ภัยคุกคามมากมายกำลังรอคอยเย่เฟิง ตอนนี้เย่เฟิงมีเพียงยกระดับพลังเท่านั้น จึงจะปกป้องตัวเองจากเหล่าศัตรูได้
“จริงสิ มีเื่หนึ่งที่ข้าต้องบอกเ้า” ฉู่หานฉุกคิดบางอย่างได้ จึงเอ่ยขึ้นฉับพลัน
เย่เฟิงแปลกใจ ดูจากท่าทางของฉู่หานก็น่าจะเป็เื่สำคัญมาก จึงกล่าวถาม “ศิษย์พี่ฉู่พูดมาได้เลย”
ฉู่หานระบายยิ้มขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาอบอุ่น จากนั้นฉู่หานกระซิบเบา ๆ ว่า “เพื่อนบ้านหญิงของเ้าขี้โมโหง่ายมาก เ้าระวังตัวให้ดี ๆ ล่ะ อย่าไปทำให้นางโกรธ”
“เพื่อนบ้าน ผู้หญิง?” ได้ยินเช่นนั้นก็เกิดรอยหยักบนหน้าผากของเย่เฟิง จู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าศิษย์พี่ฉู่คนนี้น่าจะเป็คนที่ชอบคุยเื่ไร้สาระ รู้เื่ชาวบ้านไปหมด
“ใช่ เพื่อนบ้านผู้หญิงขี้โมโห” ฉู่หานพยักหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน จากนั้นก็กล่าวขึ้น
“เอาล่ะ ไม่พูดเื่นี้แล้ว เดี๋ยวศิษย์น้องเย่ก็จะเข้าใจเอง” กล่าวจบ ฉู่หานเดินจากไปโดยไม่รอให้เย่เฟิงพูดอะไร
ครู่ต่อมาเย่เฟิงสะบัดศีรษะ ก่อนจะเดินเข้าห้องตัวเอง จากนั้นเย่เฟิงทำการศึกษาคัมภีร์ฝ่ามือภูผาพิฆาตที่ได้รับมาจากท่านลุงสาม
ตอนนี้เขามีเคล็ดวิชาหอกเงินประกายเพียงอย่างเดียวที่ใช้การโจมตี แต่เพื่อความไม่ซ้ำซาก เย่เฟิงจึงค่อนข้างสนใจฝ่ามือภูผาพิฆาต
เมื่อศึกษาไปได้ระยะหนึ่ง เย่เฟิงพบว่าฝ่ามือภูผาพิฆาตนี้แบ่งเป็เก้าระดับ พลังจะเพิ่มขึ้นทุกระดับ ทำให้พลังโจมตีแข็งแกร่งขึ้น
สำหรับเย่เฟิงแล้ว การเรียนรู้เคล็ดวิชาขั้นเหลืองไม่ใช่เื่ยากอะไร ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม เย่เฟิงก็จดจำเคล็ดวิชาฝ่ามือภูผาพิฆาตได้หมดแล้ว หลังจากนั้นเย่เฟิงใช้พลังหยวนของตัวเองเป็ตัวกระตุ้น เพื่อปลดปล่อยกระบวนท่าที่หนึ่งของฝ่ามือภูผาพิฆาต
“ฟิ้ว!” เมื่อพลังฝ่ามือถูกปล่อย สายลมพลันพัดโหม พัดพาให้ถ้วยแก้วบนโต๊ะที่อยู่ไกลนั้นเลื่อนออกไปไกลกว่าเดิม
“แสงมีวิถีเคลื่อนไหว แต่ฝ่ามือกลับไร้เสน่ห์ เห็นทีข้าต้องฝึกฝนให้มากกว่านี้” เย่เฟิงคิดในใจ จากนั้นสำแดงพลังของฝ่ามือภูผาพิฆาตกระบวนท่าที่หนึ่งอีกครั้ง ครั้งนี้ดูเหมือนสายลมที่เกิดจากพลังฝ่ามือจะรุนแรงกว่าก่อนหน้านี้
“เห็นทีข้าต้องฝึกฝนให้มาก ๆ แล้ว” ดวงตาของเย่เฟิงฉายแววมุ่งมั่น เขารู้ว่าความขยันหมั่นเพียรคือพื้นฐานในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ การฝึกเคล็ดวิชาฝ่ามือภูผาพิฆาตนี้ก็เช่นเดียวกัน หากเขาไม่มีความอดทนมากพอ แล้วจะเอ่ยถึงเื่วิทยายุทธ์ได้เยี่ยงไร?
