ย่าหลี่โกรธจัดขึ้นมา “ถึงข้าจะเคยบอกว่าข้าไม่คิดจะว่าอะไรเด็กๆ ก็ตาม แต่เด็กคนนี้ทำให้ข้าโมโหยิ่งนัก!”
“ท่านย่า เด็กนี่ต้องได้รับการสั่งสอนบ้างแล้ว! เอาไว้ไปถึงบ้านใหญ่ข้าจะรายงานเื่นี้กับท่านปู่!” หลินฟู่อินเองก็ไม่พอใจที่ย่าหลี่ถูกหลินเสี่ยวเหอว่าร้ายนัก
“ไม่สิ ข้าเองก็อยู่มานานแล้วนี่นะ” ย่าหลี่ส่ายศีรษะ “ข้าเองก็เป็ไม้ใกล้ฝั่งแล้ว จะยังมาถือสาอะไรกับเด็กแปดเก้าขวบกัน? เ้าไม่ต้องไปโกรธนางหรอก เดี๋ยวข้าไปเอาซาลาเปาให้เ้าใหม่อีกสองลูก”
หลินฟู่อินพยักหน้า นางเองก็ไม่อยากหัวเสียนัก
แต่ในใจก็ยังดูถูกและด่าไม่ยั้ง หลินเสี่ยวเหอเคยบอกว่านางกำลังเรียนมารยาทอยู่ แต่แค่เหตุการณ์นี้ก็เห็นได้แล้วว่าที่เรียนอยู่นั่นมันไร้อนาคต
ก็ดูเอาเสียเถิด
เมื่อรับซาลาเปามาจากย่าหลี่แล้ว นางจึงรีบไปยังบ้านใหญ่สกุลหลินทันที
ระหว่างที่หลินเสี่ยวเหอกำลังเดินอยู่ ปากก็เคี้ยวซาลาเปาไม่หยุด
ในใจนางคิดไปพลาง ว่าจะดีเพียงใดหากนางได้กินซาลาเปาเช่นนี้ทุกวัน
นางหลินฟู่อินนั่นขี้เหนียวนัก นางควรจะส่งซาลาเปามาให้บ้านใหญ่ทุกวันแท้ๆ!
ความไร้ยางอายนี้ถอดแบบมาจากจ้าวซื่อไม่มีผิดเพี้ยน
“เสี่ยวเหอ เ้าได้อาหารดีๆ เช่นนั้นมาจากบ้านฟู่อินหรือ?” เมื่อหลินเสี่ยวเหอกลับถึงบ้าน หลินเสี่ยวเถาก็มาดึงนาง พลางร้องะโโดยที่นิ้วชี้ค้างไปที่คราบบนปาก “นั่นเ้ากินก๋วยเตี๋ยวหรือซาลาเปากัน? มีส่วนของข้าด้วยหรือไม่?”
หลินเสี่ยวเหอเห็นว่าหลินเสี่ยวเถารู้เื่ที่นางกินซาลาเปาแล้วก็ไม่คิดจะปิดบัง จึงกางแขนออกมา “เ้าก็รู้จักนางฟู่อินนั่นดีมิใช่หรือ คิดหรือว่านางนั่นจะยอมให้ข้าเอาซาลาเปามาเผื่อเ้า? ไม่ลองไปขอดูเองเสียล่ะ?”
หากเสี่ยวเถาขอได้สำเร็จ นางก็จะได้ของอร่อย หากไม่สำเร็จ นางก็จะเกลียดหลินฟู่อินมากขึ้นอีก และคงจะยิ่งสร้างปัญหาให้นางมากขึ้นอีก!
สองพี่น้องต่างก็วางแผนต่างๆ ของตนไว้ในใจ พวกนางยังจำได้อยู่หรือไม่นะว่ามารดาของพวกนางยังสลบไสลไม่ได้สติอยู่?
แต่อู๋ซื่อก็ได้ยินเสียงของพวกนาง จึงกล่าวอย่างไม่พอใจ “พวกเ้ายังยืนเฉยกันอยู่อีกหรือ? เหตุใดไม่ไปทำงานเสียบ้าง? ไปซักเสื้อผ้าของปู่กับพ่อของพวกเ้าเสีย! แล้วก็ไปเก็บมะเขือม่วงกับแตงกวาในสวนด้วย เอ้า ไปทำงานกันได้แล้ว!”
