อวิ๋นซีได้ยินบิดากล่าวเช่นนั้นก็จดจ้องไปยังบิดา ปากนางขยับ แต่สุดท้ายกลับพูดออกมาเพียงประโยคเดียว “เหมือนว่า บ้านหลังนี้จะไร้พื้นที่ของข้าแล้วกระมัง” อันที่จริงเป็ลูกสาวของนางต่างหากที่พูดขึ้นมาก่อนว่า จะให้น้องชายของตนสวมกระโปรงลายดอก สวมมงกุฎดอกไม้ ส่วนตัวนางก็แค่พูดจาเออออไปสองสามประโยค
นี่ ทำไมกลายเป็ความผิดของนางไปได้ล่ะ นางมองไปยังจ้าวลี่เจียด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจเล็กน้อย “ท่านแม่...”
จ้าวลี่เจียทำเป็ไม่ได้ยิน กำลังสนทนาอยู่กับฉางรุ่ย
อวิ๋นซีเหงื่อตก ตอนนี้นางถูกรังเกียจเสียแล้ว ทั้งยังเป็การถูกรังเกียจอย่างหมดจดอีกด้วย
หวานหว่านเห็นท่าทางของมารดา ก็หลบไปแอบขำอยู่อีกด้าน ดูสิครั้งหน้าท่านแม่จะยังกล้าแอบหนีไปยังที่ที่อันตรายเช่นนั้นเพียงคนเดียวอีกหรือไม่ หากคนจะเข้าไป อย่างน้อยๆ ก็ต้องพานางไปด้วย นางคิด ข้ารู้เื่มากกว่าเยว่หัวตั้งเยอะ ครั้งนี้ที่ไม่ได้ไปก็ถือเสียว่าการกลั่นแกล้งนี้เป็เพียงบทลงโทษเล็กๆ และหากมีครั้งหน้าอีก ข้าจะไม่สนใจท่านแม่อีกแล้ว
อวิ๋นซีหยอกล้อกับลูกชายอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมองลูกสาวที่ยามนี้ในดวงตาแฝงแววหาเื่ นางเบะปาก จากนั้นก็หายตัวไปด้วยความรู้สึกเศร้าระคนน้อยใจ เมื่อนางกลับไปถึงห้องนอน ก็เดินเข้าไปกอดคอจวินเหยียน พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ลูกสาวท่านรังเกียจข้า...”
จวินเหยียนเห็นนางน้อยอกน้อยใจถึงเพียงนี้ ก็หัวเระาฮ่าฮ่าออกมา “พวกเ้าสองแม่ลูกช่างน่าสนใจจริงๆ วันๆ เอาแต่หาเื่ทะเลาะกันไม่หยุดหย่อน เอาละ อย่าโกรธอีกเลย แม้นางจะรังเกียจเ้า แต่สามีไม่รังเกียจเ้า แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
“นางเป็ลูกสาวข้า...” อวิ๋นซีเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาของเขา นางกัดฟันพูด “ตอนนั้นเพื่อจะคลอดนางออกมา ข้าต้องลำบากเพียงใด ตอนนี้พอโตขึ้นหน่อย นางกลับมีใจคิดรังแกข้า สามี จิตใจข้าเ็ปยิ่งนัก”
จวินเหยียนถูกคำว่า สามี ของนาง ทำให้หัวใจแข็งแกร่งรับรู้ได้ถึงรสหวานล้ำ “นางคงโกรธเ้าเข้าแล้วน่ะสิ ในใจท่านพ่อท่านแม่เองก็คงจะขุ่นเคืองเ้าอยู่เช่นกัน ตอนนั้น แม้เ้าจะเกลี้ยกล่อมท่านพ่อตาให้ยินยอมปล่อยเ้าไปยังเขตโรคระบาด แต่สีหน้าไม่ยินยอมของเขา...เ้าลืมไปแล้วหรือ”
