“หุบปาก เปิ่นหวางเฟยอนุญาตให้พูดแล้วหรือ?” มู่จื่อหลิงเงยหน้าขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ พูดด้วยน้ำเสียงแย่มาก “ท่านบอกว่าตนเป็หมอ ท่านไม่รู้หรือว่าสิ่งต้องห้ามที่สุดสำหรับการรักษาโรคเพื่อช่วยชีวิตคนคือห้ามเสียงดัง?”
นางเกลียดการถูกรบกวนในยามตรวจโรคมากที่สุด โดยเฉพาะยามมีสุนัขมาเห่าใส่หู น่ารำคาญยิ่งนัก
เมื่อถูกขัดจังหวะหลายครั้ง...ใบหน้าของหมอหลวงหลินก็เริ่มปากแหลมแก้มตอบเหมือนลิง [1] อีกทั้งใบหน้ายังแดงก่ำด้วยความไม่พอใจ ความโกรธในใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาไม่กล้าส่งเสียงอีกต่อไป
แต่ ทันทีที่มู่จื่อหลิงพูดเช่นนี้ ดูเหมือนว่าที่ไหนสักแห่งในที่นี้กำลังจะเกิดการโจมตีทางอากาศ
ด้วยเด็กหนุ่มสองคนที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำั้แ่แรกเริ่ม เ้าเด็กปรุงยาที่ยืนอยู่ด้านหลังหลินเกาฮั่น ลอบดึงกริชออกมาจากแขนเสื้อแต่ละข้าง กำไว้ในมือแน่น ซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อ
ชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาเ็ามืดมนสองคู่จับจ้องที่มู่จื่อหลิง ความโกรธเคืองในดวงตา ราวกับสามารถแผดเผานางให้ตายได้ในคราวเดียว
ดูเหมือนมู่จื่อหลิงจะไม่ได้สังเกตดวงตาเกรี้ยวกราดสองคู่ที่จับจ้องมาที่นาง นางยังคงมองเหยียดหมอหลวงหลินผู้เศร้าหมองต่อไป พร้อมพูดแดกดันช้าๆ ว่า “คำพูดและกระทำตามใจจังนะ...หมอ หลวง หลิน”
สีหน้าของหมอหลวงหลินน่าเกลียดขึ้นอีกครั้ง
“...กุ่ยเม่ย คบเพลิง” มู่จื่อหลิงไม่สนใจพูดคุยกับพวกเขาอีก นางตรวจร่างกายเด็กน้อยต่อไป
“ขอรับ” กุ่ยเม่ยตอบกลับ ย่อกายลง หันแสงไฟให้ส่องสว่างไปทางเด็กน้อย
เมื่อตรวจสอบเสร็จสิ้น...มู่จื่อหลิงถอนหายใจเบาๆ ป้อนน้ำยาหลิงอวิ้นให้เด็กน้อย จากนั้นจึงกลั้นหายใจจดจ่อกับการฝังเข็ม
เข็มทองคำสามเล่มค่อยๆ เจาะเข้าไปในจุดฝังเข็มที่สำคัญ มือเรียวเล็กของนางราวกับมีพลังวิเศษ
พลังนี้เหมือนจะรวมเข้ากับเข็มทองคำ จากนั้นจึงค่อยๆ ทะลวงเข้าสู่เส้นลมปราณของเด็กน้อย
ทันใดนั้น ราวกับเข็มทองคำสามเล่มมีชีวิต ปลายเข็มสั่นไหวจนเห็นได้ชัด มันสั่นเป็จังหวะสม่ำเสมอ
แม้เล่อเทียนจะใซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับคำพูดของมู่จื่อหลิง แต่เขาก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมเข้าช่วยเหลือ หลังจากคิดดูอีกครั้ง ดูเหมือนเื่นี้จะไม่เกี่ยวอันใดกับเขา
เล่อเทียนชำเลืองมองการฝังเข็มของมู่จื่อหลิง เพียงแวบเดียวเท่านั้น ดวงตาของเขาราวกับถูกดึงดูด เขาไม่สามารถละสายตาได้เลย
นี่มันช่างน่าเหลือเชื่อ
‘นี่ใช่วิชาฝังเข็มทองคำในตำนานหรือไม่?’ เล่อเทียนอุทานในใจ ดวงตาแทบมืดบอดเพียงเพราะเห็นเข็มทองทั้งสามเล่ม ‘ร่ายรำ’
วิชาฝังเข็มทองคำเป็เทคนิคการฝังเข็มที่มหัศจรรย์และแปลกประหลาด เขาเคยได้ยิน แต่ไม่เคยเห็นมาก่อน
อย่างไรก็ตาม เทคนิคในยามนี้ของมู่จื่อหลิงนั้นคล้ายกับวิชาฝังเข็มทองคำมาก อีกทั้งเทคนิคนี้ยังได้รับการฝึกฝนอย่างประณีตที่สุด ปลายเข็มที่สั่นไหว...เป็ข้อพิสูจน์ทุกสิ่ง