หลินเสี่ยวเหอและหลินเสี่ยวเถามองหน้ากัน ก่อนจะแยกย้ายกันไป
“กลับมานี่ก่อน!” ปู่หลินเดินออกมาจากห้องโถงพร้ะโกน “เสี่ยวเหอ เ้าไปเรียกฟู่อินมาแล้วหรือยัง?”
“เรียกแล้ว” หลินเสี่ยวเหอตอบ ปู่หลินจึงโบกมือไล่นางอย่างหมดความอดทน หลินเสี่ยวเหอเห็นเช่นนั้นจึงหันหลังเดินจากไป ปากก็พึมพำ “ข้าต้องไปก้มหัวขอร้องนางฟู่อินนั่นหรือ? จะรักษาแม่ข้าได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้เลยแท้ๆ!”
แล้วหลินต้าหลางจึงเดินออกมาจากด้านหลังของปู่หลิน ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านปู่ หากฟู่อินรักษาแม่ข้าไม่ได้ จะส่งแม่ข้าเข้าไปหาหมอในเมืองหรือไม่?”
อู๋ซื่อได้ยินเข้าก็อารมณ์เสีย นางรู้สึกว่าจ้าวซื่อนั้นไร้ประโยชน์เพราะนางไม่เคยเห็นจ้าวซื่อทำงานอะไรที่บ้านเลย ร่างกายก็อ่อนแอ แล้วยังมาสลบเช่นนี้ จะทำสำออยให้ใครเห็นกัน?
“แม่ของเ้าเนี่ยไม่เคยหยิบจับอะไรเลยนับั้แ่แต่งเข้ามา มีชีวิตสบายเช่นนั้นแต่กลับยังป่วยได้อีก แล้วจะต้องให้เสียเงินเสียทองส่งนางเข้าไปหาหมอในเมืองอีกเนี่ยนะ เหตุใดเ้าไม่จ้างเกวียนเทียมลาเพื่อพานางเข้าเมืองเองเสียล่ะ หือ?”
ยิ่งพูดก็ยิ่งอารมณ์เสีย จนอดที่จะบ่นใส่หลินต้าหลางที่สีหน้าครึ้มลงเรื่อยๆ ไม่ได้
เมื่อปู่หลินเห็นว่านางพูดอะไรไม่รักษาน้ำใจทั้งๆ ที่นางเองก็ยังเป็แม่สามีของจ้าวซื่ออยู่ เขาจึงต้องขัดขึ้นมา “พูดอะไรของเ้ากัน แม่ของหลานเ้านอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง แค่นั้นก็น่ากังวลพอแล้วแท้ๆ แค่ปลอบใจกันบ้างนี่ทำไม่เป็หรืออย่างไร? มาถึงขั้นนี้แล้วไม่ว่าจะเท่าไร ก็มีแต่ต้องพาเข้าเมืองอย่างเดียวแล้ว”
พูดจบจึงหันไปปลอบใจหลินต้าหลาง “ย่าของเ้าเองก็เป็ห่วงเหมือนกัน ไม่ต้องคิดมาก”
สายตาของหลินต้าหลางทอประกายโมโหอยูู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองปู่หลินแล้วกล่าว “ท่านปู่ หากฟู่อินรักษาท่านแม่ไม่ได้ ก็ให้นางพาท่านแม่เข้าเมืองเถอะ ดูนางจะสนิทกับหมอหลี่มากด้วย”
ไม่ทันที่ปู่หลินจะกล่าวอะไร อู๋ซื่อก็รีบวิ่งเข้ามากล่าว “ใช่แล้ว เื่นี้เป็ความรับผิดชอบของนางฟู่อิน นางต้องรับผิดชอบรักษาแม่ของเ้า และไม่ว่าจะรักษาได้หรือต้องพาแม่เ้าเข้าเมืองไปหาหมอหลี่ มันก็ต้องเป็หน้าที่ของนาง!”
