หนิงเซียง หลันเซียง และเทพธิดาเทียนเซียงหลินคนอื่น ๆ มาถึงค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติที่อยู่อีกฟากหนึ่งของป่าไผ่แล้ว
“เหล่าอัจฉริยะที่บุกด่านเทียนเซียงหลินในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าผู้ใดจะออกจากป่าไผ่เป็คนแรก?” เทพธิดาผู้หนึ่งกล่าวด้วยความสงสัย
“แน่นอนว่าต้องเป็คุณชายซวนหยวน เขาคือศิษย์สายตรงแห่งสำนักซวนหยวน ทั้งมากพร์และพลังต่อสู้ไร้เทียมทาน เป็อัจฉริยะอันดับหนึ่งในบรรดาผู้บุกด่านทั้งหมด ไม่มีผู้ใดทัดเทียมเขาอีกแล้ว” เทพธิดาอีกคนกล่าวขึ้น เทพธิดาคนอื่นเองต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ คุณชายซวนหยวนโดดเด่นที่สุด ผู้ใดจะทัดเทียมได้เล่า? ถึงเวลานั้นคุณชายซวนหยวนต้องพาศิษย์พี่หนิงเซียงไปได้แน่นอน”
หญิงสาวเทียนเซียงหลินผู้หนึ่งกล่าวกับหนิงเซียง ทำให้หนิงเซียงถึงกับหน้าแดงเล็กน้อย เมื่อหนิงเซียงได้ยินทุกคนชื่นชมซวนหยวนจวิ้นก็รู้สึกสบายใจ และอาจเป็เหตุที่ซวนหยวนจวิ้นมาเพื่อนาง
“คนนั้นที่จะพาศิษย์น้องหลันเซียงไปก็งั้น ๆ แหละ อยู่แค่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ยังกล้ามาที่นี่ เขาไม่กลัวขายหน้าหรือ?” หญิงสาวผู้หนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ หนิงเซียงกล่าว ก่อนหน้านี้พวกนางเห็นหลันเซียงอยู่กับเย่เฟิง แต่ตบะของเย่เฟิงกลับต่ำต้อยที่สุดในบรรดาผู้บุกด่าน จึงโดนหลาย ๆ คนดูถูก
“ศิษย์พี่ไยกล่าวเช่นนี้เล่า? เย่เฟิงไม่อ่อนแออย่างที่พวกท่านคิดหรอก”
หลันเซียงได้ยินคำเยาะเย้ยของหญิงผู้นั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย และกล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“อยู่แค่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 จะแข็งแกร่งได้อย่างไรกัน? ศิษย์น้องหลันเซียงอย่าหลอกตัวเองเลย การที่ศิษย์พี่พูดเช่นนี้กับเ้า นั่นเพราะไม่อยากให้เ้าเสียใจทีหลังและต้องเสียตัวให้คนผู้นี้!”
หญิงผู้นั้นได้ยินหลันเซียงแก้ต่างก็กล่าวเช่นนั้นพลางแสยะยิ้ม และพูดจาด้วยท่าทีไม่เกรงใจ
นับั้แ่ชิงเซียงและหลันเซียงชิงผลึกเจตจำนงแรกเริ่มที่อาณาจักรจ้าวล้มเหลว และชิงเซียงถูกคุมตัว ฐานะของหลันเซียงในเทียนเซียงหลินก็ตกต่ำลงมาก จนหลาย ๆ คนเริ่มโจมตีหลันเซียงด้วยวาจา
“ท่าน...”
หลันเซียงได้ยินคำพูดของหญิงผู้นั้นก็หน้าซีด นางไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด อีกฝ่ายถึงกับด่าทอนางเช่นนี้ นางค่อนข้างรู้จักเย่เฟิง ทั้งยังรู้สึกดีและชื่นชมอีกฝ่าย แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนไม่ได้เป็อย่างที่หญิงผู้นั้นกล่าวเลยสักนิด
“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเชื่อว่าศิษย์น้องหลันเซียงคิดดีแล้ว ถึงได้ถูกใจผู้ที่มีตบะต่ำกว่าตัวเองเช่นนี้”
หญิงสาวผู้หนึ่งกล่าวเพื่อกู้หน้าให้หลันเซียง ทว่าคำพูดจากลับพูดถึงเย่เฟิงในแง่ลบ คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย ซึ่งคิดว่าหลันเซียงคิดดีแล้วที่เลือกเช่นนั้น
หลันเซียงกะพริบตาปริบ ๆ จากนั้นมองป่าไผ่ไม่ละสายตา นางไม่อยากเถียงกับคนเหล่านี้ นางเพียงหวังว่าเย่เฟิงจะฝ่าด่านได้สำเร็จ
“ดูเหมือนจะมีคนออกมาแล้ว!”
