ทัพใหญ่เริ่มเคลื่อนตัวไปอย่างเงียบๆ นักรบจำนวนหลายพันคนเดินปกคลุมไปทั่วพื้นปฐี เนื่องจากจำนวนคนที่มาก และประกอบกับภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อกองกำลังขนาดใหญ่ อีกทั้งภายในสนามรบตะลุมบอนแห่งนี้ยังมีค่ายกลเคลื่อนย้ายล่องหนที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ทำให้การเคลื่อนตัวของกองทัพขนาดใหญ่เริ่มช้าลงเป็อย่างมาก ขบวนทัพถูกเปลี่ยนแปลงไปมาอยู่ตลอดเวลา
ผู้ที่ทำงานหนักที่สุดคงหนีไม่พ้นฮวาเฉ่า ไม่เพียงต้องรับผิดชอบข่าวสารที่หน่วยลาดตระเวนกลับมารายงานสถานการณ์โดยรอบ แต่ยังต้องจัดคนให้ไปทำสัญลักษณ์ไว้ที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ค้นพบโดยรอบเอย สำรวจภูมิประเทศเอย จัดการเส้นทางเดินทัพที่เหมาะสมเอย รวมไปถึงจัดส่งยอดฝีมือไปสอดแนมเส้นทางการหลบหนีของกองกำลังนักรบเผ่าปีศาจและเผ่าคนเถื่อนที่กำลังแตกหนีกระเจิง
ส่วนนักฆ่าของตระกูลฮวาสองคนที่มีพลังฝีมือระดับขอบเขตจ้าวนักรบ ใช้เหตุผลอย่างสวยหรูว่าเพื่อให้ว่าที่หัวหน้าตระกูลฮวาในอนาคตได้ฝึกฝนการเป็หัวหน้าตระกูล จึงโยนทุกอย่างให้ฮวาเฉ่าเป็ผู้จัดการเองทั้งหมด ส่วนพวกตนเองลอยไปลอยมาคุยเล่นกับนักรบสาวของตระกูลเยว่ ทำเอาฮวาเฉ่าโกรธจนแทบกระอักเืออกมา
หลงไซ้หนานเองก็ทำงานหนักเช่นเดียวกัน เป็ครั้งแรกที่จัดตั้งกองกำลังที่ใหญ่โตเช่นนี้ แม้สีหน้าอาการภายนอกจะดูสุขุมราบเรียบ แต่ความจริงแล้วภายในใจทุกวินาทีล้วนตื่นเต้นและเป็กังวล ก็ถูกที่นางเป็ธิดาเพียงคนเดียวของหลงผี่ฟู ก็ถูกที่นางเป็ผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของทำเนียบผู้มีพลังฝีมือระดับชั้นปฐี ได้รับฉายาว่าเป็วีรสตรีที่ไม่แพ้บุรุษอกสามศอก และนางก็มีความเชื่อมั่นในตัวอย่างเต็มเปี่ยม เพียงแต่พวกตาแก่ทั้งหลายภายในตระกูลกลับมีอคติต่อนางมาตลอด หลายปีก่อนบิดาติดจะแต่งตั้งให้ตนเองเป็ว่าที่หัวหน้าตระกูลรุ่นต่อไป แต่กลับถูกพวกตาแก่ในตระกูลคัดค้าน โดยใช้ข้ออ้างว่าตนเองเป็หญิงไม่สามารถที่จะออกคำสั่งแก่เหล่าวีรบุรุษทั้งหลายได้
นางมาเข้าร่วมงานประลองาระหว่างเขตปกครองในครั้งนี้ก็เพื่อพิสูจน์ให้คนในตระกูลเห็นว่านางมีความสามารถพอที่จะรับตำแหน่งว่าที่หัวหน้าตระกูลรุ่นต่อไปได้ ดังนั้น นางจึงอาศัยความองอาจห้าวหาญและพลังฝีมือที่แข็งแกร่งของตนเอง บวกกับพลังอำนาจที่สามารถเรียกร้องให้ผู้คนมาเข้าร่วมด้วย เรียกรวมพลเหล่านักรบระดับหัวกะทิทั้งหมดของเขตปกครองเทพา จากนั้นจัดตั้งกันเป็กองทัพขึ้นเพื่อไปดักโจมตีเผ่าปีศาจและเผ่าคนเถื่อน นางมีลางสังหรณ์อย่างรุนแรงว่าครั้งนี้เป็โอกาสที่ดีที่สุดที่จะโจมตีเผ่าปีศาจและเผ่าคนเถื่อนให้เสียหายยับเยิน ดังนั้นนางจึงไม่อยากที่จะพลาดโอกาสนี้ไป
เพียงแต่...เป็ครั้งแรกที่บัญชาการรบกองกำลังที่ใหญ่โตเช่นนี้ เป็ครั้งแรกที่ต้องรับผิดชอบชีวิตของผู้คนมากมาย ภายในใจอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นและเป็กังวลขึ้นมา ดังนั้นนางจึงต้องทำงานอย่างหนัก รับรายงานข่าวสารทุกอย่างพร้อมทั้งใช้สมองขบคิดและออกคำสั่งออกไปเรื่อยๆ...