ปู่หลินพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่านั่นเป็เพราะเขาตะลึงไปกับความไร้ยางอายของภรรยาตัวเอง หรือเพราะตัวเขาเองที่เผลอคิดไปว่ามันเป็ความคิดที่ดีกันแน่
อย่างไรเสียที่บ้านใหญ่ก็ไม่ได้มีเงินมากนัก หลินต้าหลางเองก็เข้าใกล้่สอบมากขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องเก็บเงินที่ห้ามนำไปใช้ไว้ก้อนหนึ่ง ดังนั้นเมื่อจ้าวซื่อสลบไปเช่นนี้ จะเหลือเงินที่ไหนไปเป็ค่ารักษาให้นางได้อีก?
หลินฟู่อินไม่รู้เลยว่าแม้ตัวนางจะยังมาไม่ถึง แต่ทุกคนในบ้านใหญ่ต่างก็ฝากความหวังไว้ที่นางแล้ว
คนเหล่านี้ผลักภาระเื่จ้าวซื่อไปให้หลินฟู่อินแล้ว
สิ่งที่ทำให้หลินฟู่อินตะลึงที่สุดเมื่อนางมาถึงหน้าประตูบ้านเก่าคือการที่อู๋ซื่อรีบวิ่งออกมาพ่นน้ำลายใส่นางว่านางต้องรับผิดชอบรักษาจ้าวซื่อ
เมื่อได้ยินเช่นนี้หลินฟู่อินจึงโมโหเป็อย่างมาก มันต้องหน้าด้านขนาดไหนกันถึงกล้ามากล่าวอะไรเช่นนี้ได้?
ทุกครั้งที่ได้พบกับคนจากบ้านเก่า ตัวตนของคนพวกนี้ก็ยิ่งต่ำตมลงเรื่อยๆ จริงๆ
นางรู้จักห้องของจ้าวซื่ออยู่แล้ว จึงเมินอู๋ซื่อแล้วเดินตรงไปยังห้องของจ้าวซื่อพร้อมกล่องยาในมือทันที
เมื่อนางจะเคาะประตู หลินต้าซานก็โผล่หน้าออกมา “ฟู่อินนี่เอง เ้ามาพอดีเลย ป้าของเ้าสลบไม่ได้สติมาค่อนข้างนานแล้ว…”
หลินฟู่อินพยักหน้าโดยไร้สีหน้า หลินต้าซานจึงปล่อยให้นางเข้ามาในห้อง
อย่างไรก็เป็สามีภรรยากันมาหลายปี หลินต้าซานมีใบหน้าซีดเซียว สายตาเต็มไปด้วยความกังวล เป็คนสุดท้ายในบ้านนี้แล้วที่ยังเป็ห่วงจ้าวซื่อ
หลินฟู่อินรู้สึกสงสารจ้าวซื่อขึ้นมา
แต่ก็นั่นแหละ กรรมตามสนองแล้ว!
“ท่านป้าใหญ่สลบไปั้แ่เมื่อไร?” หลินฟู่อินถามหลินต้าซาน
“ั้แ่…” หลินต้าซานเอียงคอคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าไปลงไร่ั้แ่เช้า และพอกลับมานางก็สลบไปแล้ว เห็นเสี่ยวเถาบอกว่านางเห็นจ้าวซื่อลุกขึ้นมาเพื่อไปซักผ้าแล้วก็สลบไปเลย…”
หลินฟู่อินคิดตาม เช่นนั้นแล้วก็คงราวๆ หนึ่งชั่วยาม
“ป้าใหญ่ได้ร้องเ็ปอะไรออกมาก่อนสลบไปบ้างหรือไม่? หรือได้บอกว่านางรู้สึกไม่สบายอะไรเช่นนี้?” หลินฟู่อินถามต่อ
แม้หลินต้าซานจะไม่รู้รายละเอียดมากนัก แต่เขาก็ยังเป็ห่วงจ้าวซื่อ เขาจึงจะไปถามหลินเสี่ยวเถาดูเมื่อนางกลับมา
เมื่อเห็นหลินต้าซานเงียบไปโดยไม่ส่งเสียงเป็เวลานาน หลินฟู่อินจึงสูดหายใจเข้าลึก แล้วพ่นออกมา ครอบครัวสินะ…
นางจับมือของจ้าวซื่อขึ้นมา แล้วหันไปหาหลินต้าซาน “ตอนที่ป้าใหญ่สลบไป มีใครอยู่กับนางบ้าง?