ขณะนั้นพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน ทำให้หลาย ๆ คนหันไปมองทางด้านนั้น ก่อนจะเห็นเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวที่ชายป่าไผ่ เสื้อผ้าสีขาวสะอาดสะอ้านดูสง่าผ่าเผย แต่เมื่อเหล่าเทพธิดาเทียนเซียงหลินเห็นโฉมหน้าของคนผู้นั้นชัด ๆ ต่างก็ตาแข็งทื่อ
“ได้ยังไง? เป็แบบนี้ไปได้ยังไง? เหตุใดคนแรกที่ออกจากป่าไผ่ถึงเป็เขา?”
พวกนางมองเงาร่างหล่อเหลาที่ปรากฏตัวในสายตาต่างก็พากันตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าคนแรกที่ออกจากป่าไผ่ได้ จะเป็ชายหนุ่มผู้ที่พวกนางดูแคลนมาตลอด
เมื่อหลันเซียงเห็นเย่เฟิงออกจากป่าไผ่เป็คนแรกก็ดีใจอย่างมาก นางดูไม่ผิดจริง ๆ เย่เฟิงยังคงโดดเด่นเช่นเคย ไม่ว่าศักยภาพด้านไหนก็ล้วนเฉิดฉาย นี่ทำให้หลันเซียงยิ้มกว้างราวกับบุปผาเบ่งบานก็ไม่ปาน
“เป็เขาไปได้ยังไง? เช่นนั้นซวนหยวนจวิ้นล่ะ?”
หนิงเซียงที่อยู่ใกล้ ๆ เห็นฉากนี้ก็ใเช่นกัน นางไม่คิดว่าคนแรกที่ออกจากป่าไผ่จะเป็เย่เฟิง ชายไร้นามที่โดนดูแคลนมาตลอด แต่ซวนหยวนจวิ้นที่นางสนใจกลับไม่ได้ออกมาเป็คนแรก
“ค่ายกลลวงตาในป่าไผ่ลึกลับมาก ข้าไม่รู้ว่าทำไมคนคนนี้ถึงออกมาได้เร็วขนาดนี้?” หญิงสาวเทียนเซียงหลินผู้หนึ่งกล่าวขณะมองเย่เฟิง
“ข้าก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าคนคนนี้ดวงดีหรืออะไร แม้แต่อัจฉริยะอย่างซวนหยวนจวิ้นก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” อีกคนกล่าวเสริม แม้แต่พวกนางก็ไม่คาดคิดว่าคนแรกที่ออกจากป่าไผ่จะเป็เย่เฟิง
สิ่งที่ค่ายกลปริศนาป่าไผ่ทดสอบคือพลัง สติปัญญา พลังจิต และศักยภาพของผู้บุกด่านว่าสามารถออกจากป่าไผ่ได้เร็วแค่ไหน ซึ่งนี่จะพิสูจน์ว่าคนนั้นแข็งแกร่งเพียงใด ดังนั้นการที่เย่เฟิงออกจากป่าไผ่เป็คนแรก ถือเป็การพิสูจน์ให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมของเขา
เย่เฟิงไม่สนใจเหล่าหญิงสาวเทียนเซียงหลิน กระทั่งไม่เหลียวแลอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเทียนเซียงหลินอย่างหนิงเซียง แต่กลับเดินไปหาหลันเซียงพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ “ทำให้เ้าเป็ห่วงแล้ว”
“ไม่เป็ไร เ้าออกมาอย่างปลอดภัยก็พอแล้ว” หลันเซียงกล่าวตอบพร้อมระบายยิ้มแห่งความสุข และมีน้ำตาเอ่อคลอ
“ศิษย์พี่ คนเขากำลังพูดจาหวาน ๆ อยู่นั่น!” หญิงสาวผู้หนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ หนิงเซียงกล่าวขึ้น
“พวกเราจะสนใจไปไยเล่า?”
