“3!”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วยกนิ้วขึ้นมา 3 นิ้ว มันคือนิ้วโครงกระดูกที่มีเืและเนื้อติดอยู่
กุ่ยกู่จือจ้องมองศัตรูที่อยู่ตรงหน้าตาไม่กะพริบ เมื่อฟื้นคืนชีพปุ๊บศพก็จะยืนขึ้นได้ทันที ส่วนวาตะเพ้อฝันกลับยืนอยู่ห่างออกไป 10 เมตรโดยไม่สนใจอะไรเลยราวกับกำลังรอพวกเราฟื้นคืนชีพอยู่ และไม่สนใจด้วยซ้ำว่าผู้เล่นิญญารัตติกาลสองคนนั้นอาจจะร่วมมือกันก็ได้
“2!”
ผมเปล่งเสียงทุ้มต่ำออกมาเตรียมคลิกเพื่อฟื้นคืนชีพสู่เกมแล้ว
“1!”
ฟื้นคืนชีพ!
กุ่ยกู่จือเป็คนมีสัจจะจริงใจ เขาฟื้นคืนชีพพร้อมกันกับผมและเราทั้งสองคนดื่มเืจากขวดแทบจะพร้อมกันก่อนที่พวกเราจะแยกกันพุ่งเข้าหาวาตะเพ้อฝันจากคนละด้าน!
“เหอะ...?”
ดูเหมือนวาตะเพ้อฝันกำลังเย้ยหยันพวกเราอยู่ยังไงอย่างงั้น แล้วไม่กี่อึดใจต่อมาเขาก็รีบพุ่งตรงเข้ามาโจมตีทันที เสื้อคลุมสีขาวของเขาสะบัดพลิ้วไหวไปตามลม ส่วนดาบยาวที่ส่องประกายวาบวับเล่มนั้นก็เคลื่อนไหวอย่างน่ากลัวแล้วแทงไปที่กุ่ยกู่จือก่อน!
“เหอะ จะสู้กับฉันเหรอ มาเลย— ย้ากส์!”
กุ่ยกู่จือเป็คนทะเยอทะยานและหยิ่งในศักดิ์ศรี ดังนั้นเขาจึงสู้สุดตัวไม่มีถอย
ส่วนวาตะเพ้อฝันก็ใจกล้าไม่เบา เขาแสร้งตวัดดาบเพื่อหลอกให้กุ่ยกู่จือลงมือแต่ตัวเองกลับใช้วิธีหมุนตัวที่ไม่เหมือนใครไถลไปกับหอกของอีกฝ่ายก่อนจะใช้ดาบแหลมคมเชือดเข้าไปที่คอของกุ่ยกู่จือทันที กระบวนท่าการเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ลื่นไหลดั่งสายน้ำแถมยังมีเอกลักษณ์มาก
“ฉึก!”
ดาบอันแหลมคมที่ส่องแสงประกายสีเงินตัดผ่านลำคอของกุ่ยกู่จือจนตัวเลขความเสียหายมหาศาลลอยขึ้นมา— 558!
โจมตีครั้งเดียวหมายเอาชีวิตจนตาย!
"ตึก!"
กุ่ยกู่จือทรุดลงไปกับพื้นด้วยสีหน้างุนงง เขาตายอีกครั้ง!
และในขณะที่วาตะเพ้อฝันยังไม่ทันหมุนตัวกลับมา ไอสังหารก็พุ่งเข้าไปหาเขาทันที ผมกระโจนเข้าโจมตีเขาด้วยดาบสังหารอย่างดุดันเหมือนเสือชีตาห์พร้อมกับดาบขจีไพรที่เปล่งแสงสีมรกตออกมา
วาตะเพ้อฝันป้องกันไว้ไม่ทันและโดนโจมตีเข้าเต็มกำลังจนคมดาบสังหารกดลงไปที่หัวไหล่เขาอย่างแรง
"ฉัวะ!"