“ไม่มีใครเลย ตอนนางสลบนั่นนางอยู่ในห้อง แล้วเสี่ยวเถาก็ได้ยินเสียงนางล้มตอนวิ่งไปเรียกนาง…” หลินต้าซานให้ความร่วมมือเป็อย่างดี แล้วกล่าวไม่หยุด
หลินฟู่อินส่ายหน้าอย่างหมดแรง คำตอบที่เหมือนกับไม่ได้ตอบเช่นนี้ ข้อมูลใช้ไม่ได้เลย
นางจับชีพจรจ้าวซื่อดู
ชีพจร…
หลินฟู่อินเบิกตาขึ้น แล้วเปลี่ยนไปจับมืออีกข้างดูอย่างไม่อยากเชื่อ
เหมือนกัน? เอ๊ะ ใช่หรือ?
นางไม่อยากเชื่อนัก นางจึงเปลี่ยนจากแขนขวาไปซ้าย แขนซ้ายไปขวา หลายต่อหลายครั้ง จนสีหน้ามั่นใจ
“ฟู่อิน เ้ารู้หรือไม่ว่าป้าของเ้าเป็อะไรไป?” หลินต้าซานถามหลินฟู่อินอย่างหวาดหวั่น
เมื่อเห็นหลินฟู่อินมีท่าทีตื่นตะลึง หลินต้าซานจึงกังวลมาก
จ้าวซื่อมิได้เป็อะไรเลย ในบ้านใหญ่มีเด็กอยู่กี่คนกัน แม้จะมีคนที่มีอายุบ้าง และบางคนก็ถูกรับเลี้ยงไปแล้ว แต่ก็ยังมีเด็กสาวอีกสองคน
หลินฟู่อินครุ่นคิด จ้าวซื่อผู้นี้ท้องเก่งนัก อายุมากขนาดนี้แล้วแต่กลับยังท้องอีก
แต่คิดดูแล้วก็คงเรียกได้ว่าปกติ
จ้าวซื่อไม่เคยต้องทำอะไร ไม่มีภาระอะไร ขนาดมีบุตรชายสามคนแล้วก็ยังไร้ความกังวล นางมีความสุขดี
หลินฟู่อินปรายตามองหลินต้าซาน ในใจตั้งคำถามว่าหลินต้าซานจะรู้ตัวหรือไม่ว่าเขาจะมีสมาชิกใหม่เพิ่มอีกในตอนที่เขาวัยเท่านี้แล้วน่ะ?
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” หลินต้าซานหวาดวิตกขึ้นมาเมื่อเห็นหลานสาวมองเขาด้วยท่าทีแปลกประหลาด
จ้าวซื่อป่วยเป็โรคที่รักษาไม่หายหรืออะไรหรือ หัวใจเขาตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“ข้าขอยินดีกับท่านลุง ท่านป้ามิได้ป่วย แต่นางกำลังตั้งครรภ์” หลินฟู่อินตอบอย่างไร้อารมณ์ แต่สีหน้าของหลินต้าซานกลับตกตะลึง จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และฟู่อินก็กล่าวต่อ “ป้าใหญ่มีอายุมากแล้ว และนางไม่รู้ตัวว่านางกำลังตั้งท้อง จนเป็ผลให้เกิดอาการวิงเวียนแล้วสลบขึ้นมา”
หลินต้าซานยังไม่อยากเชื่อ แม้ภรรยาของเขาจะเคยบ่นให้ฟังก็ตามว่าระดูไม่มาหลายเดือนแล้ว
บางทีหลินฟู่อินอาจจะตรวจผิดก็ได้ จ้าวซื่อเองก็ราวสี่สิบแล้ว แต่กลับท้อง นี่เป็เื่ปกติหรือ? นางยังท้องได้อีกหรือ?
เขาถามหลินฟู่อินอย่างไม่อยากเชื่อ “แล้วเหตุใดป้าของเ้าถึงสลบไปนานเช่นนั้นล่ะ?”