หนิงเซียงได้ยินเช่นนั้นก็เหลือบมองเย่เฟิงและหลันเซียง ก่อนกล่าวเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงเ็า อาจเป็เพราะเย่เฟิงโดดเด่นกว่าซวนหยวนจวิ้นในด่านแรก คำพูดคำจาของนางจึงแฝงด้วยความดูถูก
แต่เมื่อเย่เฟิงและหลันเซียงได้ยินเช่นนั้น หลันเซียงพลันเผยสีหน้าเย็นเยียบ คล้ายไม่พอใจ แต่หลันเซียงกลับไม่พูดอะไร หนิงเซียงคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเทียนเซียงหลิน นางจึงพยายามอดกลั้นไม่ไปยั่วยุนาง
ส่วนเย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย และเหลือบมองหนิงเซียงด้วยสายตาเย็นเยือก ก่อนจะละสายตาไปทันที พร้อมกล่าวกับหลันเซียงว่า “อย่าไปสนใจเลย หลันเซียง พวกเราไปทางนั้นกันเถอะ”
“อืม” หลันเซียงพยักหน้า จากนั้นทั้งสองคนเดินไปหาที่สงบ ๆ
“ก็แค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 จะมีอะไรดีเด่น? ศิษย์พี่ พวกเราอย่าไปสนใจพวกเขาเลย ข้าก็อยากดูว่าเขาจะผ่านอีกสองด่านได้อย่างไร” หญิงผู้นั้นกล่าวเมื่อเห็นพวกเย่เฟิงเดินออกไป
ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายเย็นเยือก แต่ก็ไม่สนใจ เขาจูงมือหลันเซียงเดินไปยังที่สงบเงียบ ซึ่งความเร็วของเขาในการผ่านป่าไผ่เร็วกว่าคนอื่น ๆ ถึงสองวัน จึงไม่จำเป็ต้องพล่ามไร้สาระกับคนเหล่านี้ ทว่าวินาทีที่เย่เฟิงจับมือหลันเซียง หลันเซียงก็ตัวสั่นสะท้านราวกับถูกไฟฟ้าช็อต จึงขัดขืนเล็กน้อย แต่ฝ่ามือใหญ่ของเย่เฟิงกุมมือนางไว้แน่นไม่ปล่อย หลันเซียงจึงปล่อยให้เย่เฟิงจับมือตน
ฉากนี้ทำให้หนิงเซียงและเหล่าเทพธิดาเทียนเซียงหลินถึงกับอึ้งงัน พวกนางต่างเผยสีหน้าคลุมเครือ ก่อนจะได้ยินหญิงผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า “หลันเซียงรักคนนั้นตามคาด แต่น่าเสียดาย เขาผ่านสองด่านสุดท้ายไม่ได้แน่”
หลาย ๆ คนต่างก็คิดเช่นนี้ หนึ่งวันต่อมาไม่มีผู้ใดออกจากป่าไผ่ ราวกับว่ามีเพียงเย่เฟิงคนเดียวที่ผ่านด่านแรก
นี่ทำให้เหล่าเทพธิดาเทียนเซียงหลินที่อยู่บริเวณชายป่าไผ่ต่างรู้สึกเหนือความคาดหมาย พวกซวนหยวนจวิ้นล้วนเป็อัจฉริยะมากความสามารถ แต่พวกเขากลับไร้ความเคลื่อนไหวใด ๆ ต่างจากเย่เฟิงใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ เท่านั้น หนึ่งวันต่อจากนั้นก็เป็เช่นนี้ ป่าไผ่เงียบสงบไร้ซึ่งวี่แววมนุษย์ จนกระทั่งถึงเวลาเที่ยงตรงของวันที่สาม จึงมีเงาร่างหนึ่งเดินออกจากป่าไผ่อย่างเชื่องช้า
เงาร่างนี้เนื้อตัวมอมแมม ตามตัวยังเต็มไปด้วยาแน้อยใหญ่ ผมเผ้าก็กระเซอะกระเซิง คนผู้นี้ก็คือซวนหยวนจวิ้น
ซวนหยวนจวิ้นออกจากป่าไผ่เป็คนที่สอง ทั้งยังใช้เวลาสามวันเต็มซึ่งช้ากว่าเย่เฟิง เขาเจออันตรายรอบด้านในป่าไผ่จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ในที่สุดก็ออกจากป่าไผ่สำเร็จ
อย่างไรก็ตามซวนหยวนจวิ้นคิดว่าตัวเองเร็วที่สุด และน่าจะทิ้งทุกคนไว้เื้ั สีหน้าของเขาในเวลานี้จึงดูเย่อหยิ่ง เมื่อเห็นหนิงเซียงก็ยังยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินไปหานาง พร้อมสายตาของทุกคนจับจ้องมาที่เขา เพียงแต่สายตานั้นกลับฉายแววแปลก ๆ ซึ่งซวนหยวนจวิ้นไม่ได้สังเกตเห็น เขาคิดว่าสายตาเ่าั้มองเขาด้วยความเลื่อมใสศรัทธา เขาจึงชอบความรู้สึกนี้ที่ถูกผู้คนยกย่องสรรเสริญ
หนิงเซียงมองซวนหยวนจวิ้นด้วยสายตาสับสน นางอยากพูดบางอย่าง แต่กลับได้ยินซวนหยวนจวิ้นพูดขึ้นว่า “ให้เทพธิดาหนิงเซียงรอนานแล้ว เทียบกับคนพวกนี้ช่างไร้สาระมาก ที่หนึ่งของสองด่านสุดท้ายต้องเป็ของข้าซวนหยวนจวิ้นผู้นี้”
ซวนหยวนจวิ้นกล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
แต่เมื่อเขาพูดเช่นนี้ออกไป เขากลับเห็นสายตาชอบกลหลายคู่มองมาที่เขา
บรรยากาศพลันเงียบเชียบ ทุกคนต่างมองซวนหยวนจวิ้นด้วยสายตาแปลก ๆ นี่ทำให้ซวนหยวนจวิ้นรู้สึกไม่ชอบมาพากล