อวิ๋นซีนึกถึงวันนั้นที่ตนดื้อดึงจะไปเขตโรคระบาดให้ได้ ถึงแม้ตอนหลังบิดาอวิ๋นจะตอบตกลง แต่สีหน้าคนกลับไม่น่ามองยิ่ง คิดถึงตรงนี้ นางก็ถอนใจเบาๆ พูดว่า “ข้ารู้แล้ว คงต้องค่อยๆ ปลอบ ค่อยๆ โอ๋พวกเขา”
จวินเหยียนกอดนาง ใช้ศีรษะชนเข้ากับศีรษะนาง พูดอย่างช้าๆ “อาซี เจิ้นหนานอ๋องล้มป่วยแล้ว”
อวิ๋นซีอึ้งไป เป็นานถึงได้เอ่ยถาม “บิดาข้าทราบแล้วหรือยัง? ”
“ทราบแล้ว แต่เป็มารดาเ้าที่ไปตรวจดูอาการให้เจิ้นหนานอ๋อง ได้ยินมาว่า ในอดีต ตอนอยู่ในสนามรบเขาได้รับาเ็ถึงภายใน และครั้งนี้ก็เป็เพราะเื่ของจางเหวินเหมยกับชิวเสียง คนถึงได้โกรธจนสำรอกเื มารดาเ้าบอกว่า หากรักษาตัวให้ดี ก็ยังอยู่ได้อีกสักหลายปี แต่หากยังห่วงกังวลกับเื่มากมายอย่างไม่กลัวตายต่อไป ชีวิตคนคงเหลือไม่ถึงหนึ่งปีแล้ว”
อวิ๋นซีได้ฟังก็อึ้งไป นางไม่รู้เลยว่าตนจากไปแค่ระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสองเดือน แต่ในเมืองหลวงกลับเกิดเื่ขึ้นมากมายเพียงนี้ เดิมทีนางคิดว่า ยามที่กลับมาจากเขตโรคระบาด ครอบครัวเจิ้นหนานอ๋องก็คงจะไปจากเมืองหลวง กลับไปยังชายแดนใต้ถิ่นฐานของพวกเขา มิคาดจนถึงทุกวันนี้พวกเขาจะยังอยู่ที่นี่ ขณะที่สุขภาพของเจิ้นหนานอ๋องก็ย่ำแย่ลง
“แล้วพวกจางเหวินเหมยเล่า รู้แล้วหรือ? ” อวิ๋นซีถาม หากจางเหวินเหมยรู้ คนคงไม่มีทางยอมเลิกราง่ายๆ แน่ อย่างไรเสีย นับแต่ครั้งแรกที่ได้เจอพวกเขา นางก็รู้แล้วว่า คนเหล่านี้ล้วนปรารถนาตำแหน่งเจิ้นหนานอ๋อง มิเช่นนั้นจางเหวินเหมยคงไม่ทำให้บิดาอวิ๋นของนางต้องขายหน้าอยู่กลางถนนเช่นนั้น
จวินเหยียนอืมเบาๆ ไปเสียงหนึ่ง “ตอนที่เ้าอยู่ในเขตโรคระบาด พวกเขาก็เริ่มลงมือกันแล้ว เพียงแต่ มาเท่าไร ก็หายไปเท่านั้น” เมื่อต้องนึกถึงพวกนักฆ่าที่คิดจะแฝงตัวเข้ามาสังหารลูกชายลูกสาวของเขา สายตาของจวินเหยียนก็เต็มไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า
ทว่าอย่างไรคนพวกนั้นที่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้จวนอ๋อง ก็ถูกคนของเขาสังหารเกลี้ยง ยิ่งกว่านั้น พวกที่ไม่กลัวตายอีกกลุ่มก็ได้เข้าไปในเขตโรคระบาดด้วยหมายจะลงมือกับอวิ๋นซี แต่กลับถูกเขาจัดการคาที่ไปแล้วเช่นกัน