พูดถึงเื่นี้แล้ว หลินฟู่อินจึงมองจ้าวซื่ออีกครั้ง
“ตอนแรกนั้นนางแค่วิงเวียน แต่เมื่อถูกพากลับขึ้นเตียงแล้ว นางก็แค่ผล็อยหลับไปอีกครั้งเท่านั้น”
เมื่อเห็นหลินต้าซานมีท่าทีงุนงง นางจึงกล่าวต่อ “ตอนนี้ท่านป้าหลับอยู่ ท่านไม่ต้องกังวล สตรีมีครรภ์ต้องพักผ่อนให้มาก หากนางนอนได้ ก็ให้นางนอนให้เต็มอิ่มเสีย แล้วค่อยปลุกนางตอนมื้อเย็นหรือมื้อเที่ยงเอา”
“นางจะไปท้องได้อย่างไร? ตอนนี้นางอายุเท่าไรแล้วกัน? นางอยู่ในวัยที่ต้องได้อุ้มหลานแล้วนะ!” หลินต้าซานถอนหายใจอย่างผิดหวังเมื่อเห็นว่าหลินฟู่อินค่อนข้างมั่นใจในผลตรวจ แล้วจึงหันไปมองจ้าวซื่อที่กำลังหลับอยู่ “น่าผิดหวังนัก!”
หลินฟู่อินไม่ค่อยพอใจนักที่ได้ยินเช่นนี้
นางมองหลินต้าซานอย่างเ็า คิ้วเลิกขึ้น “ผิดหวังอะไรกัน? เด็กอยู่ในท้องแล้ว และมันก็เป็หน้าที่ของท่านไม่ว่าท่านจะอยากทำหรือไม่ หากไม่อยากเลี้ยงแล้วจะทำกันั้แ่แรกทำไม?”
ด้วยธรรมชาติของงานเดิมของนางแล้ว จึงเลี่ยงไม่ได้ที่นางจะชิงชังเหล่าคนที่มีเด็กแต่ไม่อยากเลี้ยง
หลินต้าซานได้ยินเช่นนั้นใบหน้าจึงแดงก่ำขึ้นมา ก่อนก้มหน้าให้นางเพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร
“ป้าใหญ่ยังแข็งแรงดี ไม่นับเื่ที่นางมีอายุมากขึ้น ตัวเด็กตอนนี้มีอายุสามเดือน สภาพปกติดี ดั้งนั้นแล้วให้ทานผัก ผลไม้ และเนื้อแล่บางๆ มากขึ้น กินจุบจิบได้ไม่มีปัญหา” หลินฟู่อินรีบร่าย “แล้วทานยาบำรุงด้วย”
ริมฝีปากของหลินต้าซานกระตุกไปเมื่อได้ยินคำสุดท้าย เขาอยากให้เด็กนั่นแท้งต่างหาก!
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัว” หลินฟู่อินเก็บของ แล้วจึงเดินออกไปพร้อมกล่องยา
“ต้าซาน ภรรยาเ้าเป็อย่างไรบ้าง?” อู๋ซื่อยื่นหน้าผ่านประตูเข้ามาถาม
ผู้าุโในหมู่บ้านหูลู่นั้นไม่ค่อยเข้าห้องของลูกหลาน ปกติแล้วจึงจะยืนถามอยู่ตรงประตูเช่นนี้
หลินต้าซานอึกอักเพราะไม่อยากตอบคำถามของผู้เป็มารดา แต่อู๋ซื่อก็ยังรอเขาตอบอยู่
หลินต้าซานพูดไม่ออก จึงหันไปมองฟู่อิน “ฟู่อิน บอกย่าของเ้าสิ”
ใช่เื่หรือ นี่เื่ของพวกเ้าเองไม่ใช่หรือไง หลินฟู่อินกล่าวกับตัวเอง
“ท่านลุงเป็คนพูดเองจะดีกว่า อย่างไรเสียมันก็เป็ข่าวดี รายงานกับปู่ย่าเสีย ข้าเองก็ยังไม่ได้กินข้าวเช้า เพราะฉะนั้นข้าจึงต้องรีบกลับแล้ว” หลินฟู่อินกล่าวอย่างลื่นไหลก่อนจะเดินออกไป
นางจะไม่เอาตัวเข้าไปเกี่ยวด้วย ในฐานะผู้เยาว์แล้ว นางจะเป็เพียงหมอให้เท่านั้น
เมื่อเห็นหลินฟู่อินเดินออกไปหลังจากกล่าวเช่นนี้ อู๋ซื่อจึงมองนางอย่างแคลงใจ
ข่าวดีหรือ? คิดจะหลอกใครกัน?
