“หลานเฟยเหนียงเหนียง?” หลงจู๊ประหลาดใจอย่างยิ่ง
เฟิ่งเฉี่ยนพยักหน้า “ข้าเป็นางกำนัลคนสนิทของหลานเฟยเหนียงเหนียง หลานเฟยเหนียงเหนียงกำชับมาเป็พิเศษ นางเป็องค์หญิงแห่งแคว้นหนานเยียน ราษฎรของบ้านเกิดนางเดือดร้อน นางจำเป็ต้องก้าวออกมา! ทว่าด้วยฐานะของนางไม่สะดวกที่จะออกหน้าด้วยตนเอง ดังนั้นจึงได้แต่ส่งข้ามาแก้ไขปัญหานี้! หากทองคำหนึ่งพันตำลึงไม่พอ เ้าเข้าวังไปหานางได้ สำหรับเื่เงินที่ต้องใช้ในการบรรเทาสาธารณภัย นางจะเป็ผู้รับผิดชอบทั้งหมด!”
หลงจู๊ได้ยินเช่นนั้นจึงวางใจได้ในที่สุด ความระแวงสงสัยในใจต่างถูกปัดเป่าจนหมดสิ้น
หลานเฟยเหนียงเหนียงเดิมทีก็คือองค์หญิงแห่งแคว้นหนานเยีนย นางออกเงินของตนเองเพื่อช่วยเหลือราษฎรที่กำลังตกทุกข์ได้ยากของแคว้นตนเอง เป็เื่สมเหตุสมผลดีอยู่แล้ว!
“แม่นางวางใจได้! เื่นี้ข้าน้อยจะจัดการให้เรียบร้อยและเหมาะสม!”
เมื่อคิดได้ว่าจะผูกสัมพันธ์กับหลานเฟยเหนียงเหนียงและวังหลวงได้ สีหน้าท่าทางของหลงจู๊ยิ่งเป็กันเองมากขึ้นอีก ในเมื่อสิ่งสำคัญที่สุดในการทำการค้าก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างคนด้วยกัน มีคนรู้จักมากขึ้นหนึ่งคนย่อมมีหนทางมากขึ้นหนึ่งเส้นทาง ยิ่งไปกว่านั้นเป็ถึง หลานเฟยเหนียงเหนียง ที่มีฐานะสูงศักดิ์เช่นนี้?
เฟิ่งเฉี่ยนยกยิ้ม นางรู้แต่แรกแล้วว่าขอเพียงนางเอ่ยชื่อหลานเฟยเหนียงเหนียง หลงจู๊ย่อมไม่กล้ามีนอกมีใน นางวางใจได้ น่าเสียดายที่ทองคำหีบนี้ยังไม่อุ่นมือเลยนางก็ต้องใช้ออกไปเสียแล้ว
ถือเสียว่าเป็ของขวัญชิ้นสุดท้ายที่นางจะมอบให้กับเซวียนหยวนเช่อก็แล้วกัน!
เมื่อเป็เช่นนี้ ย่อมขจัดปัญหาความยุ่งยากของชาวบ้านผู้อพยพของแคว้นหนานเยียนได้ อีกทั้งไม่ต้องกังวลว่าชาวบ้านแคว้นอื่นได้ยินข่าวแล้วจะตามมา ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!
ทว่านางคำนวณดูแล้ว ทองคำหนึ่งพันตำลึงไม่เพียงพอที่จะช่วยเหลือราษฎรผู้ได้รับความเดือดร้อนเหล่านี้ เงินทองที่ขาดเหลือในภายหลังคงต้องอาศัยตัวองค์หญิงหลานซินเองแล้ว!
ให้โอกาสนางได้ทำกุศลโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย อย่างไรก็ต้องลงทุนลงแรงบ้างกระมัง?
นางแทบจะจินตนาการได้เลยว่า สีหน้าท่าทางขององค์หญิงหลานซินจะเป็ลักษณะใดเมื่อได้รับข่าวนี้
หลังจากออกมาจากร้านค้าสกุลหลิน เฟิ่งเฉี่ยนรีบย้อนกลับไปที่ประตูเมืองอีกครั้ง ยังไม่ทันรอให้นางเข้าไปใกล้ ก็เห็นบริเวณประตูเมืองมีกองทหารรักษาพระองค์ล้อมอยู่นับร้อยนาย
ท่ามกลางกองทหารรักษาพระองค์นับร้อยนายนั้น มีคนๆ หนึ่งสวมเสื้อคลุมกันลมสีดำ ร่างสูงใหญ่นั้นนั่งอยู่บนอาชาสีดำ สีหน้าเคร่งเครียด สูงส่งประหนึ่งเทพเซียน!
