนคิดขึ้นมา
“เ้าชอบคำกลอนนี้มากหรือ?” เห็นภรรยาอ่านหนังสือสมรสมาตลอดทางสีหน้าหวั่นไหวจนซ่อนไว้ไม่อยู่ เสิ่นเยี่ยนประหลาดใจเล็กน้อยเขาไม่คิดว่าภรรยาจะชอบบทกลอนขนาดนี้
กู้เจิงเงยหน้ามองเขา พยักหน้าอย่างซื่อตรง “ชอบเ้าค่ะ”
“เ้าเข้าใจคำเหล่านี้ด้วยหรือ?”
“เข้าใจอยู่บ้างเ้าค่ะ”
เสิ่นเยี่ยน “...” เห็นภรรยาม้วนหนังสือสมรสด้วยท่าทีทะนุถนอมยิ่ง
“ท่านพ่อบอกข้าว่าท่านรับปากว่าจะมาสอนหนังสือน้องรองใน่สองวันนี้หรือเ้าคะ” กู้เจิงถามขึ้น
“อืม” เสิ่นเยี่ยนตอบรับ
กู้เจิงถามข้อสงสัยในใจ “ในเมื่อท่านสามารถสอนน้องรองได้แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่ไปสอบรับราชการเล่าเ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยนชายตามองนางแล้วพูดเสียงเรียบว่า “เมื่อสามปีก่อน เดิมทีข้าตั้งใจจะเข้าร่วมการสอบรับราชการแต่ระหว่างที่ออกมา บ้านก็เกิดไฟไหม้ขึ้น ท่านพ่อออกไปทำงานในไร่ส่วนท่านแม่ก็ไม่สบายกำลังนอนพักอยู่ ข้ากังวลว่าท่านแม่จะเป็อะไรไปจึงรีบกลับมาดับไฟ เลยพลาดเวลาเข้าห้องสอบ”
“ท่านแม่ไม่เป็อะไรใช่ไหมเ้าคะ?” กู้เจิงถามด้วยความกังวล
“ท่านแม่ถูกตวนอ๋องช่วยเอาไว้”
กู้เจิงอึ้งไป “ตวนอ๋องหรือเ้าคะ?”
“ตวนอ๋องกำลังกลับเข้าเมืองทางประตูทิศใต้พอดีพอเห็นเพลิงไหม้ที่บ้านข้า ก็ได้สั่งให้องครักษ์ช่วยกันดับไฟรวมถึงช่วยท่านแม่กับญาติพี่น้องในตระกูลของข้าไว้ด้วย” ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังหาสาเหตุของการเกิดไฟไหม้ขึ้นไม่ได้ท่านแม่เองก็ระมัดระวังเื่ฟืนไฟมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้น ในวันที่เกิดเื่ท่านแม่ไม่สบายอยู่จึงไม่ได้เข้าครัวทำอาหารอาหารเช้าของท่านพ่อยังไปกินที่บ้านลุงรองเสียด้วยซ้ำ
“ท่านกับตวนอ๋องจึงได้รู้จักกันด้วยเหตุนี้หรือเ้าคะ?”
“ใช่”
เสิ่นเยี่ยนค่อนข้างโชคดีทีเดียว เขารู้จักท่านอ๋องง่ายๆ ขนาดนี้ทั้งยังสามารถทำให้ท่านอ๋องชื่นชอบเขามากถึงเพียงนี้ กู้เจิงถามด้วยความแปลกใจ “แล้วเหตุใดท่านถึงไม่สอบอีกในปีถัดไปล่ะเ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยนไม่ได้พูดอะไรต่อ เขามองนางอย่างเฉยเมยแล้วถามว่า “เ้าเป็ห่วงเื่ของข้าหรือ?”
