หลิ่วจิ้งเข้าใจอุปนิสัยของหั่วอี้ดีรู้ว่าเขาจะไม่ทำการนอกลู่นอกทางเพื่อสตรีคนใดคนหนึ่งฉะนั้นเขาย่อมตัดสินใจในสิ่งที่เหมาะควรที่สุดสำหรับจวนสกุลหั่วแห่งนี้อาจเป็ไปได้ว่าเขาจะมอบฐานะให้นางจ้าว แต่มอบความรักใคร่ให้แก่นาง แต่หลิ่วจิ้งรู้ว่าสิ่งที่นางประสงค์ตลอดมานั้นไม่ใช่ความรักใคร่ทว่าคือฐานะและอำนาจต่างหาก ความรักละมุนเช่นบุปผาในสายลมค่ำคืนหิมะโปรย [1] เ่าั้พรากจากนางไปแสนไกลเนิ่นนานแล้ว
อาหนูแอบได้ใจเมื่อเห็นหลิ่วจิ้งขมวดคิ้วแน่นนางคิดว่าหลิ่วจิ้งจะต้องรับฟังคำของนาง และกำลังใคร่ครวญดูว่าควรทำเช่นใด
หลิ่วจิ้งรู้ว่าเมื่ออาหนูเอ่ยออกมาตามตรงแต่นางกลับปฏิเสธคนที่อาหนูลงมือด้วยเป็คนแรกก็คงจะกลายเป็นางเพราะนางไม่คิดว่าอาหนูจะเป็คนใจบุญแต่อย่างใด
นางจึงทำได้เพียงแสร้งทำเป็กังวลใจเอ่ยกับอาหนูด้วยท่าทีเคร่งเครียดว่า “อาหนู ข้าเข้าใจความหมายของเ้าข้าจะอยากเห็นว่าวันหนึ่งตนเองกลับไม่เหลือสิ่งใดเลยได้อย่างไรเพียงแต่เ้าเองก็รู้ถึงสถานการณ์ของข้าในยามนี้ ข้าไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ผู้คนแม้อยากมีแผนการใดขึ้นมาบ้างแต่ก็ไร้คนจะใช้สอยได้ยิ่งไม่รู้ว่าจะไปเอายาบำรุงที่ช่วยเสริมครรภ์ชนิดที่ว่ามาจากที่ใด”
หลิ่วจิ้งรู้ว่าไม่อาจพูดออกไปให้ชัดเจนจึงเปลี่ยนวิธีพูดเสียแต่ก็เชื่อว่าอาหนูจะเข้าใจความหมายแท้จริงที่นาง้าสื่อ
อาหนูร้อนใจขึ้นมาทันใดเมื่อเห็นว่าฮูหยินมีท่าทีผลักไสหรือเพราะฮูหยินไม่เข้าใจขนบจารีตของแคว้นชางอี้เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็ตัดสินใจว่าต้องให้ยาแรงแก่ฮูหยินเสียแล้ว
อาหนูจึงอธิบายไปโดยไม่อ้อมค้อมอีก พูดกับหลิ่วจิ้งไปตรงๆ ว่า“ฮูหยินคงยังไม่เข้าใจจารีตธรรมเนียมของแคว้นชางอี้ ในครอบครัวของขุนนางโดยทั่วไปผู้ที่สืบทอดกิจการและตำแหน่งขุนนางจะต้องเป็บุตรชายคนโตของฝ่ายชายเท่านั้นซึ่งก็หมายความว่า ถึงยามนั้นหากท่านแม่ทัพเห็นแก่คุณงามความดีของท่านก็อาจเป็ไปได้ว่าจะไม่ยกนางจ้าวขึ้นมาเป็เอกแต่เื่นี้กลับไม่มีผลกระทบต่อการสืบทอดตำแหน่ง บุตรชายคนโตของท่านแม่ทัพที่นางจะคลอดออกมาฮูหยินท่านลองคิดดู เมื่อถึงยามที่คุณชายใหญ่ผู้นี้เติบโตเป็ผู้ใหญ่เขาจะปฏิบัติต่อท่านเป็อย่างดีหรือ?”