เืสีแดงสาดกระจายเปรอะเปื้อนเสื้อคลุมสีขาวของเขา จากนั้นผมก็รีบไล่ตามไปข้างหน้าโดยไม่รอให้เขาฟื้นตัวแล้วใช้ดาบเล่มยาววาดเข้าไปที่หน้าอกเขาดั่งอสรพิษ!
“327!”
“221!”
ในการโจมตีติดกันถึง 2 ครั้งนั้นผมแทบจะใช้ความเร็วและพลังโจมตีเท่าที่มีแทบทั้งหมด
วาตะเพ้อฝันถูกโจมตีจนเืหมดหลอดก่อนที่เขาจะล้มลงพร้อมกับเลเวลที่ลดลงไปหนึ่งเลเวล
......
"เฮ้อ โธ่เว้ย… ตีจนฉันเจ็บไปหมด!"
กุ่ยกู่จือฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะเดินมาข้างหน้าแล้วเตะไปที่ศพของวาตะเพ้อฝันไปหนึ่งครั้งด้วยความเคียดแค้น จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาอย่างลังเล “เฉินซา พวกเราอยู่เฝ้าศพเขากันเถอะ ไอ้นี่มันเป็อันดับหนึ่งของเมืองฝูปิง แล้วต่อให้เลเวลของมันลดลงไปหนึ่งเลเวลมันก็ยังเป็อันดับหนึ่งอยู่ พวกเราเฝ้ามันไว้หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้วดูสิว่ามันยังจะเป็ที่หนึ่งอยู่อีกไหม!”
ผมะเิหัวเราะออกมาแล้วตบไหล่เขา “นายเฝ้าเถอะ ฉันจะไปเก็บเลเวลต่อแล้ว อีกอย่างต่อให้เฝ้าศพเขาไว้ ฉันก็รับประกันไม่ได้ว่าฉันจะฆ่าเขาได้...”
ผมไม่ได้ถ่อมตนแต่อย่างใด เมื่อกี้ก็เพราะร่วมมือกับกุ่ยกู่จือถึงสังหารเขาได้แวเฉียด แต่ถ้าสู้ตัวต่อตัวเกรงว่าโอกาสชนะของผมอาจจะไม่ถึง 50% ด้วยซ้ำ!
เมื่อดูเลเวลผมก็เห็นว่าตัวเองตกมาอยู่ที่เลเวล 22 ส่วนกุ่ยกู่จือก็ตกลงมาอยู่ที่เลเวล 21 แล้วเหมือนกัน ตอนนี้ทั้งสองคนต่างก็ตกจากอันดับรายชื่อ 10 คนแรกของเมืองฝูปิงแล้ว ส่วนศพที่นอนเกลื่อนกลาดรอบด้านในตอนนี้ก็เป็คนของสมาคมจ้าวัผยองทั้งหมด 10 กว่าคนที่ถูกส่งมาที่นี่ และอันดับที่ 1 ของชาร์ตอย่างวาตะเพ้อฝันเองก็ถูกฆ่าอยู่ที่นี่เหมือนกัน และถึงจะมีศพมากมานขนาดนี้แต่ป้อมศีตเหมันต์ก็เป็เขตแดนของิญญารัตติกาล ดังนั้นการจะมีกลิ่นคาวเืเหม็นคละคลุ้งไปหมดก็ไม่ใช่เื่แปลก
จากนั้นกุ่ยกู่จือก็หันไปมองศพของหัวหน้าทหารยามฝ่าเค่อแล้วก็พูดขึ้นมา “ NPC ที่ไม่ใช่ระดับบอสจะฟื้นคืนชีพได้ก็ต้องรอตั้ง 24 ชั่วโมง วันนี้พวกเราไม่มีภารกิจแล้วแน่นอน”
“อย่างนั้นเหรอ?”