“ต้าซาน ดีดดิ้นอะไรอยู่ ภรรยาเ้าเป็อะไรไปกันแน่?” อู๋ซื่อเริ่มหมดความอดทน
ข้างหลังนางมีปู่หลินและหลินต้าหลางที่ต่างก็ดูหมดความอดทนอยู่ด้วย
พวกเขาต่างก็ไม่สนใจหลินฟู่อินที่กำลังเดินออกไปพร้อมกล่องยา เรียกนางมาแต่เช้าแท้ๆ แต่กลับไม่มีแม้แต่คำขอบคุณ
แต่เพราะนางเองก็ไม่ได้มองคนเหล่านี้เป็คนร่วมสายเืแล้ว ท่าทีเช่นนั้นจึงไม่ได้ทำให้นางเจ็บช้ำเลยแม้แต่น้อย
การมีชีวิตใหม่ถือกำเนิดขึ้นมานี่มันดีจริงๆ ไม่ว่าจะเป็ลูกของใคร แต่หลินฟู่อินที่ได้ตรวจพบทารกก็ยิ้มขึ้นมา แล้วจากไปอย่างเริงร่า
รีบๆ ไปจากที่นี่เสียจะดีที่สุด…
“ต้าซาน แม่เ้าถามถูกแล้ว นางเป็อะไรไปกันแน่?”
ปู่หลินหมดความอดทน คำว่าข่าวดีของหลินฟู่อินทำให้เขากังวลขึ้นมา
แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะได้ยินในสิ่งที่เขากำลังจะได้ยิน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ จ้าว… จ้าวซื่อไม่ได้เป็อะไรเลย นางแค่หลับไปเท่านั้น!”
ได้ยินคำของหลินต้าซานแล้ว สีหน้าของอู๋ซื่อจึงเปลี่ยนไปกลายเป็ความตื่นตะลึง นางลูกสะใภ้จอมี้เีนั่นแค่หลับไปหรือ? อู๋ซื่อกำลังจะอาละวาดขึ้นมาแล้ว แต่ก็ถูกหยุดไว้ด้วยคำพูดถัดมาของหลินต้าซานที่ทำให้นางต้องกลืนความโกรธลงคอไป
“แต่นาง… นางท้อง” หลินต้าซานกล่าวอย่างเอียงอายด้วยน้ำเสียงอันเบา
“อะไรนะ?” อู๋ซื่อะเิเสียงหัวเราะออกมาหลังได้สติ หัวเราะจนน้ำตาไหล ก่อนจะมองบุตรชายของนางแล้วถามออกไป “เ้าว่า? เ้าว่าอะไรนะ? จะบอกว่าภรรยาเ้าเอาอีกแล้วงั้นหรือ? เกือบสี่สิบแล้วแต่กลับท้องอีกอย่างนั้นหรือ?”
ถามได้ดี
หลินต้าซานพยักหน้าอย่างเขินอาย “ฟู่อินกล่าวอย่างนั้น และบอกว่านางท้องได้สามเดือนแล้ว”
อู๋ซื่อยิ้มออกมา การที่บ้านใหญ่มีลูกและหลานมากมายนั้นเป็ข่าวดีสำหรับนาง แม้จะเกิดจากไม้แก่ก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่านางบ้านสองที่ไม่เคยคลอดบุรุษนั่นมากนัก!
“ในเมื่อนางท้องอยู่ เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางนอนต่อไปเถอะ” อู๋ซื่อปล่อยให้จ้าวซื่อนอนต่อ แล้วเหลือบไปมองจ้าวซื่ออีกครั้งก่อนจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใด ไม่เคยรู้เลยว่าคนที่วัยเกือบสี่สิบเองก็ยังท้องได้อยู่
ปู่หลินคิดในใจ หากออกมาเป็ลูกสาวก็ไม่เป็ไร แต่หากเป็ลูกชายนี่คงยุ่งยากแน่
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบเด็กที่จะเกิดจากจ้าวซื่อ แต่เขาไม่อยากกอดหลานชายเพิ่มแล้ว เขาเผลอหันไปมองหลินต้าหลางโดยไม่รู้ตัวเลยว่าสายตาของเขามันเ็านัก
ต้าหลาง ข้าไม่อยากให้มีพี่น้องเช่นเ้าเพิ่มขึ้นมาเลยจริงๆ
“ตาแก่ เป็อะไรไป ครั้งล่าสุดนี่ก็แปดเก้าปีแล้ว ไม่ดีใจหรือที่จะได้กอดหลานอีก?” อู๋ซื่อมองปู่หลินอย่างไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีเ็าของเขา
สิ่งที่นางกล่าวออกมานี้น่าเศร้าอยู่เล็กน้อย เพราะนางลืมเื่เด็กๆ ของบ้านฟู่อินไปเสียสนิท ทั้งๆ ที่ทั้งสองต่างก็เป็หลานร่วมสายเืของนาง ทั้งยังเพิ่งจากกันได้เพียงสองเดือน แต่เหตุใดนางจึงกล้าพูดออกมาว่ามันแปดเก้าปีแล้วกัน?