อาหนูอธิบายอย่างแจ่มแจ้งเป็ที่สุดนางเอ่ยคำที่ควรอยู่แต่ในทางลับออกมาไว้ในทางแจ้งจนหมดแล้วแสดงท่าทีชัดแจ้งว่าจะทำหรือไม่หลิ่วจิ้งก็ต้องพูดออกมาให้ชัดเจนเสีย
“อีกประการนะเ้าคะฮูหยินท่านคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะยอมรับผู้สืบทอดตำแหน่งขุนนางที่ไม่ได้มีฐานะเป็บุตรชายคนโตจากภรรยาเอกในจวนหรือเ้าคะ?” อาหนูคิดสักพักจึงเอ่ยต่อไปอีก นางไม่เชื่อว่าหลิ่วจิ้งจะไม่ติดกับ
คำของอาหนูทำให้สีหน้าของหลิ่วจิ้งซีดเผือดในทันใด เห็นทีว่านางคงใเพราะคำพูดของอาหนูแล้วกระมังนางรีบหันมองอาหนู “อาหนู นึกไม่ถึงว่าชะตาข้าจะลำบากเพียงนี้เดิมทียังหลงนึกว่าเมื่อกษัตริย์แห่งชางอี้ไม่โปรดข้าแต่ภายหลังกลับได้ท่านแม่ทัพช่วยเหลือพากลับมานับแต่นี้ไปก็จะมีที่ให้พำนักอย่างปลอดภัย คิดไม่ถึงเลยว่าอย่างไรก็ยังหนีไม่พ้น”
สีหน้าของหลิ่วจิ้งหม่นหมองไร้ความสว่างไสวคล้ายว่านางมองเห็นจุดจบของตนอยู่ตรงหน้า
อาหนูยินดีขึ้นมาทันใด ดูท่าว่าหลิ่วจิ้งจะคิดตกแล้วนางจับจ้องหลิ่วจิ้งด้วยใจจดจ่อ หวังจะได้ยินคำตอบที่นาง้าจากปากของหลิ่วจิ้ง
หลิ่วจิ้งตบหลังมือของอาหนู “เพียงแต่เป็ทุกข์ก็ส่วนเป็ทุกข์อาหนู เ้าหยั่งรากลงในแผ่นดินนี้แล้ว ้าสิ่งใดล้วนทำได้ดังประสงค์แต่ข้ากลับไม่เหมือนกัน แม้จะมีใจแต่กลับไร้ความสามารถ ข้าทำได้เพียงคิดหาวิธีเอาใจทำให้ท่านแม่ทัพมีความสุขเท่านั้นแล้วส่วนทางฮูหยินใหญ่นั่นก็อย่าไปมีเื่กับนางได้เป็ดี เมื่อเป็ดังนี้ข้าก็คงพอจะอยู่ในจวนต่อไปได้”
หลิ่วจิ้งบรรลุเป้าหมายของตนแล้วพูดจบก็หันใบหน้าซีดขาวไปส่งยิ้มที่ไม่น่าดูเสียยิ่งกว่าร้องไห้ให้อาหนูก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้น หันไปยิ้มให้อาหนูอีกคราเป็การบอกลานางเรียกอวี้จิ่นที่ออกไปรอนอกประตูเรือนเหมยลู่ให้มาหาแล้วเดินกลับไปเรือนหลักทิ้งอาหนูที่สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจเอาไว้ภายในห้องไม่รู้ว่าคิดแผนการใดขึ้นมาอีก
ที่สวนดอกไม้ภายในจวนสกุลหั่วบนทางเดินที่พาดผ่านแมกไม้ถูกปกคลุมไปด้วยร่มเงาจากกิ่งก้านของต้นไม้นานาเหมยเซียงประคองนางจ้าวเดินไปไม่เร็วไม่ช้าข้างกายนางยังมีป้าหวังจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่าตามมาด้วย
เดิมทีป้าหวังได้รับคำสั่งจากฮูหยินผู้เฒ่า ว่าทุกๆวันให้หาเวลามาพานางจ้าวเดินเหินไปมาให้มากหน่อย บอกว่าทำเช่นนี้จะช่วยให้คลอดง่าย
ระยะนี้ร่างกายของนางจ้าวยิ่งเชื่องช้าลง สีหน้านางไม่ค่อยดีนักยามมองป้าหวังไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ชอบใจ หากมิใช่ว่าฮูหยินสั่งให้เอาป้าจ้าวไปขังไว้คนที่มาอยู่เป็เพื่อนนางก็คงจะเป็ป้าจ้าว
นับั้แ่เข้าจวนมา ป้าจ้าวก็เป็คนเก่าแก่ในจวนสกุลหั่วอยู่ก่อนหน้าแล้วนางเป็ผู้ที่คอยดูแลนางจ้าวมาโดยตลอดจึงนับได้ว่านางจ้าวมีความผูกพันกับป้าจ้าวมากกว่า
แต่เพราะป้าหวังก็เป็คนข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าแม้นางจ้าวจะไม่ชอบนาง แต่ฉากหน้าก็ยังมีท่าทีเกรงใจนางอยู่บ้าง
สวนดอกไม้ในจวนสกุลหั่วกว้างใหญ่นักเดิมทีทั้งหลิ่วจิ้งและนางจ้าวจึงไม่น่ามาพบกัน แต่จู่ๆ หลิ่วจิ้งก็เกิดเปลี่ยนใจอยากไปดูดอกบัวในสระบัวขณะที่เดินตามทางไปสระบัวจึงพบกับนางจ้าวเข้าโดยบังเอิญ