ผมยิ้มบางแต่ไม่ได้พูดอะไรจากนั้นก็หมุนตัวกลับเข้าป้อมศีตเหมันต์เพื่อเติมน้ำยาจำนวนหนึ่งและซ่อมแซมไอเทมให้เรียบร้อยก่อนจะเดินไปบนถนนเหมันต์สายเล็กๆ ที่ทอดตัวไปสู่ป่ารกชัฏตามลำพัง
จะยังไงก็ช่างผมต้องไปถึงเลเวล 25 ให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าผมได้ใส่ไอเทมดาบเพลิงหยดและผ้าคลุมเพลิงสีครามเมื่อไหร่เชื่อได้เลยว่าต่อให้สู้กับกับวาตะเพ้อฝันซึ่งหน้าผมก็ไม่มีทางด้อยกว่าแน่
ผมหาสถานที่เก็บเลเวลรอบนอกของสุสานได้แล้ว หอกกระดูกิญญารัตติกาลเลเวล 25 พลังโจมตีก็ไม่ค่อยเท่าไหร่แต่กลับมีค่าประสบการณ์มหาศาล ดังนั้นในเวลาที่ไม่มีภารกิจให้ทำก็ยังสามารถใช้มันฝึกฝนได้
“ก๊าๆ...”
สิ่งมีชีวิตทั่วไปตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าผม— ไก่ป่า ไก่ป่าเลเวล 20 พลังโจมตีต่ำมากแถมเืก็น้อย แทงมันติดต่อกัน 2 ครั้งก็ตายแล้ว และเมื่อศพของมันล้มลงบนพื้นผมก็เดินไปข้างหน้าและใช้ทักษะฉกฉวยจากความตายทันที!
“ติ๊ง!”
ระบบแจ้งเตือน : ยินดีด้วยคุณได้รับไข่ไก่ (คุณภาพ 4)!
นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ดังนั้นผมก็เลยตอกไข่ดิบกินไปซะเลย แต่ค่าความหิวของผมดันเพิ่มขึ้นมาแค่ 4 แต้มนี่สิ นี่มันแย่กว่าขนมปังข้าวโอ๊ตของซินหรานมากเลยนะเนี่ย
จกานั้นผมก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ทักษะเรียกิญญา!
“ฟิ้วๆ”
ไก่ป่าที่อยู่บนพื้นดิ้นรนจนลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง ตอนนี้มันกลายเป็โครงกระดูกไก่ป่าอันงดงามซึ่งเป็ปีศาจทาสรับใช้เลเวล 10 แล้ว นอกจากนี้มันยังมีคุณสมบัติคือลดราคาขายถูกๆ ด้วย ทักษะเรียกิญญานี้ช่างไม่มีค่าอะไรเลยจริงๆ
ผมเก็บเลเวลต่อโดยการฆ่าเหล่าโครงกระดูกไปได้ 4 ชั่วโมงกว่าจนสามารถอัปเลเวลขึ้นมาถึงเลเวล 24 ได้ซะที แล้วทันใดนั้นตู้สือซานก็ส่งข้อความมา “ลู่เฉิน ฉันถึงเลเวล 17 แล้ว เร็วพอป่ะ? เราฝืนใช้เวลาเล่นไป 10 กว่าชั่วโมงแล้ว ควรออฟไลน์ไปหาอะไรกินสักหน่อยแล้วพักผ่อนได้แล้วนะ!”
“โอเค ฉันจะออฟไลน์เดี๋ยวนี้แหละ!”
ผมรีบวิ่งกลับไปที่ป้อมศีตเหมันต์ ตอนนี้ศพของพวกสมาคมจ้าวัผยองเ่าั้ฟื้นคืนชีพและจากไปแล้ว ส่วนวาตะเพ้อฝันก็หายไปแล้วเช่นกัน ตอนนี้เลเวลของเ้านั้นอยู่ที่เลเวล 27 แล้วแต่มันก็ยังนำลิ่วต่อไป
เมื่อเข้าไปยังสุสานกุ่ยกู่จือที่กำลังขุดหลุมศพอยู่พอดีก็หันมายิ้มให้ผม “เลิกงานกลับบ้านแล้วเหรอ?”