เยว่ชิงเฉิงเองก็ยุ่งวุ่นวายอยู่เช่นเดียวกัน แม้ทัพใหญ่จะมีหลงไซ้หนานคอยควบคุมดูแลอยู่ นางจึงไม่จำเป็ต้องไปช่วยแม้สักเพียงเื่เดียว แม้เื่ราวทั้งหมดตลอดการเดินทางจะมีคนของตระกูลเยว่คอยช่วยเหลือนางจัดการ แต่นางก็ยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่ดี
นางยุ่งอยู่กับการคิดถึงคนๆ หนึ่ง...ภายในหัวของนางคิดถึงคนๆ หนึ่งอยู่ตลอดเวลา เด็กหนุ่มที่มีใบหน้าสดใสพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า ดวงตาคู่ไข่มุกดำของนางเหม่อมองออกไปยังสถานที่ห่างไกลตลอดเวลา คล้ายกับว่ากำลังเฝ้ารอการกลับมาของเย่ชิงหาน
.................................
เย่ชิงหานในตอนนี้ก็ยุ่งอยู่ไม่แพ้กัน แน่นอนว่าไม่ใช่ยุ่งอยู่กับการนับคะแนน แม้แหวนที่เสี่ยวเฮยนำมาจะมาก แต่เขาใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็นับคะแนนเ่าั้เสร็จสิ้น ได้มาหนึ่งพันกว่าคะแนน แต่ที่ยุ่งเพราะกำลังยุ่งอยู่กับการหลอมพลังที่แปลกประหลาดมากมายที่ปรากฏขึ้นมาภายในร่างของเขา
ในขณะที่รีบเร่งเดินทางอยู่นั้น เขารู้สึกได้ว่าภายในร่างกายตำแหน่งบริเวณทรวงอกพลันมีพลังงานบริสุทธิ์ปรากฏขึ้น พลังงานเหล่านี้ไหลพรั่งพรูเข้าไปภายในจุดชีพจรของเขาในทันที ไหลเข้าไปรวมกับพลังปราณรบที่มีอยู่ภายในร่าง
แรกเริ่มเขาไม่ได้ใส่ใจเพราะเป็เพียงแค่พลังงานเล็กๆ สายหนึ่งเพียงเท่านั้นซึ่งไม่สามารถที่จะทำให้เกิดผลกระทบมากมายอะไร เพียงแต่ต่อมาพลังงานที่ปรากฏขึ้นภายในทรวงอกนั้นพรั่งพรูออกมารวดเร็วยิ่งกว่าเดิม อีกทั้งยิ่งนานยิ่งมากขึ้นและยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนี้เขาไม่กล้าที่จะประมาท คิดเตรียมตัวที่จะหยุดพักเพื่อตรวจสอบดูให้ละเอียดถี่ถ้วน
ทันใดนั้นเขาได้รับการส่งกระแสเสียงจากเสี่ยวเฮยที่อยู่ภายในมิติสัตว์อสูร เสี่ยวเฮยบอกกับเขาว่าพลังงานเหล่านี้เป็พลังงานที่มาจากผลึกั ไม่จำเป็ต้องเป็กังวล ให้ทำเพียงโคจรพลังปราณรบอย่างสุดกำลัง ให้พลังปราณรบไหลเวียนไปภายในร่างยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี
ได้ยินสิ่งที่เสี่ยวเฮยบอกเย่ชิงหานไม่คิดอะไรมาก เสี่ยวเฮยเป็สัตว์อสูรของตนเอง เป็เพื่อนตายที่จะต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต แน่นอนว่าย่อมหวังดีต่อเขาไม่ทำร้ายเขา! ครั้นแล้วเขาจึงรีบโคจรพลังปราณรบอย่างเต็มกำลังพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่มากขึ้น