นางจ้าวเพิ่งจะเดินเลี้ยวออกมาจากทางไปสระบัวที่ตัดกับทางที่ไปป่าไผ่และได้พบกับหลิ่วจิ้งที่กำลังชมดอกไม้อยู่ นี่เป็เื่บังเอิญเหลือเกิน นางที่ยังไม่ทันหายจากอาการประหลาดใจจึงได้แต่คำนับหลิ่วจิ้งด้วยท่าทางแข็งทื่อไปตามธรรมเนียมถือเป็การทักทายหลิ่วจิ้ง
หลิ่วจิ้งเองก็เพิ่งมาถึงริมสระบัว ยังไม่ทันได้ชมดอกบัวก็เห็นนางจ้าวเดินเลี้ยวมาแล้ว
“ฮูหยินอารมณ์ดีจริงๆ นะเ้าคะ ค่ำมืดป่านนี้แล้วยังเดินเล่นอยู่ข้างนอกอีกคงอุดอู้นักกระมัง จะเหมือนข้าได้ที่ใด แม้ไม่อยากออกมาเดินแต่เพื่อลูกแล้วไม่เดินก็มิได้” นางจ้าวเอ่ยพลางเผยรอยยิ้มได้ใจเอียงตามองหลิ่วจิ้งประหนึ่งว่านางอยู่เหนือกว่าชั้นหนึ่ง
หลิ่วจิ้งเก็บสายตาที่กำลังชมดอกบัวกลับมาหันมองนางจ้าวที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนด้วยท่าทียโสโอหัง
ยิ่งใกล้กำหนดคลอดของนางจ้าว ทุกคนในจวนยิ่งให้ความสำคัญกับนางไม่ใช่แค่หั่วอี้ แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ่งพยายามทำตามสิ่งที่นาง้าไม่เพียงงดเว้นไม่ต้องให้นางจ้าวมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าในวันเกิดเช่นก่อนมายังส่งบ่าวชราในเรือนตนมาดูแลนางด้วย
ท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งเป็เครื่องบ่งชี้ถึงฐานะที่สูงขึ้นของนางจ้าวเรียกได้ว่านอกจากคนข้างกายของหลิ่วจิ้งและอาหนูแล้ว ทุกคนในจวนล้วนฟังคำสั่งนางเคารพยำเกรงนาง บางคนยิ่งหาทางเข้าไปสร้างสัมพันธ์อันดีกับนาง
ก่อนนี้นางจ้าวยังพอมีท่าทีเคารพหลิ่วจิ้งอยู่บ้าง หรืออย่างน้อยก็แสดงออกให้เห็นว่าเป็เช่นนั้นแต่คงเพราะนางเห็นว่าเมื่อผ่านไปอีกวันก็เข้าใกล้วันที่บุตรนางจะคลอดเข้าไปอีกวันนางจึงไม่ได้เคารพยำเกรงหลิ่วจิ้งอีกต่อไป
หลังสิ้นเสียงนางจ้าว สีหน้าของหลิ่วจิ้งก็เย็นเฉียบลงเสียแรงที่เมื่อครู่นางยังลังเลที่จะแตะต้องนางจ้าว นึกไม่ถึงว่านางจ้าวกลับยิ่งล้ำเส้นขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นหลิ่วจิ้งก็เปลี่ยนมามีรอยยิ้มเอียงอายบนใบหน้า“กลับเป็ฮูหยินใหญ่ที่ยามนี้มีเวลาว่างนัก เพราะเ้าตั้งครรภ์จึงไม่อาจอยู่ปรนนิบัติในห้องนอนได้อีกหาไม่แล้วด้วยเรี่ยวแรงแข็งขันของท่านแม่ทัพ หากได้ฮูหยินใหญ่ช่วยแบ่งเบาภาระบ้างข้าก็คงไม่ต้องคอยปรนนิบัติอยู่ในห้องนอนไม่เว้นแต่ละคืน แทบไม่ไหวแล้วจริงๆ”
หลิ่วจิ้งพูดไปส่งๆแค่สองประโยค กลับได้เห็นสีหน้าเขียวคล้ำของฮูหยินใหญ่สมดั่งใจนางรู้สึกสะใจเสียจริงๆ เป็ดังคำว่าผู้อื่นไม่ล่วงเกินข้า ข้าไม่ล่วงเกินผู้อื่น ถ้านางจ้าวไม่เอาลูกมาข่มนางก่อน นางก็ไม่คิดจะไปปะทะกับนางจ้าว แต่ยามนี้นางจ้าวขึ้นมาเหยียบบนหัวนางแล้วหากไม่โต้ตอบก็ไม่ใช่วิสัยของหลิ่วจิ้ง
นางรู้ว่าตีงูต้องตีตรงตำแหน่งเจ็ดชุ่น [2] ส่วนตำแหน่งเจ็ดชุ่นของนางจ้าวก็คือแม้นางจ้าวจะอยากไปปรนนิบัติหั่วอี้ในห้องนอนก็ยังไม่มีโอกาสหลิ่วจิ้งจึงยกเื่นี้มาพูด นางไม่เชื่อว่านางจ้าวได้ฟังแล้วจะไม่ปวดใจ
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] บุปผาในสายลมค่ำคืนหิมะโปรย หมายถึง สิ่งที่ฉาบฉวยปรากฏขึ้นและหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ยั่งยืน
[2] ตำแหน่งเจ็ดชุ่น หมายถึง จุดอ่อน จุดตาย (บนตัวงูคือตำแหน่งของหัวใจ เป็จุดตายของงู)