ผมหัวเราะหึๆ แล้วตอบไปยิ้มไป “ใช่! นายก็กลับบ้านเหมือนกันเหรอ?”
“อืม ราตรีสวัสดิ์ ฝันดี!”
“...”
ตอนที่ผมออฟไลน์ออกมาก็เป็เวลาบ่าย 3 กว่าของอีกวันแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอยู่ อย่างกับว่าหลังจากโดนยาพิษแล้วผมก็กลายเป็ยอดมนุษย์งั้นแหละ แต่ถึงตอนนี้ผมจะรู้สึกมีพละกำลังพลุ่งพล่านทั้งตัว แต่ก็พอลุกขึ้นความรู้สึกเวียนหัวยังมีอยู่ก็เป็เครื่องยืนยันได้ว่าร่างกายผมยังเป็มนุษย์อยู่เหมือนเดิม
หลังจากแปรงฟันล้างหน้าแล้วผมกับตู้สือซานก็ลงมาที่ร้านอาหารชั้นล่างแล้วสั่ง *เอ้อร์กัวโถว 1 ขวดกับอาหารอีก 2-3 อย่าง ร้านนี้เป็ร้านอาหารหูหนานที่มีรสชาติอร่อยมาก เ้าของร้ายของที่นี่เป็ผู้หญิงอายุประมาณ 30 ปี เธอมีเอวบางและสะโพกผาย ทำให้เวลาเดินผ่านไปมาดูช่างยั่วยวนนัก หรือหากจะใช้คำพูดของสือซานก็คือ “คลื่นลูกใหญ่” ดังนั้นที่นี่จึงเป็สถานที่ที่ผมกับตู้ฉือซานมักจะมานั่งเล่นกัน
สือซานยกแก้วขึ้นมาดื่มหมดอึกก่อนที่คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันจนเหมือนกำลังโดนปืนจ่ออยู่ เขามองก้นเ้าของร้ายคนนั้นไปพลางพูดแล้วยิ้มออกมา “ลู่เฉิน หลายปีมานี้ก็มีผู้หญิงมากหน้าหลายตามาสนใจนายนะ ทำไมนายไม่ชอบเลยสักคน? อย่างตอนม.6 ถานเสวี่ยที่เรียนสาขาภาษาต่างประเทศน่ะ ตอนนั้นเธอชอบนายชัดๆ”
“ถานเสวี่ย ใครคือถานเสวี่ย?” ผมดื่มเหล้าจนหมดแก้วหนึ่งแล้วถามอย่างงงๆ
“ไอ้บ้า...” ตู้สือซานจ้องผมแล้วพูดขึ้น “ตอนปีสามที่ซูโจวหิมะตกหนักมาก ฉันส่งข้อความไปหานายว่าข้างนอกหิมะตกแล้ว สวยชะมัด ออกไปดูหิมะด้วยกันเถอะ? นายคิดดูสิว่านายตอบกลับมาว่าอะไร...”
ผมฮัมเสียงต่ำ “ตอนนั้นฉันตอบไปว่าอะไร? ลืมไปแล้ว...”
“ไอ้นี่...” ตู้สือซานตบโต๊ะแล้วทำท่าทางผิดหวังที่ผมจำไม่ได้ “นายตอบฉันว่าอากาศหนาวขนาดนั้นทำงานเสร็จแล้วค่อยออกไป!”
“หา!” ผมตบโต๊ะ “มีเื่แบบนี้ด้วยเหรอ?!”
ตู้สือซานยกแก้วขึ้นมาดื่มให้กับผมแล้วพูดออกมาจากใจจริง “นายก็อายุไม่น้อยแล้วนะ รีบๆ หาแฟนซะ นายดูสิตอนนี้ชีวิตฉันดีขนาดไหน...”