ครู่ต่อมา เย่เฟิงเพ่งจิตและปลดปล่อยพลังฝ่ามืออย่างต่อเนื่อง ทำให้สายลมพัดโหมขึ้นในห้อง ทั้งยังรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สีท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดลง แต่เย่เฟิงยังคงเรียนรู้ขั้นพื้นฐานของฝ่ามือภูผาพิฆาตกระบวนท่าที่หนึ่ง ด้วยฝ่ามือนี้จะสามารถผ่าหินก้อนใหญ่ได้อย่างง่ายดายและมีพลังที่น่ากลัว แต่พลังประเภทนี้ยังอีกห่างไกลสำหรับเย่เฟิงที่กระตือรือร้นในการยกระดับพลัง
อย่างไรก็ตามเย่เฟิง้าพลังโจมตีที่แข็งแกร่งกว่าฝ่ามือภูผาพิฆาตกระบวนท่าที่หนึ่ง ดังนั้นเย่เฟิงจึงตกอยู่ในภวังค์ เขาคิดว่าตัวเองจะสำแดงพลังโจมตีของแต่ละกระบวนท่าของเคล็ดวิชาฝ่ามือภูผาพิฆาตให้ออกมาทรงพลังได้อย่างไร เย่เฟิงรู้ว่าหาก้าเช่นนี้ การฝึกฝนอย่างหนักเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ สิ่งที่เขาต้องทำคือการปรับแก้เคล็ดวิชาฝ่ามือภูผาพิฆาตนี้ ทำให้มันทรงพลังมากขึ้นกว่าเดิม
“ปรับแก้เคล็ดวิชา!” สำหรับใครหลาย ๆ คนแล้ว นี่เป็ความคิดที่บ้าบิ่น แต่เย่เฟิงกลับคิดต่าง ในยุทธภพไม่มีเคล็ดวิชาใดที่ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ ดังนั้นทักษะเคล็ดวิชาน่าจะมีจุดด่างพร้อย เช่นนั้นเขาจะปรับเปลี่ยนจุดด่างพร้อยนี้ให้กลายเป็ความสมบูรณ์แบบ
“ก่อนหน้านี้ข้าใช้เอกลักษณ์ของหอกในเคล็ดวิชาหอกเงินประกายหลอมรวมกับพลังหมัดธรรมดา ทำให้การโจมตีธรรมดา ๆ สำแดงพลังของเคล็ดวิชาหอกเงินประกายได้ เช่นนั้นข้าจะใช้เจตจำนงหอกหลอมรวมกับฝ่ามือภูผาพิฆาตนี้ได้อีกครั้งหรือไม่?” เย่เฟิงเกิดความคิดหนึ่งที่บ้าบิ่นขึ้นมาในหัว เอกลักษณ์ของหอกหลอมรวมกับฝ่ามือภูผาพิฆาต หากคนอื่นล่วงรู้ความคิดของเขาคงต้องคิดว่าเขาบ้าไปแล้วแน่ ๆ
เมื่อก่อนตอนที่เย่เฟิงใช้เอกลักษณ์ของหอกหลอมรวมกับการโจมตีธรรมดา ๆ พลังของมันก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า ส่วนฝ่ามือภูผาพิฆาตเป็เคล็ดวิชาขั้นเหลือง หากสามารถใช้เอกลักษณ์ของหอกหลอมรวมได้สำเร็จ เช่นนั้นพลังจะต้องไปถึงจุดที่น่าสะพรึงกลัวได้แน่นอน
เย่เฟิงรู้สึกตื่นเต้น ตอนนี้เขาฝึกปรือฝ่ามือภูผาพิฆาตกระบวนท่าที่หนึ่งได้สำเร็จแล้ว จากนั้นเขาจะลองใช้กระบวนท่าที่หนึ่งหลอมรวมกับเอกลักษณ์ของหอก
เย่เฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกลั้นหายใจและเพ่งจิต จากนั้นเคล็ดวิชาฝ่ามือภูผาพิฆาตและเคล็ดวิชาหอกเงินประกายเริ่มโคจรในหัวของเขาเองพร้อมมีเจตจำนงหอกแผ่ออกจากร่างเขา มันค่อย ๆ ทรงพลังขึ้น
เย่เฟิงใช้จิตเทพขับเคลื่อนพลังหอกให้ปีนป่ายไปตามแขนของตัวเอง นาทีต่อมาแขนข้างนั้นเปล่งแสงเรืองรอง ห่อหุ้มไปด้วยพลังหอกมหาศาล ซึ่งพลังที่น่ากลัวเช่นนั้นราวกับหากััวัตถุใดก็สามารถทำลายได้ในพริบตา ขณะเดียวกันด้านพลังหยวนเริ่มกระตุ้นฝ่ามือภูผาพิฆาตกระบวนท่าที่หนึ่ง จากนั้นพลังหยวนปีนป่ายไปตามแขนของเย่เฟิง ค่อย ๆ ผสานกับพลังหอกเ่าั้ทีละนิด พลังที่แตกต่างกันทั้งสองประเภทหลอมรวมเข้าด้วยกัน ห้วงอากาศเกิดการแปรปรวนเล็กน้อย