กู้เจิงยิ้มตาหยี “แน่นอนว่าต้องเป็ห่วงสิเ้าคะ ท่านเป็ถึงสามีของข้าเชียวนะ” หลายวันมานี้นางเพิ่งค้นพบว่าตนเองรู้เื่เกี่ยวกับเขาน้อยเกินไปไม่ว่าอะไรก็ล้วนฟังผ่านคนอื่นมาทั้งนั้น
“ข้าได้รับการแนะนำจากเ้ากรมกลาโหม จึงไม่ต้องผ่านการสอบถงเซิง[5]”
กู้เจิงอึ้ง ได้รับการแนะนำจากเ้ากรมกลาโหม? ช่างร้ายกาจยิ่งนัก จู่ๆ นางก็นึกได้ว่า หากเมื่อสามปีก่อนเสิ่นเยี่ยนสอบจวี่เหรินโดยตรงไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะได้เป็ขุนนางไปแล้วก็ได้ท่านพ่อบอกว่าเขาจะกลายเป็ผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตตวนอ๋องก็ให้ความสำคัญกับเขาถึงเพียงนี้ไม่แน่ว่าคงได้มีที่ยืนสักที่ในราชสำนักแล้ว
ภรรยามองเขาด้วยสายตาเป็ประกาย ส่วนเสิ่นเยี่ยนยังคงหลับตาด้วยใบหน้าเฉยชา
กู้เจิงประหม่ามาก ตอนนี้นางนั่งตรงข้ามกับเสิ่นเยี่ยนซึ่งตามหลักแล้ว คู่สามีภรรยาควรนั่งข้างกันสิถึงจะถูก แต่เสิ่นเยี่ยนมักทำท่าทีเฉยชากับนางมาโดยตลอด
หรือนางจะตรงไปนั่งเลยดี? มันจะดูหน้าด้านไปหน่อยไหม? แล้วเขาจะคิดอย่างไร?
เป็สามีภรรยาจะให้เมินเฉยกันเช่นนี้ต่อไปความสัมพันธ์จะแย่ขนาดไหนกัน? นอกจากนี้ แต่งงานกันแล้ว ทุกคนต่างหนึ่งโรจน์ล้วนรุ่งหนึ่งร่วงล้วนล่ม[6] กระนั้นสนิทสนมกันอีกหน่อยน่าจะดีกว่า
เสิ่นเยี่ยนลืมตาขึ้น หันหน้ามองภรรยาที่อยู่ๆก็ย้ายมานั่งข้างกายเขา
“ท่านพี่ ข้ารู้สึกหนาวขึ้นมาน่ะเ้าค่ะ” กู้เจิงหน้าแดง นางยังหนังหน้าบางอยู่บ้าง
“หนาวหรืออยากประจบข้ากันแน่?” เสิ่นเยี่ยนกล่าวแทงใจดำ
กู้เจิง “...” คนผู้นี้นี่อย่างไรกันนะต่อให้เป็ความจริง ก็ไม่ควรพูดออกมา ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก
เสิ่นเยี่ยนผู้นี้ช่างเ็าจริงๆ แม้จะหน้าตาหล่อเหลาแต่แค่เหลือบมองเพียงแวบเดียวก็ทำให้คนรู้สึกเสียวสันหลังได้แล้วเหมือนดังเช่นตอนนี้ที่เขากำลังมองนาง
มองแค่พริบตาเดียว กู้เจิงก็หวาดกลัวแล้ว ความจริงหลายวันมานี้นางใช้ใบหน้างดงามของตนเองทำหน้าทำตาก่อกวนเขาเป็ครั้งคราวแต่ก็ไม่เห็นเขาจะว่าอะไร ทำไมวันนี้ถึงไม่ยอมให้นางนั่งข้างกายกันนะ
ขณะที่กู้เจิงกำลังจะลุกขึ้นกลับไปนั่งที่เดิม เสียงเย็นเยียบของเสิ่นเยี่ยนก็ดังขึ้น“ในเมื่อมานั่งแล้ว ก็นั่งให้มันนิ่งๆ หน่อย”
กู้เจิงแอบยิ้มนางรีบนั่งกลับลงไปพร้อมกับกระเถิบเข้าไปใกล้เขายิ่งขึ้น