เย่ชิงหานเพิ่มระดับความเร็วขึ้นในฉับพลันทำให้เย่สือซานและเย่ชิงอู่รู้สึกแปลกประหลาดใจขึ้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงคิดว่าเย่ชิงหานร้อนใจอยากที่จะกลับไปให้ถึงอย่างเร็วที่สุดเท่านั้น ดังนั้นจึงเพิ่มระดับความเร็วติดตามออกไป
เย่สือซานพลังฝีมือระดับขอบเขตจ้าวนักรบ ระดับความเร็วเพียงเท่านี้ของเย่ชิงหานไม่อยู่ในสายตาของเขา ส่วนเย่ชิงอู่พลังฝีมือระดับขอบเขตนักรบจึงไม่คิดจะยอมแพ้ ครั้นแล้วฉากการวิ่งแข่งจึงเริ่มขึ้น ต่อมาทุกคนตามทันเย่สือชีที่ทำการสำรวจเส้นทางอยู่ด้านหน้าสุด จึงกลายมาเป็การวิ่งแข่งของทั้งสี่คน
เพียงแต่ว่าผ่านไปสองชั่วโมงเย่ชิงหานไม่มีทีท่าว่าจะลดระดับความเร็วลงแต่อย่างใด ยังคงออกแรงวิ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังอยู่เช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จาวิ่งอย่างบ้าคลั่งเพียงอย่างเดียว
เย่สือซานไม่ได้พูดและไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา ระดับความเร็วเพียงเท่านี้ไม่ต่างจากการวิ่งเล่นของเขา แต่เย่ชิงอู่เริ่มที่จะหมดสนุกขึ้นมา แน่นอนว่าพลังปราณรบภายในร่างของนางต่อให้วิ่งเช่นนี้อีกเป็วันก็ยังได้ เพียงแต่การวิ่งอย่างบ้าคลั่งเพียงอย่างเดียวสำหรับนางที่เป็ผู้หญิงแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายและดูไม่งามเท่าใดนัก ถึงกระนั้นเย่ชิงหานก็ไม่ได้สนใจพูดจาซักถามนางเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ก้มหน้าก้มตาวิ่งอย่างบ้าคลั่งเพียงอย่างเดียว ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็ว่าไปกระตุ้นจิตใจที่อยากเอาชนะที่อยู่ภายในส่วนลึกจิตใจของนางเข้า จึงเริ่มวิ่งแข่งกับเย่ชิงหานขึ้นด้วยอารมณ์เง้างอน
แสงสายัณห์ตะวันรอนค่อยๆ เลือนลับไป บนเกาะแห่งความมืดมิดกลายเป็ดำมืดขึ้นมา
ในที่สุดเย่ชิงหานก็หยุดลง เขาหันมาพูดบอกทั้งสามคนออกมาประโยคหนึ่งว่าตนเองจะฝึกยุทธ์ จากนั้นจึงะโขึ้นไปยังกิ่งไม้ใหญ่บนต้นไม้ดึกดำบรรพ์ นั่งขัดสมาธิลงแล้วก็หลับตาเริ่มการฝึกฝนขึ้น
พวกเย่สือซานทั้งสามแม้จะแปลกใจต่อการแสดงออกของเย่ชิงหานในวันนี้ แต่เมื่อเห็นว่าเขาเริ่มต้นฝึกยุทธ์แล้วจึงไม่ได้กล่าวอะไรออกมา หาอะไรทานกันอย่างง่ายๆ จากนั้นผลัดเปลี่ยนกันเฝ้ายามและเริ่มพักผ่อน