แม้กระทั่งหมอปีศาจอาจารย์ของเขาก็ไม่อาจเข้าใจวิชานี้ได้ แต่ยามนี้ไม่คาดคิดว่ามู่จื่อหลิงจะทำได้...เล่อเทียนพูดไม่ออก ในใจแทบจะบูชานางแล้ว
เท่าที่เขารู้มู่จื่อหลิงไร้วรยุทธ์ แต่การใช้วิชาฝังเข็มทองคำนี้ หากไม่มีกำลังภายในย่อมไม่อาจใช้ได้
แต่ยามนี้เล่า? ยามนี้มู่จื่อหลิงไม่เพียงแค่รู้วิธีใช้เท่านั้น แต่ยังทำได้อย่างง่ายดาย การเคลื่อนไหวดูมีความชำนาญอย่างยิ่ง
ฉีหวางเฟยผู้นี้ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ นางยังมีด้านที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกกี่ด้านกัน? เล่อเทียนกลืนน้ำลาย ดวงตาเป็ประกาย บ่งบอกถึงความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง
ยามที่เล่อเทียนกำลังตกตะลึง มู่จื่อหลิงก็ชำเลืองมองเขาอย่างโกรธเคือง “เล่อเทียน มัวยืนทำอะไรอยู่? รีบมาช่วยเร็วเข้า”
“อ๊ะ? โอ้” เมื่อครู่เขายังติดอยู่ในจินตนาการอันน่าเหลือเชื่อ แต่ในพริบตาต่อมา เล่อเทียนก็กลับมามีสติสัมปชัญญะ รีบวิ่งเข้าหานางไม่ต่างจากสุนัข
มู่จื่อหลิงออกคำสั่งกับเขาอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ “ข้าควบแน่นเืที่ปนเปื้อนพิษศพเข้าด้วยกันแล้ว เ้าสามารถใช้ทักษะของเ้าบังคับมันออกมาได้เลย”
“ได้” เล่อเทียนตอบด้วยท่าทางโง่เขลา แต่เขายังดำเนินการโดยไม่ลังเล
หลังจากนั้นไม่นาน เืพิษก็ไหลออกมาจากปากของเด็กน้อยอย่างต่อเนื่อง สีหน้าซีดเซียวแต่เดิมของเขาก็ค่อยๆ ดีขึ้น
เมื่อเป็เช่นนี้ เล่อเทียนไม่พูดอะไรนอกจากคำว่า ‘โอ้’ และพยักหน้าตามคำสั่งของมู่จื่อหลิงโดยไม่คิดใส่จะงอยปากออกความเห็นใดๆ เขาเพียงแค่ทำหน้าที่ของตนอย่างขะมักเขม้น
แม้หลินเกาฮั่นจะไม่เข้าใจเทคนิคการฝังเข็มที่แปลกประหลาดของมู่จื่อหลิง แต่เขาก็ใไม่ต่างกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์สายตรงของหมอปีศาจผู้นั้นยังบ้าจี้ทำตามคำสั่งของนางด้วยท่าทางมีความสุข
ท่าทางเช่นนั้นของเล่อเทียน เหตุใดเขาถึงดูเกรงอกเกรงใจได้ถึงเพียงนั้น? มองอย่างไรก็ไม่กลมกลืน
ดูเหมือนว่าหลี่ซินหย่วนไม่มีความสนใจคนสองคนที่กำลังช่วยชีวิตคนเลย เขาะโขึ้นไปบนต้นไม้เตี้ย หยิบขวดบรรจุน้ำยาหลิงอวิ้นที่มู่จื่อหลิงมอบให้ออกมาจากแขนเสื้อ แกว่งไปมาอย่างสบายอารมณ์
จู่ๆ หลี่ซินหย่วนก็กำขวดกระเบื้องในมือแน่น ใช้แรงมหาศาลจนดูเหมือนกำลังบดขยี้มัน
เพียงไม่นาน หลี่ซินหย่วนก็เอียงศีรษะเล็กน้อย ลดสายตาลงมองมู่จื่อหลิงซึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ที่ปกคลุมไปด้วยความอบอุ่นนุ่มนวลจากแสงของเปลวเพลิง ดวงตาดอกท้อเย้ายวนเปล่งประกายด้วยแสงซับซ้อนจนดูผิดปกติ
เขาขยับริมฝีปากเร่าร้อนของตนเล็กน้อย เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาเบาๆ ‘สิบสี่ปีแล้ว ในที่สุดิญญาทั้งสามก็รวมเป็หนึ่งเดียว ผู้เกิดมาพร้อมภารกิจสำคัญ...เส้นสายทั้งห้าเชื่อมกันเป็ดวงดาว ชะตากรรมในวันหน้าเป็สิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้’
......