ณ วินาทีนั้น หัวใจของเฟิ่งเฉี่ยนเ็ปราวกับถูกขยี้อย่างรุนแรง
“อาเช่อ--”
ผู้ที่นั่งอยู่บนหลังม้ามิใช่ใครอื่น เขาคือเซวียนหยวนเช่อที่มาที่นี่ด้วยตัวเอง
เขานำกองทหารรักษาพระองค์มาเฝ้าประตูเมืองเพื่อ้าจับตัวนางกลับไป ดูจากสีหน้าดำทะมึนเ็าของเขาแล้ว มองออกว่าเขากำลังเดือดดาล การจากไปของนาง จะต้องทำให้เขาโกรธมากแน่นอน!
แต่นางไม่มีทางเลือกอื่น นางต้องไป
มีคนร้องเสียงดังขึ้นในตอนนี้ “ฝ่าาทรงมีพระบัญชา มีคนขโมยของล้ำค่าออกมาจากวังหลวง คิดจะออกไปจากเมือง ด้วย้าจับตัวหัวขโมยคนนี้ ไม่อนุญาตให้เข้าออกประตูเมืองเป็เวลาสามวัน!
หัวขโมย?
นางเป็หัวขโมยั้แ่เมื่อใดกัน?
เพราะ้าจับตัวนางกลับไป เขาถึงกับสั่งให้ปิดประตูเมืองอย่างเอิกเริก นางทั้งดีใจและทั้งจนใจ
ดูท่าทางของเขาแล้ว หากไม่บรรลุจุดประสงค์ย่อมไม่ยอมเลิกรา ทว่าประตูเมืองมีเพียงประตูเดียว นางจะทำอย่างไรจึงจะออกไปจากเมืองมู่หยางได้นะ?
นางรู้สึกกลัดกลุ้ม
มีคนตบไหล่ของนางในเวลานี้เอง นางหันกลับไปอย่างว่องไวและใช้ฝ่ามือฟาดลงไปในลักษณะของใบมีด!
ข้อมือของนางถูกคนคว้าเอาไว้ทันใด
นางเงยหน้าขึ้น เห็นใบหน้าภายใต้หน้ากากสีเงินอันคุ้นเคย!
“ซือคงเซิ่งเจี๋ย!?”
บุรุษผมเงินอาภรณ์สีขาวนั้นยกยิ้ม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงโอ้อวด “ในที่สุดเ้ายังคงเลือกที่จะไปจากวังหลวง...”
เฟิ่งเฉี่ยนตกตะลึง ไม่เข้าใจความหมายของเขา ต่อมานางถูกคำพูดของเขาทำให้งงงันอยู่กับที่
“ข้ารอเ้ามาหลายวันแล้ว”
เฟิ่งเฉี่ยนย้อนคิดถึงตอนที่นางซ่อนตัวอยู่ในตำหนักยีหลัน เคยได้ยินองค์หญิงหลานซินพูดว่าเป็พี่สามของนางที่เสนอความคิดนี้ให้นาง นางจึงคิดแผนการสร้างข่าวลวงเื่ถวายตัวปรนนิบัติก่อกวนจิตใจของนาง บีบคั้นให้นางไปจากวังหลวงเอง...
ที่แท้เป็เช่นนี้!
คนที่อยู่เื้ั คือเขา!
เฟิ่งเฉี่ยนถลึงตาใส่เขา “ข้าไม่มีความแค้นอันใดกับเ้า เหตุใดเ้าต้องทำร้ายข้า? หรือเพราะข้าชนะการเดินหมากเ้า?”
ซือคงเซิ่งเจี๋ยหัวเราะขึ้นมาเฉยๆ “เ้าผิดแล้ว! คนที่้าจากไปจริงๆ เป็ตัวเ้าเอง! หากจิตใจของเ้าไม่แน่วแน่เข้มแข็งพอ ไม่ว่าผู้อื่นจะทำอย่างไร เ้าก็ไม่ไปจากที่นี่ทั้งสิ้น มิใช่หรือ?”
เฟิ่งเฉี่ยนใบ้กิน นางไม่อาจไม่ยอมรับว่าที่เขาพูดล้วนเป็ความจริง
เห็นนางไม่โต้ตอบ ซือคงเซิ่งเจี๋ยหัวเราะเบาๆ “ตอนนี้เ้า้าออกนอกเมืองใช่หรือไม่? บางทีข้าอาจช่วยเ้าได้”
เฟิ่งเฉี่ยนตะลึงงัน “เหตุใดเ้าจึงช่วยข้า?”
ดวงตาของซือคงเซิ่งเจี๋ยไหววูบเบาๆ สายตาสับสน เขาใคร่ครวญแล้วพูดว่า “เ้ามิใช่กล่าวว่าจะช่วยข้าถอนพิษหรือ? ข้าทำเช่นนี้ถือเป็การช่วยตัวข้าเองด้วย”
เฟิ่งเฉี่ยนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่นาทีนี้หาก้าออกนอกเมือง เขาเป็เพียงความหวังเดียวของนางแล้ว
“ได้ ตกลงตามนี้! ขอเพียงเ้าช่วยเหลือข้า ข้าจะทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยเ้าถอนพิษในร่างกายออกไปให้ได้!”
