หรงหว่านซีคิดว่าน้ำเสียงฟังดูเกียจคร้านนี้ช่างคล้ายคลึงกับน้ำเสียงของเฉินอ๋องในยามที่ได้พบกันครั้งแรก
“ทูลพระสนมคือขนมกลีบดอกกุหลาบ[1] ที่เฉินหนวี่เตรียมมาเพื่อเหนียงเหนียงเพคะ”หรงหว่านซีเอ่ย “เฉินหนวี่ไม่ทราบว่าเหนียงเหนียงทรงโปรดรสใดจึงทำขนมรสอ่อนมาหลายอย่าง หวังว่าเหนียงเหนียงจะไม่ทรงรังเกียจเพคะ”
พระสนมเอกเงยพระพักตร์ขึ้นเล็กน้อยจิ่นยวี้ผู้เป็นางกำนัลข้างกายจึงรีบเข้าไปรับเอาไว้
“เงยหน้าขึ้นให้เปิ่นกงมองดูสักหน่อย”
หรงหว่านซีขานรับ“เพคะ” นางเงยหน้าขึ้นแต่ยังคงกดสายตาลงต่ำไม่กล้ากระทำการเสียงมารยาทต่อพระสนมเอก
พระสนมเอกมองพิจารณานางครู่หนึ่ง“คือหญิงงามไม่ผิด มิน่าองค์รัชทายาทยังคงโหยหามานานปีถึงเพียงนี้กระทั่งเ้าถูกจับคู่ให้ผู้อื่น เขาก็ยังไม่ยอมแพ้เช่นนี้”
หรงหว่านซีย่อกายถอนสายบัวนางไม่กล้ายอมรับและปฏิเสธ เพียงแต่เอ่ยอย่างสุขุมหนักแน่น“สามปีก่อนไท่จื่อทรงขอหมั้นหมายเฉินหนวี่กับท่านพ่อ เื่นี้เฉินหนวี่ทราบทว่าท่านพ่อได้ทูลปฏิเสธองค์รัชทายาทไปแล้วเพคะเฉินหนวี่เก็บตัวและออกนอกเรือนน้อยหนมาโดยตลอด องค์รัชทายาทคือมกุฎราชกุมารของแคว้นแน่นอนว่าพระองค์ทรงไม่ใส่ใจสตรีผู้ต่ำต้อยนางหนึ่งมานัก หลังจากนั้นเป็ต้นมาเฉินหนวี่กับไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยจึงไม่มีความสัมพันธ์อันใดต่อกันเพคะ”
“เ้ามักเก็บตัวข้อนี้เปิ่นกงเข้าใจดี” พระสนมเอกตรัส“ทว่าไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยทรงใส่พระทัยเ้าหรือไม่ ในราชสำนักและผู้คนทั่วไปมีผู้ใดไม่รู้กันบ้าง?หรงหว่านซี ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยทรงรักมั่นต่อเ้าภายในใจเ้าคงหวั่นไหวบ้างใช่หรือไม่? เพราะอย่างไรก็คือสตรีผู้ใดจะไม่ชอบผู้ที่มีใจรักมั่นยืนยาว?”
น้ำเสียงของพระสนมเอกไม่ช้าไม่เร็วและปราศจากความขุ่นเคือง กลับฟังดูแฝงความเอ็นดูในประโยคหยอกเย้าทว่าหรงหว่านซีไม่กล้าเบาใจ ยังคงย่อเข่าทำความเคารพเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและไม่ดังจนเกินไป “เฉินหนวี่ไม่ขอปิดบังเหนียงเหนียงแท้จริงแล้วเมื่อครั้งเข้าเฝ้าไท่โฮ่วไท่โฮ่วตรัสถึงเื่องค์รัชทายาทกับเฉินหนวี่เช่นกันเพคะ”
“และ...คาดว่าเหนียงเหนียงคงจะทราบเื่บิดาของเฉินหนวี่เฉินหนวี่พึ่งจะรู้ถึงความรู้สึกที่ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยทรงมีต่อเฉินหนวี่เมื่อไม่นานมานี้เพคะอาจเพราะเตี้ยนเซี่ยทรงนึกถึงเฉินหนวี่ขึ้นมากะทันหัน แม้เฉินหนวี่จะรู้แล้วแต่ก็ไม่อาจแสร้งทำว่าไม่รู้โดนสิ้นเชิง เฉินหนวี่คิดมาโดยตลอดว่า หากจิตใจสงบย่อมรู้สึกสงบต่อทุกสรรพสิ่งเพคะ”
พระสนมเอกจ้องมองหรงหว่านซีครู่หนึ่งภายในใจชื่นชมคำที่นางกล่าวว่า ‘หากจิตใจสงบ ย่อมรู้สึกสงบต่อทุกสรรพสิ่ง’ ยิ่งนักเพราะสิ่งนี้ก็คือหลักที่นางยึดถือและปฏิบัติในพระราชวังมานานหลายปีเพียงแต่บางครั้งเื่วุ่นวายบนโลกใบนี้กลับไม่ยอมให้นางได้อยู่อย่างสงบต่อไป