หลังจากจัดการกับเด็กน้อยแล้ว มู่จื่อหลิงก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ ชำเลืองมองหลี่ซินหย่วนซึ่งอยู่บนต้นไม้เตี้ยอย่างสงบเชื่อฟัง
ในยามนี้หลี่ซินหย่วนกำลังนอนเอกเขนกอยู่บนต้นไม้เตี้ยในอิริยาบถเย้ายวนใจเป็พิเศษ หลับตาลงเบาๆ กรีดนิ้วดอกกล้วยไม้ล้อมรอบดวงหน้าทรงเสน่ห์ของตน เพียงแต่ดวงตาแพนด้าทั้งสองข้างกลับทำให้เสียอรรถรสไป
มุมปากมู่จื่อหลิงกระตุกเล็กน้อย ชายตุ้งติ้งเป็เช่นนี้ จริงอย่างที่เล่อเทียนกล่าวไว้...ดูเจริญหูเจริญตากว่าก่อนหน้าจริงๆ
เดิมทีนางคิดว่าหลี่ซินหย่วนจะไม่สามารถระงับความอยากรู้อยากเห็นได้จนต้องเข้ามาถามนางเกี่ยวกับโรคระบาดที่นางบอกกับเล่อเทียนไปเมื่อครู่ แต่ยามนี้เขาเป็เช่นนี้...มู่จื่อหลิงจึงพบว่า เมื่อใดก็ตามที่เกิดเื่ร้ายแรงขึ้น หลี่ซินหย่วนจะเงียบสงบลง
ก่อนหน้านี้ในยามที่กุ่ยเม่ยเล่าสถานการณ์ภายในเมืองหลงอันเขาก็เป็เช่นนี้ เป็เหมือนกับยามนี้ที่ประพฤติตนเรียบร้อย ไม่ะโออกมารบกวนนาง
คนคนนี้ซุกซนอย่างที่เห็นจริงหรือ? ร่องรอยความสงสัยแล่นวาบไปทั่วหัวใจมู่จื่อหลิง
มู่จื่อหลิงส่ายหัว ไม่คิดเื่นี้อีกต่อไป หันไปถามกุ่ยเม่ยว่า “กุ่ยเม่ย เ้ารู้ไหมว่าโรคระบาดนี้ถูกค้นพบครั้งแรกที่ใด?”