บริเวณประตูเมือง รถม้าคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนตัวออกมา เมื่อเข้ามาใกล้ก็ถูกทหารรักษาพระองค์ขวางทางไว้
“ฝ่าาทรงมีพระบัญชา ไม่อนุญาตให้ผู้ใดออกจากเมืองเป็เวลาสามวัน!”
ผู้ขับม้าตอบกลับด้วยสีหน้าเ็า “นี่เป็รถม้าขององค์ชายสามของข้า องค์ชายสาม้าออกจากเมือง รบกวนอำนวยความสะดวกด้วย!”
องครักษ์ได้ยินเช่นนั้น ไม่กล้าตัดสินใจด้วยตนเอง จึงไปรายงานฮ่องเต้
เซวียนหยวนเช่อรับรู้การเคลื่อนไหวทางด้านนี้แต่แรกจึงบังคับม้าให้เดินมาทางนี้ เขามองรถม้าจากมุมสูง “องค์ชายสามเป็แขกจากแดนไกล เจิ้นยังไม่ทันได้ต้อนรับให้ดี ไฉนจึงรีบจากไปเช่นนี้เล่า?”
ผ้าม่านของรถม้าปิดสนิท ภายในไม่มีการตอบสนองใดๆ
ดวงตาคมปลาบของเซวียนหยวนเช่อจ้องผ้าม่านรถม้าเขม็ง ทันใดนั้นเขาะโลงมาจากหลังม้า มือที่ถือสายบังเหียนของม้าเดินเข้าไปใกล้ทีละก้าวๆ จากนั้นเขายื่นมือออกไปอย่างรวดเร็วด้วยหมายจะเปิดผ้าม่านขึ้น...
ประจวบเหมาะกับผ้าม่านเปิดขึ้นเองในเวลาเดียวกัน ปรากฏให้เห็นใบหน้าของซือคงเซิ่งเจี๋ยภายใต้หน้ากากสีเงิน
“ท่านพี่เซวียนหยวนเกรงใจแล้ว ท่านข้าเดิมทีไม่ได้มีไมตรีต่อกันนัก ไม่จำเป็ต้องมีมารยาทเช่นนี้!”
เซวียนหยวนเช่อมองผ่านผ้าม่านเข้าไป ทุกซอกทุกมุมของรถม้าปรากฏขึ้นแก่สายตา ข้างในนอกจากเซวียนหยวนเช่อแล้ว ไม่มีคนอื่น
เขาประหลาดใจเล็กน้อย หรือเป็เพราะเขาคิดมากไป?
ขณะที่เขากำลังใจลอย ซือคงเซิ่งเจี๋ยเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพี่เซวียนหยวน พรุ่งนี้ข้ายังมีการแข่งขันหมากล้อมอีกกระดานหนึ่ง จำเป็ต้องออกนอกเมือง รบกวนท่านอำนวยความสะดวกด้วย”
เซวียนหยวนเช่อเคร่งขรึมไม่พูดจา เขากำลังสังเกตสังการถม้าทั้งคันอย่างละเอียด คิดจะหาว่ามีที่ใดที่แอบซ่อนคนได้ เขามีลางสังหรณ์แรงกล้าว่าเป็ไปได้อย่างยิ่งที่นางจะอยู่ในรถม้าคันนี้
“ท่านพี่เซวียนหยวน?” ซือคงเซิ่งเจี๋ยเห็นเขาไม่ตอบ จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สูงขึ้นและสีหน้าไม่พอใจ
สายตาของเซวียนหยวนตกลงบ่นกล่องไม้ที่ซือคงเซิ่งเจี๋ยนั่งอยู่ กล่องไม้ใบนั้นเป็ส่วนหนึ่งของที่นั่งและนำมาใช้เก็บสิ่งของได้ หากบอกว่าบนรถม้ายังมีที่ใดที่ซ่อนตัวคนได้ ก็มีเพียงมันแล้ว
“ท่านพี่ซือคง วันนี้วังหลวงมีสิ่งของล้ำค่าชิ้นหนึ่งหายไป เพื่อเป็การป้องกันมิให้คนร้ายนำของมีค่านั้นหนีออกไปใน่เวลาชุลมุน เจิ้นไม่อาจไม่เข้มงวดกวดขัน”
ซือคงเซิ่งเจี๋ยหรี่ตาลง “เ้าคิดจะทำอะไร?”
“ล่วงเกินแล้ว! เจิ้น้าตรวจสอบรถม้าของเ้า!” เซวียนหยวนเช่อะโขึ้นมาบนรถม้าทันที
“หยุดนะ!” ซือคงเซิ่งเจี๋ยยื่นมือขวางเขาไว้ “หากข้าไม่อนุญาตเล่า?”
สายตาของคนทั้งคู่ประสานกันเกิดเป็สะเก็ดไฟในชั่วพริบตา ต่างไม่มีใครยอมใคร!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้