“ดังนั้น...ต่อให้องค์รัชทายาทเสด็จไปยังจวนของเ้า และต่อให้อยู่หน้าห้องนอนของเ้าเ้าก็จะไม่พบอย่างนั้นหรือ?” พระสนมเอกแย้มสรวลและตรัสถามอย่างตรงไปตรงมา
“แม้วันหนึ่งวันใดองค์รัชทายาทเสด็จไปที่จวนและอยากพบเฉินหนวี่เข้าจริงๆแม้ท่านพ่อจะต้องสละชีวิตก็ไม่มีทางให้ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยเสด็จไปถึงหน้าห้องนอนของเฉินหนวี่เพคะ”น้ำเสียงของหรงหว่านซีแ่เบายิ่งนัก ทว่าแฝงด้วยความแน่นอนจนไม่อาจสงสัย
แท้จริงแล้วเดิมทีพระสนมเอกมิใช่ผู้ที่มักบีบบังคับขู่เข็ญผู้อื่นเช่นนี้ทว่ายามนี้ยิ่งหรงหว่านซีรับมือนางได้มากเท่าใดนางก็ยิ่งนึกอยากจะทดสอบลูกสะใภ้ผู้นี้ นี่คือพระชายาเอกของบุตรชายนางแน่นอนว่าจะต้องมีความกล้าหาญมากกว่าสตรีทั่วไปนางอยากจะเห็นความกล้าหาญและความฉลาดของหรงหว่านซียิ่งนัก
“ทว่าเหตุใดเปิ่นกงถึงได้ยินว่าเมื่อสามปีก่อนไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยเสด็จไปที่จวนของเ้าเสียแล้ว?”พระสนมเอกตรัส
“เื่นี้เฉินหนวี่ก็ได้ยินท่านพ่อเล่าให้ฟังแล้วเช่นกันเพคะ”หรงหว่านซีตอบกลับอย่างไม่หวาดหวั่น “เพราะท่านพ่อกำลังล้มป่วยไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยไม่เพียงแต่เสด็จมาเยี่ยมเยียนด้วยพระองค์เองยังทรงพระราชทานโสมคนหนึ่งรากให้กับท่านพ่อ เพราะไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยทรงตรัสว่าพระองค์ทรงพระราชทานโสมคนรากนี้ในนามพระเชษฐาของเฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ยท่านพ่อจึงไม่อาจไม่รับไว้เพคะ”
พระสนมเอกทอดพระเนตรหรงหว่านซีที่ตอบโต้ได้อย่างสุขุมไม่สะทกสะท้านคิดว่านางช่างฉลาดยิ่งนัก เพราะถ้ากล่าวตามความเป็จริงถือว่าจริงใจยิ่งนักในขณะเดียวกันเป็การแสดงออกว่าครอบครัวพวกนางมีใจฝักใฝ่มาทางเฉินอ๋องเพราะองค์รัชทายาทตรัสว่ามอบให้ในฐานะเฉินอ๋องเพราะฉะนั้นจึงเป็การหักล้างคำถามต่อไปที่นางอาจจะถาม
เมื่อได้ยินว่าแม่ทัพหรงรับโสมคนขององค์รัชทายาทหากนางคิดจะกลั่นแกล้งก็คงจะถามออกไปว่า“เห็นทีบิดาของเ้าก็ปฏิบัติดีต่อองค์รัชทายาทไม่น้อย”
คำกล่าวง่ายๆเพียงไม่กี่คำนี้กลับมีผลลัพธ์ดัง สี่ตำลึงปาดพันชั่ง[2]
“เหตุใดจึงบอกว่าฟังบิดาของเ้าบอก?เ้าไม่ได้อยู่ในจวนอย่างนั้นหรือ?” พระสนมเอกตรัสถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เพคะ...”หรงหว่านซีเอ่ย ทันใดนั้นคุกเข่าลงบนพื้น “เฉินหนวี่มีความผิดขอเหนียงเหนียงโปรดทรงอภัย”
“อ้อ?ความผิดอันใดกัน?”
“เฉินหนวี่...เฉินหนวี่คือสตรียังไม่ได้ออกเรือนแต่กลับไปยังสำนักขุนนางสื่อราชสำนักด้วยตนเองถือเป็การสร้างความอับอายให้กับเฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ยเพคะ” หรงหว่านซีเอ่ย
มีคนมาทูลพระสนมเอกแค่เื่ข่าวลือขององค์รัชทายาทและหรงหว่านซีแต่กลับไม่มีผู้ใดทูลเื่สำนักขุนนางสื่อราชสำนักทันทีที่ได้ยินจึงตกตะลึงเล็กน้อย ทว่าพระนามกลับขมวดเพียงพระภมุกางามและตรัสถามอย่างราบเรียบ“เหตุใดจึงไปที่สำนักขุนนางสื่อราชสำนักด้วยตนเอง?”