ผิวของเด็กน้อยดูดีขึ้นทีละนิด แต่นั่นเป็เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ด้วยยังมีปัญหาที่จะตามมาอีกมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือยังมีปัญหาใหญ่อีกประการหนึ่ง
ยามนี้ทำได้เพียงรักษาตามอาการ แต่ยังไม่อาจรักษาที่ต้นตอได้ ต่อจากนี้...ต้องหาต้นตอของโรคให้ได้เท่านั้น
ยามนี้ทำได้เพียงบรรเทาความเ็ปของเด็กน้อย และควบคุมโรคของเขาไว้ชั่วคราว เพียงแค่ทำให้อาการไม่แย่ลง
แม้ว่าโรคระบาดจะโหมกระหน่ำ อีกทั้งอัตราการติดเชื้อยังรวดเร็วมาก อีกทั้งเมืองหลงอันยังเป็เมืองที่ใหญ่อันดับสองรองจากเมืองหลวง
ก่อนหน้านี้กุ่ยเม่ยเคยเล่าให้นางฟัง มู่จื่อหลิงจึงรู้สึกแปลกๆ
ไม่ว่าโรคระบาดจะแพร่กระจายรวดเร็วเพียงใด ก็เป็ไปไม่ได้ที่จะนำหายนะมาสู่ผู้คนเกือบทั้งเมืองในเวลาเพียงไม่กี่วัน
ยิ่งไปกว่านั้น ยามโรคระบาดถูกค้นพบ ทุกคนย่อมใช้มาตรการแยกตัวเพื่อเป็การป้องกันอย่างง่ายๆ โดยเร็วที่สุด และสิ่งที่โหดร้ายที่สุดคือการเผาทิ้ง
ซากศพ พิษศพ ศพมนุษย์?
สิ่งนี้แสดงว่าต้นตอของโรคมาจากซากศพ แต่ศพจำนวนน้อยไม่อาจกระตุ้นให้เกิดโรคระบาดที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ เช่นนั้นจะต้องมีผู้คนล้มตายจำนวนมาก และในหมู่คนตายเ่าั้บางคนจะต้องมีโรคประหลาด
ก่อนหน้านี้นางรู้อยู่แล้วว่า ใน่หลายปีที่ผ่านมานี้แคว้นเจียหลัวที่อยู่ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้เหวินอิ้น พระองค์ทรงปกครองแคว้นได้อย่างมั่นคงสงบสุข ผู้คนอาศัยและทำงานอย่างมีความสุข สภาพแวดล้อมดี แคว้นค่อนข้างร่มเย็น
แต่ยามนี้กลับมีซากศพจำนวนมากในเมืองหลงอันซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองหลวงได้อย่างไร? ไม่เคยได้ยินว่าเกิดาใดๆ เลยไม่ใช่หรือ? จิตใจของมู่จื่อหลิงเต็มไปด้วยความคิดที่สับสนงงงวย
ก่อนกุ่ยเม่ยจะตอบกลับ หลี่ซินหย่วนก็ะโลงมาจากต้นไม้ โบกมือให้มู่จื่อหลิง “โถ เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ เื่นี้ต้องถามข้าสิ กุ่ยเม่ยจะรู้ได้อย่างไร? เ้าลืมไปแล้วหรือว่าฝ่าาทรงมีรับสั่งให้ข้าตามมาด้วยเหตุใด? ฝ่าาทรง...”
“พูดมากไปเพื่ออะไร? หากรู้ก็รีบบอกมา” มู่จื่อหลิงเอ่ยขัด กำกำปั้นเล็กของตน ส่ายไปมาต่อหน้าหลี่ซินหย่วน ก่อนยกยิ้มอย่างเ็า “เ้ายังอยากที่จะกินกำปั้นอยู่อีกหรือ หืม?”
“โหดร้าย...” หลี่ซินหย่วนวางมือแนบหน้าอก แสดงท่าทางหวาดกลัว
เขาเกือบเสียท่าแล้ว...มู่จื่อหลิงกุมหน้าผาก จ้องมองเขาอย่างดุดันด้วยใบหน้าที่มืดมน “บอกมา!”
ภายใต้ ‘อำนาจอันน่าหวาดกลัว’ ของมู่จื่อหลิง หลี่ซินหย่วนหดคอลง พูดอย่างตรงไปตรงมา “ช่างบังเอิญที่สถานที่ที่โรคระบาดปรากฏขึ้นคือหมู่บ้านเล็กๆ ที่แสนร่มรื่นซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากูเาโฮ่วซานเท่าใดนัก”
ในตอนท้าย เขากลอกตาราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนเอ่ยถามอีกครั้ง “เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ เ้ากำลังมองหาสาเหตุที่แท้จริงอยู่หรือ? แต่ทางราชสำนักได้ส่งหมอหลวงจำนวนมากมาก่อนแล้ว กลับไม่พบสิ่งใดเลย นอกจากนี้พวกเขาทั้งหมดล้วนถูกเกณฑ์มาอย่างน่าเสียดาย ด้วยไม่มีใครรอดชีวิตเลย”
มู่จื่อหลิงขมวดคิ้ว โบกมือ “ไม่ไกลจากูเาโฮ่วซาน เช่นนั้นมีการตรวจสอบบนูเาแล้วหรือยัง?”