“ดีอะไร?” ผมยิ้มน้อยๆ “นายจะพูดว่านายหาผู้หญิงไปทั่ว จากซูโจวถึงเซี่ยงไฮ้ทั่วทุกมุมเมืองมีผู้หญิงครางชื่อนายอยู่บนเตียงเต็มไปหมด?”
ตู้สือซานตะลึง “เฮ้ย นายก็รู้เหรอ? เออ ก็แบบนั้นแหละ แล้วจะไม่มีแฟนได้ไงล่ะ?”
ผมส่ายหน้ายิ้มมุมปาก “ช่างมันเถอะ ผู้หญิงพวกนั้นไม่เหมาะกับฉันหรอก”
“ไม่เหมาะ? นายน่ะแค่ไม่ชอบพวกเธอต่างหาก?” ตู้สือซานจนใจ “ปีนั้นถานเสวี่ยเป็ดาวคณะภาควิชาภาษาต่างประเทศ ขนาดถานเสวี่ยนายยังไม่ชอบ ไม่รู้นายชอบอะไรกันแน่...”
พูดๆ อยู่เขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นเขาก็ทำตาใสแล้วพูดขึ้นมา “แน่ล่ะ ผู้หญิงอย่างเหออี้คือที่สุดในโลกแล้ว แต่...เฮ้อ เพื่อน ผู้หญิงประเภทนั้นนายจะขอแต่งงานด้วยได้เหรอ?”
ผมมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วพูดพึมพำ “ฉันไม่เคยคิดถึงเื่แบบนั้นเลยว่ะ...”
ตู้สือซานจ้องมองผมอยู่นานสองนานแล้วจึงส่ายหัว “ช่างเถอะ นายนี่เหมือนกับที่ถานเสวี่ยพูดไว้ไม่มีผิด นายเป็ท่อนไม้ที่ทั้งชีวิตนี้ไม่มีทางเบ่งบาน!”
ผมยิ้มอย่างจนใจ “ผู้หญิงทุกคนก็ไม่ได้อ่อนโยนนุ่มนวลเหมือนกันซะหมดนี่ เรามาคุยเื่แผนการอะไรในอนาคตกันดีกว่านะ?”
ตู้สือซานแสดงความสนใจขึ้นมาทันที “อืม ฉันก็ใกล้จะเลเวล 20 แล้ว ถึงเลเวล 25 เมื่อไหร่ก็จะเรียนอาชีพรอง นายคิดว่าฉันทำอะไรดี? ทำยา ตัดไม้ สะสม หลอมเหล็ก ทำเสื้อผ้าหรืออย่างอื่น?”
“แล้วแต่นาย ที่สำคัญก็คือทำแล้วได้เงิน”
“หลอมเหล็กตอนท้ายๆ ได้เงินแน่นอน ฉันเรียนหลอมเหล็กดีกว่า”
“อื้ม!”
ตู้สือซานยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง “ลู่เฉิน รอให้พวกเราเลเวลสูงแล้วจากนั้นก็ถึงเวลาชักธงจัดตั้งสมาคมของพวกเราเองแล้ว!”
“ใช่!”
ผมกำหมัดแน่นแล้วพูดเสียงเข้ม “จะตั้งสมาคมขึ้นมาใหม่ต้องมองข้ามเื่คุณธรรม กฎระเบียบ ชื่อเสียง แล้วก็กวาดล้างพวกบ้าอำนาจอย่างสมาคมจ้าวัผยอง รวมทั้งปราบพวกที่มีอิทธิพลในเขตเมืองฝูปิงให้หมดในคราวเดียวด้วย!”
“ฮ่าๆ ฉันก็หมายความว่าอย่างนั้นเป๊ะเลย!”
ตู้สือซานค่อนข้างฮึกเหิมเลนทีเดียว “เถ้าแก่เนี้ย เอาเอ้อร์กัวโถวมาอีก 2 ขวด!”
*เอ้อร์กัวโถว เหล้าขาวราคาถูกทำจากข้าวฟ่างซึ่งได้จากการกลั่นครั้งที่สอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้