“เพราะท่านพ่อล้มป่วยเฉินหนวี่ไม่อยากให้ท่านพ่อต้องลำบาก จึงไปด้วยตนเองเพคะ” หรงหว่านซีเอ่ย“ขณะเฉินหนวี่อยู่ที่สำนักขุนนางราชสำนัก ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยถึงเสด็จไปยังจวนของเฉินหนวี่เพคะเฉินหนวี่มัวชักช้าเสียเวลาอยู่ที่สำนักขุนนางสื่อราชสำนักเป็เวลานานนอกจากนั้นยังพาหญิงรับใช้ไปเลือกซื้อเครื่องประดับและอาภรณ์จำนวนหนึ่งจนกระทั่งจวนจะถึงเวลาอาหารค่ำถึงกลับจวนเพคะ”
พระสนมเอกทรงฟังสิ่งที่นางกล่าวและทอดพระเนตรนางพลันรู้ทันทีว่าเหตุใดนางถึงไปยังสำนักขุนนางสื่อราชสำนัก
แม้หรงหว่านซีจะกระทำเื่ใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้แต่ถึงอย่างไรก็เป็การทำเพื่อปกป้องชื่อเสียงของตนและทำไปเพราะมีเหตุผลนอกจากนั้นการที่นางทำเช่นนี้ยังถือว่ารักษาชื่อเสียงของเฉินอ๋องเอาไว้เช่นกัน
พระสนมเอกค่อยๆหยัดพระวรกายลุกขึ้นไปประคองนาง
“เอาเถิดเ้าก็ทำไปเพราะความกตัญญู เื่ในครั้งนี้ เปิ่นกงจะไม่ตำหนิเ้า”พระสนมเอกตรัสพลางจับมือนาง “ทว่าภายหน้าต้องระวังการกระทำและวาจาสักหน่อย”
เมื่อเห็นพระสนมเอกไม่เอ่ยถามเื่เกี่ยวกับองค์รัชทายาทอีกหรงหว่านซีจึงรู้ว่าเื่นี้ผ่านพ้นไปแล้ว
หลังพระสนมเอกตรัสประโยคแสดงความเป็ห่วงและกำชับอีกเล็กน้อยจึงตรัสบอกนางเกี่ยวกับความชอบของเฉินอ๋องครั้นเริ่มรู้สึกเหน็ดเหนื่อยถึงบอกให้นางออกนอกวังหลวง
หรงหว่านซีรับรู้ถึงจิตใจผู้เป็มารดาของพระสนมเอกและรู้สึกเคารพนับถือนางยิ่งนักทว่าความเคารพนี้กลับต้องถูกฝังไว้ภายในใจเท่านั้นเพราะนางไม่อาจปล่อยให้ความเคารพต่อจิตใจเมตตาอารีของมารดานี้ทำให้นางเลอะเลือน
วันนี้นางทำเื่ที่สามารถปกป้องเฉินอ๋องพระสนมเอกถึงปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ หากวันพรุ่งนี้นางทำเื่เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของเฉินอ๋องคงจะแปรเปลี่ยนเป็ภาพบรรยากาศอีกอย่างหนึ่ง
นางทำความเคารพเพื่อทูลลาพระสนมเอกจากนั้นพาชูเซี่ยเดินมุ่งหน้าไปยังประตูวังทางทิศเหนือ
ครั้นมาถึงหน้าประตูและพึ่งจะก้าวเท้าขึ้นรถม้าทันใดนั้นได้ยินเสียงร้องะโมาจากข้างหลัง “หรงหว่านซี...”
เขายกยิ้มพลางวิ่งเข้ามา“เ้าช่างเดินเร็วเสียจริง!เปิ่นหวางคุยกับหมู่เฟยเพียงครู่เดียวเ้าก็มาถึงที่นี่แล้ว”
หรงหว่านซีไม่เอยถามเมื่อได้ยินว่าเขาก็อยู่ในพระตำหนักของพระสนมเอกนางลงจากรถม้า ย่อกายทำความเคารพและเอ่ย “เฉินหนวี่คำนับเตี้ยนเซี่ย...เตี้ยนเซี่ยมีเื่อะไรหรือเพคะ?”
“ข้าไม่ได้ให้รถม้ามารับขอไปกับเ้าก็แล้วกัน” เฉินอ๋องกล่าว
[1]ขนมกลีบดอกกุหลาบ เป็ขนมทำจากแป้งคล้ายตะโก้มีส่วนผสมของกลีบดอกกุหลาบ
[2]สี่ตำลึงปาดพันชั่ง หมายถึงการเงียบเพื่อสยบความเคลื่อนไหวหรือใช้ไม้อ่อนพิชิตไม้แข็ง