“ดูแลภรรยาเ้าให้ดีๆ นางเองก็แก่มากแล้ว เด็กอาจมีอันตรายได้” ปู่หลินกล่าว
แล้วอยู่ๆ หลินต้าหลางที่มีความคิดมากมายในใจก็ส่งเสียงขึ้นมา “ท่านปู่ ท่านว่าฟู่อินวินิจฉัยผิดหรือไม่? นางเคยเพียงจ่ายยารักษาอาการป่วยเล็กน้อยเท่านั้น แล้วนางจะไปวินิจฉัยว่าใครท้องไม่ท้องได้อย่างไร?”
“วินิจฉัยผิดหรือ?” ปู่หลินครุ่นคิด ไม่ถึงกับเป็ไปไม่ได้ เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าหลินฟู่อินมีฝีมือแค่ไหน
การที่สตรีจะตั้งท้องนั้นนับเป็เื่ใหญ่ การวินิจฉัยผิดบ้างคงไม่แปลก
“หากแม่ข้าไม่ได้ท้องขึ้นมา เช่นนั้นจะไม่กลายเป็ว่าการวินิจฉัยที่ผิดพลาดของนางทำให้อายุแม่ข้าสั้นลงหรือ?” เมื่อหลินต้าหลางเห็นว่าปู่หลินเริ่มคล้อยตามแล้ว เขาจึงกล่าวต่อทันที
คำพูดนี้เข้ากับความคิดของหลินต้าซานได้ดี เพราะเขาเองก็ไม่อยากเชื่อว่าภรรยาเขาจะมามีลูกเอาในวัยที่ควรจะเป็ฝ่ายอุ้มหลานแล้วเช่นนี้
เขาจึงรีบตามน้ำแล้วกล่าวทันที “ท่านพ่อ ข้าว่าที่ต้าหลางกล่าวมานั้นมีเหตุผล แม้จ้าวซื่อจะเป็คนหลับลึก แต่นางก็ไม่หลับเป็ตายขนาดนั้นแน่ ข้าว่าการพานางไปพบหมอหลี่คงจะเป็การดีกว่ามิใช่หรือ?”
การที่หลินฟู่อินวินิจฉัยผิดนั้นจะเป็การดีมากกว่า
“ใช่ ไปพบหมอหลี่กัน ข้าจะได้สบายใจได้ว่าท่านแม่ปลอดภัยจริงๆ” หลินต้าหลางเห็นด้วยทันที
ในใจเขาก็คิดอยู่ว่าหากหลินฟู่อินวินิจฉัยมาถูกต้องแล้ว การพาคนอายุมากเดินทางเข้าเมืองไปเช่นนี้ก็คงไม่เป็การดีกับเด็กนัก ซึ่งนั่นจะยิ่งดีกับเขา
และหากเด็กดันรอด ก็ค่อยคิดแผนอื่น
ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ไม่มีวันยอมให้บ้านหลินมีสมาชิกบุรุษเพิ่มจนส่วนแบ่งต่างๆ ของเขาลดลงอีกแน่!
หลินต้าหลางนั้นมีหัวด้านการวางแผน พวกคนบ้านหลินจะรับรู้ถึงความคิดอันชั่วช้าของเขาหรือไม่นะ?
ปู่หลินนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ฟังสิ่งที่บุตรและหลานกล่าว แต่เขาก็ยอมฟัง เขาจึงหันไปมองหลินต้าซานแล้วกล่าว “ไปปลุกเมียเ้าดูก่อน ว่านางจะตื่นได้หรือไม่”
หลินต้าซานพยักหน้า แล้วจึงไปปลุกจ้าวซื่อด้วยเสียงอันดังทันที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้