แม้เขาจะไม่พูด แต่อวิ๋นซีก็พอคาดเดาได้ ่ที่นางอยู่ในเขตโรคระบาด ในเมืองหลวงแห่งนี้คงจะไม่สงบนัก ซึ่งตอนนั้นตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าตนต้องพบเจออันตรายสักเพียงไรเช่นกัน เพราะคนที่แฝงกายอยู่รอบตัวนางช่วยจัดการไปหมดแล้ว
“ไปเถอะ แต่งตัวสักหน่อย ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ มิเช่นนั้นคงไม่มีทางได้รู้ว่า เ้าแก่นั่นจะสร้างเื่อะไรขึ้นมาอีก” อวิ๋นซีแค่นเสียงเ็าจ้องมองเขา นางเม้มปาก “เยว่หัวเองก็กลับมาถึงแล้ว ข้าจะให้คนไปช่วยนางแต่งตัว อีกเดี๋ยวจะพานางเข้าวังไปขอบพระทัยฮ่องเต้พร้อมกัน”
“แต่งตั้งเยว่หัวเป็เสี้ยนจู่? ” จวินเหยียนมองไปยังนาง เอ่ยถาม “จะรับไว้เช่นนี้เลยหรือ? ”
“ทำไมจะไม่รับเล่า? หากเป็ไปได้ ครั้งหน้าข้าก็อยากจะให้เหม่ยหัวน้อยของพวกเราได้ตำแหน่งเสี้ยนจู่ไว้บ้างก็คงจะดี อย่างไรเสีย เสด็จพ่อท่านก็ส่งมาตรงหน้าเราเอง หากไม่รับก็เสียของเปล่า ส่วนเงินทองอะไรนั่น ข้าว่าเขาให้น้อยเกินไปหน่อย” อวิ๋นซีแค่นเสียงเ็า เดินออกไปนอกห้อง
จวินเหยียนได้แต่มองเงาหลังของภรรยา เขายิ้มอย่างปลงๆ
……...........................................................................................
บนรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าเข้าวัง จู่ๆ อวิ๋นซีก็นึกถึงเื่ที่จวินเหยียนพูดเกี่ยวกับเจิ้นหนานอ๋อง หากยังเหน็ดเหนื่อยต่อไป คนก็อาจอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี...ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เจิ้นหนานอ๋องเฝ้าปกป้องชายแดนใต้ที่นับเป็จุดเฝ้าระวังที่สำคัญมากแห่งหนึ่งของหนานเย่า ั้แ่ก่อตั้งแคว้นขึ้นมา ชายแดนใต้ก็ได้คนตระกูลจางปกปักรักษามาโดยตลอด
อีกทั้ง คนตระกูลจางสามารถเรียกได้ว่า เป็ดาวอัปมงคลสำหรับพวกนอกด่านเ่าั้ ทว่า กองทหารตระกูลจางที่ทำหน้าที่ปกป้องชายแดนใต้ล้วนภักดีเพียงคนตระกูลจาง หากเจิ้นหนานอ๋องไม่อยู่แล้วจริงๆ และไม่อาจหาคนตระกูลจางที่จะทำให้กองทหารตระกูลจางยอมศิโรราบได้ เกรงว่าชายแดนใต้คงต้องวุ่นวายแน่
ศึกนอกมีพวกหนานหมาน [1] จับจ้องอยู่ ศึกในก็มีหลินหรงเว่ยและภรรยาที่จ้องอยากจะได้ตำแหน่งเจิ้นหนานอ๋อง
หลินหรงเว่ย...