เมื่อกลับมาถึงบ้านตระกูลเสิ่นก็ดึกมากแล้ว
สองสามีภรรยาเสิ่นไม่ได้นอนอยู่ในห้อง พวกเขายังอยู่ในห้องครัวทั้งสองกำลังดูกระดาษเก่าๆ แผ่นหนึ่ง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกเรากลับมาแล้วขอรับ” เสิ่นเยี่ยนเดินเข้าไปหาในห้องครัว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกเรากลับมาแล้วเ้าค่ะ” กู้เจิงเอ่ยทักบ้าง
“ข้าเพิ่งต้มเกาลัดเสร็จ พวกเ้าก็มากินรองท้องด้วยกันเถอะ” นายหญิงเสิ่นหยิบเกาลัดชามหนึ่งออกมาจากในหม้อแล้ววางบนโต๊ะ
เสิ่นเยี่ยนหยิบกระดาษในมือท่านพ่อมาดูบ้างกู้เจิงแกะเปลือกเกาลัดทีละเม็ด ก่อนจะวางลงตรงหน้าพ่อแม่สามี และเสิ่นเยี่ยน
สองสามีภรรยาเสิ่นยิ้มให้กู้เจิงอย่างรักใคร่เอ็นดู ส่วนเสิ่นเยี่ยนไม่ได้มองกู้เจิงเลยสักแวบเดียวแต่กลับหยิบเกาลัดที่กู้เจิงแกะมาใส่ปาก
กู้เจิงกินเกาลัดพลางเหลือบมองสิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาษแผ่นนี้นางเห็นบนกระดาษเขียนไว้ว่า กล่อง ตู้ โต๊ะ เก้าอี้ และอื่นๆ อีกหลายประเภทโดยด้านหลังแต่ละรายการมีตัวเลขกำกับไว้ ดูเหมือนจะเป็รายการเครื่องเรือนทั้งชุดซึ่งมีหลากหลายชนิด จนแม้แต่ตะเกียบหรือชามก็มีระบุไว้
นางได้ยินนายท่านเสิ่นถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ของพวกนี้เป็ของที่บิดามารดาได้แบ่งให้พี่สามก่อนตายแต่หากพี่สามยังไม่ปล่อยผู้หญิงคนนั้นไป อย่าว่าแต่ของพวกนี้เลยแม้แต่ห้องหับเขาก็จะไม่ได้ เ้าว่าถ้าพี่สามกลับมา เราควรจะทำยังไง?”
นายหญิงเสิ่นเองลำบากใจเช่นกัน
ลุงสามเสิ่นหรือ? กู้เจิงเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อลุงสามผู้นี้ยิ่งนักนางดูออกว่าพี่น้องตระกูลเสิ่นสนิทสนมกันมากระหว่างสะใภ้ด้วยกันเองก็ไม่มีความขัดแย้งอะไรทุกคนต่างรักใคร่สนิทสนมและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
หญิงผู้นั้นที่พ่อสามีเอ่ยถึงหมายถึงใครกัน? ป้าสามหรือ? กู้เจิงไม่กล้าถามถึงอย่างไรนางก็เป็เพียงสะใภ้คนหนึ่ง อย่าทำตัวอยากรู้อยากเห็นเกินไปจะดีกว่าหากตระกูลเสิ่นมีเื่อื้อฉาวจริง ก็คงไม่อยากให้นางที่เป็คนนอกรู้เท่าไรนัก
คิดไม่ถึงว่านายท่านเสิ่นจะมองนางแล้วถอนหายใจ ก่อนจะเล่าว่า “อาเจิงยังไม่เคยพบลุงสามมาก่อนคงอยากรู้ว่ามีเื่อะไรเกิดขึ้นกระมัง?”