เวลานี้เย่เฟิงไม่กล้าประมาทแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้พลังยังไม่สำแดง แต่เย่เฟิงรู้ว่าการผสานระหว่างพลังหอกกับฝ่ามือภูผาพิฆาตเป็จุดสำคัญที่สุด หากพลาดแม้แต่จุดเดียว แขนข้างนั้นของเขาอาจถูกสองพลังนั่นทำลาย
หยาดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากของเย่เฟิง ครั้งแรกของการลองหลอมรวม ช่างเป็บททดสอบครั้งใหญ่สำหรับเขาที่อยู่เพียงขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6
เวลาผันผ่าน การผสานระหว่างพลังหอกกับพลังหยวนฝ่ามือภูผาพิฆาตก็เป็ไปตามแผน หลังจากทำเสร็จขั้นตอนอย่างสมบูรณ์ เย่เฟิงก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ
“สำเร็จแล้ว!” เย่เฟิงรู้สึกดีใจ แต่ก็ไม่กล้าประมาท เขาทำจิตให้แน่วแน่ ก่อนะโเสียงดังว่า “ฝ่ามือภูผาพิฆาตกระบวนท่าที่หนึ่ง จงสำแดงฤทธิ์!”
เสียงะเิดังตามมา พลังหอกและพลังหยวนที่เย่เฟิงทำการผสานถูกปลดปล่อย ก่อให้เกิดพลังทำลายล้างที่รุนแรง กลายเป็พลังโจมตีที่น่ากลัวขึ้นหลายเท่า
“ตูม!” เสียงะเิดังสนั่นหวั่นไหว พลังฝ่ามือของเย่เฟิงทำข้าวของภายในห้องพังเสียหาย แต่เมื่อสังเกตดูดี ๆ จะเห็นว่าเศษซากพวกนั้นที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้นห้องมีร่องรอยการตัดด้วยอาวุธแหลมคม เห็นได้ชัดว่านั่นเป็รังสีหอกอันคมกริบ
“ทรงพลังมาก!”
เย่เฟิงเห็นฉากนี้ก็ใจเต้นรัว นี่คือพลังฝ่ามือภูผาพิฆาตที่ผสานกับพลังหอก ซ้ำยังยกระดับพลังฝ่ามือไปมาก
ดูเหมือนว่าเขาจะคิดถูก ทักษะเคล็ดวิชาล้วนเป็สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เขาเย่เฟิงยังไม่สามารถสร้างเคล็ดวิชาได้ตามใจ แต่ปรับแก้เคล็ดวิชาขั้นเหลืองนี้ได้
จากนั้นเย่เฟิงเริ่มลองฝึกฝ่ามือภูผาพิฆาตกระบวนท่าที่สองอย่างไม่ลังเล ซึ่งกระบวนท่าที่หนึ่งแฝงด้วยพลังหอกสำแดงพลังได้กล้าแกร่ง ดังนั้นเย่เฟิงจึงคาดหวังกับกระบวนท่าที่สองนี้
เย่เฟิงใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนจนสามารถใช้พลังกระบวนท่าที่สองขั้นพื้นฐานได้ ซึ่งใช้เวลาฝึกนานกว่ากระบวนท่าที่หนึ่งมาก แต่กระนั้นเย่เฟิงก็ไม่สนใจ
ยิ่งทักษะเคล็ดวิชาถึง่ท้าย ๆ ก็จะยิ่งฝึกยากมากขึ้น แต่นี่ถือว่าเป็เื่ปกติที่พบเห็นได้ทั่วไป
วันต่อมา เย่เฟิงเริ่มฝึกฝนฝ่ามือภูผาพิฆาตกระบวนท่าที่สองครั้งแล้วครั้งเล่า ปล่อยพลังฝ่ามืออย่างต่อเนื่อง แม้จะน่าเบื่อหน่าย แต่เพื่อยกระดับพลังของตัวเองแล้ว เย่เฟิงย่อมอดทนได้
วันที่สอง ในที่สุดเย่เฟิงก็คุ้นชินกับกระบวนท่าที่สองของฝ่ามือภูผาพิฆาต หนำซ้ำพลังของมันยังแข็งแกร่งกว่ากระบวนท่าที่หนึ่งมาก