เท่าที่นางรู้ สาเหตุที่โรคระบาดแพร่กระจายอย่างรวดเร็วได้นั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าการแพร่กระจายจากการรับประทานอาหารประจำวันของผู้คน แหล่งอาหารที่สำคัญที่สุดคือแหล่งน้ำที่กว้างใหญ่ และแหล่งน้ำนั้นก็มาจากูเาไม่ใช่หรือ?
หลี่ซินหย่วนกางมือออกแล้วยักไหล่ “ทันทีที่หมอเ่าั้เข้าไปในหมู่บ้านก็ไม่ได้กลับออกมาอีกเลย ภายหลังเนื่องจากการสืบสวนไร้ผล จึงไม่เคยส่งผู้ใดเข้าไปอีก ยามนีู้เาโฮ่วซานกลายเป็ที่รกร้าง ไม่มีใครอยู่อาศัย”
มู่จื่อหลิงกลอกตาด้วยความโกรธ จากนั้นจึงเตือนว่า “พิษศพ พิษ ศพ...มีศพมากมายถึงเพียงนี้ ในหมู่บ้านเล็กๆ จะมีได้อย่างไร?”
คำนี้จะปลุกคนช่างจินตนาการ
หลี่ซินหย่วนตระหนักได้ทันที เขาพูดด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย “เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ เ้าฉลาดยิ่งนัก ข้าจะรีบไปจัดการ ส่งคนเข้าไปตรวจสอบโดยเร็ว”
ก่อนจะพูดจบลง ไม่รอให้มู่จื่อหลิงพูดอะไรอีก หลี่ซินหย่วนก็กระโจนเข้าไปในป่าอันมืดมิดแล้ว
ก่อนหน้านี้มู่จื่อหลิงแทบไม่รู้จักชายตุ้งติ้งผู้นี้เลย
ชายตุ้งติ้งผู้ผิดปกติและสมควรถูกทุบตีผู้นี้ เขากลับไม่วุ่นวายยามเกิดเื่ ทั้งยังลงมือทำงานของตนและทำได้ดีไม่แพ้กุ่ยเม่ย ช่างว่องไวเสียจริง
ไม่แปลกใจเลยที่เขาได้เป็ฮู่กั๋วกง เหมาะสมแล้ว หากเขาขาดความสามารถ เช่นนั้นจะสามารถทำให้ฮ่องเต้เหวินอิ้นชื่นชมและจดจำได้อย่างไร
จนกระทั่งร่างของหลี่ซินหย่วนหายวับไป มู่จื่อหลิงจึงอธิบายต่อด้วยเสียงแ่เบา “เนื่องจากฮู่กั๋วกงไปหาคนมาตรวจสอบูเาแล้ว เช่นนั้นเราก็ไม่จำเป็ต้องเข้าไปในเมือง ยามนี้สถานการณ์โรคระบาดชัดเจนแล้ว เราหาที่ปลอดภัยสำหรับพักแรมในคืนนี้กันก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับเข้าเมืองหลวง”
เมื่อได้ยินสิ่งที่มู่จื่อหลิงพูด หมอหลวงหลินผู้ถูกกดขี่มานานจึงพูดขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หวางเฟย เพียงเข้าใจสถานการณ์ของโรคระบาด ยังไม่ได้กำจัดให้สิ้นซาก เหตุใดท่านถึงจะกลับแล้วเล่า? เช่นนี้จะอธิบายต่อฝ่าาได้อย่างไร?”
มู่จื่อหลิงชำเลืองมองที่เด็กปรุงยาทั้งสองคนโดยไม่สนใจหลินเกาฮั่น นางคิดคำนวณในพริบตา เมื่อครู่เป็เพียงการจุดไฟ นางเพียงเพิ่มฟืนแล้วปล่อยให้พวกเขาเผาไหม้ด้วยตนเอง เพียงเท่านั้น
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ปากแหลมแก้มตอบเหมือนลิง (尖嘴猴腮) มีความหมายว่า คนหน้าตาอัปลักษณ์