ในเมื่อพ่อสามีถามแล้ว กู้เจิงย่อมต้องพยักหน้า
“อีกสิบกว่าวัน ครอบครัวของเขาก็พากันกลับมาจากจี้เฉิงเมื่อถึงเวลานั้นเ้าก็จะได้เจอพวกเขาเอง” นายท่านเสิ่นทอดถอนใจแล้วกล่าวต่อ “ลุงสามของเ้าเนี่ย ตอนยังหนุ่มเขาชอบสตรีผู้หนึ่งในหอนางโลมท่านปู่ท่านย่าของอาเยี่ยนย่อมไม่เห็นด้วยคาดไม่ถึงว่าลุงสามเ้าจะแอบขายบ้านและเครื่องเรือนที่แบ่งให้เขาเพื่อไถ่ตัวผู้หญิงคนนั้นจากนั้นจึงพานางหนีไป หลังจากนั้นก็ได้ยินมาว่าพวกเขาแต่งงานจนมีลูกด้วยกัน”
พอได้ฟังเื่ราวทั้งหมดกู้เจิงก็เกือบสำลักเม็ดเกาลัดที่เพิ่งกินเข้าไป หนีตามกันไปงั้นหรือ?
เสิ่นเยี่ยนเล่าต่อ “ท่านปู่กับท่านย่าโกรธมากถึงแม้จะใช้เงินซื้อบ้านและเครื่องเรือนกลับมาได้แล้วและไม่ได้ไล่ลุงสามออกจากวงศ์ตระกูล แต่ก่อนตายก็ได้บอกไว้ว่าหากลุงสามไม่เลิกกับสตรีผู้นั้น ลุงสามก็ห้ามกลับเข้ามาในตระกูลเด็ดขาด”
กู้เจิงอดสงสัยเกี่ยวกับลุงสามและป้าสามที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนไม่ได้
สองวันให้หลัง กู้เจิงและเสิ่นเยี่ยนไปกินอาหารมื้อเย็นที่จวนตระกูลกู้หลังจากกินเสร็จแล้ว เสิ่นเยี่ยนก็จะคุยเื่การสอบกับกู้เจิ้งชินในห้องหนังสือต่อ
และแล้ววันสอบก็มาถึง
------------------------------------------------
[1] กระดาษเซวียนจื่อ เป็กระดาษที่มีคุณภาพสูงชนิดหนึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือ เนื้อกระดาษละเอียด สีขาวสะอาด นุ่มและเบาทั้งยังกระจายน้ำหมึกได้สม่ำเสมอและชัดเจน ไม่เปื่อยยุ่ยง่าย โดยกระดาษชนิดนี้ทำจากมณฑลอันฮุย
[2] กำเนิดลูกหลานดั่งเถาแตง เปรียบเปรยว่าให้กำเนิดลูกหลานเหมือนเถาแตงที่ออกผลลูกเล็กลูกใหญ่ไม่ขาดสาย
[3] บทกวีบนเมเปิ้ลแดง หมายถึง คู่รักที่โชคชะตานำพาให้มาพบกันหรือบุพเพสันนิวาสทำให้มารักกัน
[4] บันทึกไว้ในยวนยาง หมายถึง ในเมื่อรักกันแล้วก็ไปจดหนังสือสมรส(ยวนยาง) ซึ่งยวนยาง(นกเป็ดน้ำแมนดาริน) สื่อถึงรักแท้ ความรักเดียวใจเดียว
[5] การสอบถงเซิง(แปลตามตัวอักษรว่า นักศึกษาเด็ก) คือผู้ที่สอบผ่านระดับต้นหรือระดับท้องถิ่นในขั้นเซี่ยนซื่อและฝู่ชื่อ แต่หากสอบผ่านในขั้นย่วนซื่อจะเรียกว่าเซิงหยวน หรือที่มักเรียกกันโดยทั่วไปว่า ซิ่วไฉ
[6] หนึ่งโรจน์ล้วนรุ่ง หนึ่งร่วงล้วนล่ม เปรียบเปรยหมายถึง เมื่อคนหนึ่งเสียหาย คนอื่นก็จะเสียหายตามไปด้วยและเมื่อคนหนึ่งเจริญรุ่งเรือง คนอื่นก็จะเจริญรุ่งเรืองตามไปด้วย