เย่ชิงหานไม่ได้แกล้งทำเป็วางมาดหรืออะไรแต่อย่างใด เขาไม่มีทางเลือกเนื่องจากพลังงานที่พรั่งพรูออกมาภายในทรวงอกนั้นยิ่งนานยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่วิ่งตะบึงอย่างบ้าคลั่งอยู่นั้น พลังงานที่พรุ่งพรูออกมาไหลเข้าไปรวมกันกับพลังปราณรบ เมื่อพลังปราณรบไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกายมันก็ไหลไปด้วย จนสุดท้ายไหลเข้าไปสะสมอยู่ภายในตันเถียน ตอนนี้หยุดวิ่งแล้วพลังปราณรบไม่ได้ถูกโคจรให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกายอีก พลังงานกลุ่มนั้นราวกับว่าจะดันจุดชีพจรของเขาให้แตกออก ดังนั้นเขาจึงหยุดการฝึกฝนไม่ได้ จำเป็ต้องทำการฝึกฝนอยู่ตลอดเพื่อให้พลังงานบริสุทธิ์กลุ่มนั้นไหลเวียนไปพร้อมกับพลังปราณรบ จนสุดท้ายไหลไปสะสมอยู่ภายในตันเถียน...
วันรุ่งขึ้น การวิ่งอย่างบ้าคลั่งเริ่มขึ้นอีกครั้ง นอกจากเวลาทานข้าวแล้วเย่ชิงหานล้วนวิ่งอย่างเดียว พอตกกลางคืนก็รีบนั่งสมาธิฝึกฝนต่อในทันที
วิ่งอย่างบ้าคลั่ง นั่งขัดสมาธิลง ฝึกฝน!
ชีวิตประจำวันของเย่ชิงหานวนเวียนอยู่เพียงเท่านี้ แน่นอนว่ามันเริ่มจะมากเกินไปแล้ว แต่หลังจากที่เขาอธิบายให้ทั้งสามฟังว่ากำลังฝึกยุทธ์ ทั้งหมดจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงวิ่งเป็เพื่อนเขาอยู่เงียบๆ ทุกๆ วัน พร้อมทั้งเพิ่มระดับเฝ้าระวังภัยถึงระดับสูงสุด
แม้พวกเขาจะไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไรเย่ชิงหานถึงได้ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งถึงเพียงนี้ แต่ในเมื่อเขายืนกรานที่จะฝึกต่อและร่างกายทุกอย่างก็ปกติ ไม่เพียงปกติธรรมดา โดยเพฉาะอย่างยิ่งพลังปราณรบบนร่างของเขายิ่งนานวันยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พวกเขาล้วนรู้สึกยินดีกับเย่ชิงหานอยู่เงียบๆ ภายในใจ
เนื่องจากการออกวิ่งอย่างบ้าระห่ำทุกๆ วันทำให้ระดับความเร็วของทั้งสี่บรรลุถึงขีดสุด ระยะทางจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่าจะต้องใช้เวลาประมาณสิบวัน ถึงตอนนี้ผ่านไปแล้วห้าวันพวกเขาวิ่งออกมาได้เลยครึ่งทางแล้ว และที่แปลกก็คือ ในระยะเวลาที่ออกเดินทางมาไม่ปรากฏว่าพบกองกำลังนักรบระดับหัวกะทิใดๆ ของทั้งเผ่าปีศาจและเผ่าคนเถื่อนเลย
พวกเขาเริ่มมีลางสังหรณ์ว่าจะต้องมีเื่ใหญ่โตอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ครั้นแล้วจึงระมัดระวังตัวมากขึ้น ทุกๆ คืนที่หยุดพักแรมจะต้องหาสถานที่ที่อยู่ใกล้ค่ายกลเคลื่อนย้ายมากที่สุด เผื่อว่ามีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่ยากจะรับมือเกิดขึ้น จะได้อาศัยค่ายกลเคลื่อนย้ายในการเคลื่อนย้ายหนีออกไปได้ทันเวลา!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้