แสงสาดส่องเข้ามาในห้อง ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาของแสงอาทิตย์ และการฝึกครั้งนี้ก็ใช้เวลาข้ามวันข้ามคืน หลังจากนั้นเย่เฟิงยืดเนื้อยืดตัว ก่อนจะเดินออกจากห้อง เพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ บรรยากาศยามเช้าตรู่สดชื่นเป็พิเศษ เย่เฟิงจำได้ว่าตอนที่อยู่ตระกูลหนานกง เขาชอบการออกกำลังกายที่ลานบ้านในยามเช้า
“เยียนหราน เ้าอยู่ไหม?” ขณะนั้นมีเสียงเรียกดังมาจากด้านนอก เย่เฟิงจึงหันไปมอง ก่อนจะเห็นเงาร่างหนึ่งอยู่นอกประตู คนผู้นี้คือคนรุ่นเยาว์ อายุประมาณ 16-17 ปี สวมชุดจีนโบราณ ดูโดดเด่น และไม่ธรรมดา
“หรือว่าคนผู้นี้จะมาหาผู้หญิงขี้โมโหที่ศิษย์พี่ฉู่พูดถึง?” เยียนหรานที่ชายหนุ่มเรียกเป็ชื่อผู้หญิงชัด ๆ นี่ทำให้เย่เฟิงนึกถึงคำพูดของฉู่หานที่เตือนเขาเมื่อสองวันก่อน
ทว่ากลับเงียบเชียบ ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ ราวกับว่าไม่มีใครอยู่ในนั้น
ชายหนุ่มในชุดจีนโบราณดูเหมือนมีน้ำอดน้ำทนอย่างมาก เขาะโเรียกชื่อผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ จากที่พักนั่น ทำให้ชายหนุ่มในชุดโบราณถึงกับหน้าเปลี่ยนสี และเริ่มหมดความอดทน
“เยียนหราน ออกมาหน่อยจะได้ไหม ข้ารู้ว่าเ้าอยู่ในนั้น หากเ้าไม่ออกมา งั้นข้าก็จะบุกเข้าไป” รออยู่สักพัก ในที่พักก็ยังเงียบกริบ ชายหนุ่มชุดโบราณคนนั้นสูดหายใจเข้าลึกก่อนกล่าวเช่นนั้น แววตาเผยแสงแห่งการรอคอย
แต่ครั้งนี้มีความเคลื่อนไหวภายในที่พัก ประตูพลันถูกเปิดออก ชายหนุ่มในชุดจีนโบราณยิ้มแย้มอย่างดีใจ ก่อนจะเดินเข้าไปในนั้น
เย่เฟิงมองไปที่ลานบ้านข้าง ๆ จากนั้นเห็นหญิงสาวคนหนึ่งในอาภรณ์สีแดงเพลิงเดินออกมาจากบ้าน
หญิงสาวคนนี้อายุประมาณ 15-16 ปี รูปร่างช่างร้อนแรงและดูอวบอิ่ม แต่กลับไม่สูญเสียความอ่อนโยนของผู้หญิง ผิวพรรณขาวนวล จึงเป็เหตุให้บุรุษทั้งหลายอยากพิชิต
เมื่อหญิงสาวคนนั้นปรากฏตัว เย่เฟิงก็อดตะลึงไม่ได้ เพราะถูกเสน่ห์อันเย้ายวนของอีกฝ่ายดึงดูด
ความงามของนาง ความงามอันเฉยชาของหนานกงหลิงซวง และความงามอันบริสุทธิ์ของมู่หว่านเอ๋อร์แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด หากพูดถึงเสน่ห์อันเย้ายวนที่มีต่อบุรุษ หญิงสาวคนนี้ชนะใส ๆ
อย่างไรก็ตามบัดนี้หญิงสาวนามว่าเยียนหรานกลับมีรอยยิ้มเ็า ดวงตาที่มองมายังชายหนุ่มที่สวมชุดจีนโบราณคนนั้นก็ยังเย็นะเื ดูเหมือนไม่อยากต้อนรับอีกฝ่าย
“เฟิงเฉียน เ้ามาทำอะไรที่นี่?” หญิงสาวกล่าวเสียงเย็น พลางเผยสีหน้าเอือมระอา
“เยียนหราน ไม่เจอกันเสียนาน ผู้แซ่เฟิงคิดถึงจึงมาหา ข้าไม่้าสิ่งใด เพียงหวังว่าเยียนหรานเ้าจะไม่หลบหน้าข้า” ชายหนุ่มผู้มีนามว่าเฟิงเฉียนพูดกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ไม่เ็าอย่างหญิงสาว