เมื่อนึกถึงคนผู้นี้ทีไร ในสมองของอวิ๋นซีก็คล้ายจะมีอะไรบางอย่างวาบผ่านเข้ามา ทว่า มันรวดเร็วมากจนนางจับไว้ไม่ทัน เป็เหตุให้นางได้แต่ต้องขมวดคิ้ว แม้จะขบคิดลึกซึ้งอยู่เป็นาน แต่ทำอย่างไรก็คิดไม่ออกอยู่ดีว่าความคิดที่แวบผ่านเพียงชั่วครู่นั้นเป็เื่อันใด และมีเพียงความรู้สึกที่ตอกย้ำกับนางว่า ตัวนางเองละเลยเบาะแสสำคัญบางอย่างไป
เยว่หัวมองอาจารย์ที่กำลังจมดิ่งอยู่กับความคิด มือทั้งสองข้างจับกันแน่น สังเกตเพียงผิวเผินนางก็รู้ได้ว่า อาจารย์มีเื่มากมายให้ต้องคิด ในใจก็อดไม่ได้ให้แค้นตัวเองที่เหตุใดตนจึงไม่เร่งรีบเติบโต ไม่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระอาจารย์ได้
อวิ๋นซีรับรู้ได้ถึงสายตาที่เยว่หัวกำลังจดจ้องตน นางยิ้มบางๆ มองตอบเยว่หัว ก่อนจะเอ่ยถาม “ประหม่าหรือไม่? ”
เมื่อเยว่หัวได้ยินคำถามนั้น ก็รู้ว่าอาจารย์กำลังถามนางว่า วันนี้ที่จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวังหลวง นางรู้สึกประหม่าหรือไม่ เยว่หัวรีบส่ายศีรษะ “มีอาจารย์อยู่ เยว่หัวไม่กังวลและไม่ประหม่า” ก็เหมือนกับตอนที่นางตัดสินใจเข้าไปในเขตโรคระบาด ขอแค่มีอาจารย์อยู่ นางก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อได้อยู่ข้างกายอาจารย์ ความรู้สึกของนางก็เหมือนกับตอนที่ได้อยู่กับน้องหญิงตน ในใจรู้สึกวางใจ
อวิ๋นซีมองเด็กตรงหน้าด้วยสายตารักใคร่สงสาร นางพูดเสียงเบา “เด็กดี”
เยว่หัวหน้าแดงเล็กน้อย สำหรับคำชมของอาจารย์ ถึงกระนั้นความรู้สึกในใจกลับดีใจเหลือคณานับ
จวินเหยียนที่ขี่ม้าอยู่ด้านนอกได้ยินบทสนทนาของภรรยาและเยว่หัว มุมปากเขาโค้งขึ้นน้อยๆ ภรรยาของตนใส่ใจลูกศิษย์ตัวน้อยคนนี้มาก แต่เมื่อนึกถึงเยว่หัวขึ้นมา เขาก็นึกไปถึงข่าวที่ตนได้รับก่อนจะเข้าวัง
ข่าวที่ว่ามาจากทางหานโจว เนื้อความเล่าถึงเื่ที่จางอู่ได้รับเงินจากอาซี หลังจากนั้นก็ติดพนันจนตอนนี้ข้าวของในบ้านล้วนถูกนำไปขายหมดแล้ว ซ้ำร้ายคนยังมีความคิดที่จะขายลูกชายตัวเอง ด้วยเื่นี้ จวินเหยียนกำลังลังเลอยู่ว่าควรจะบอกอาซีดีหรือไม่
สำหรับความเห็นของเขา ในตอนนั้นไม่ควรช่วยจางอู่เลยจริงๆ ตอนนี้เป็อย่างไรเล่า คนนั้นมักจะละโมบ ไม่รู้จักพอ เขาจึงหวังเพียงว่า การตัดสินใจรับศิษย์ของภรรยาจะถือเป็ความคิดที่ถูกต้อง
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] หนานหมาน(南蛮)หนาน แปลว่า ทิศใต้ ส่วนคำว่า หมาน เป็คำที่ชาวจีนโบราณใช้เรียกบรรดาชนกลุ่มน้อยต่างๆ ที่อาศัยอยู่นอกด่าน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้