ป้องกันตัวเองด้วยวิธีเป็หมื่นเป็พัน แต่นางก็ยังไม่รอดพ้นกรงเล็บของซูเมี่ยวเออร์
อวิ๋นอี้ไม่พอใจนัก
หลังจากการประชุมที่ห้องโถงใหญ่ นางก็ยังคงมีสีหน้าที่บูดบึ้ง
เป็คราแรกที่กู่ซือฝานเห็นนางสลดหดหู่ใจ จึงคอยอยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง ไม่กล้าส่งเสียงใด
ทั้งสองเดินจากห้องโถงใหญ่ไปที่หอพัก หากมิใช่เพราะจู่ๆ ฝนตกลงมาจากฟ้า อวิ๋นอี้ก็คงจะเงียบต่อไป
“ฝนตกหรือ?” นางขมวดคิ้ว ใบหน้าเคร่งเครียด มองขึ้นไปบนฟ้าแล้วถามเสียงต่ำ
กู่ซือฝานเช็ดหน้าที่เปียก "น่าจะใช่เพคะ"
อวิ๋นอี้ถอนหายใจ "พระเ้ารู้สึกแย่แทนข้า!"
"......"
"เหตุใดข้าโชคร้ายเช่นนี้!"
"...... "
"อยู่ในมือของซูเมี่ยวเออร์เช่นนี้ อย่าลืมเก็บศพข้าด้วยนะ!"
"......"
กู่ซือฝาน รู้สึกว่าอวิ๋นอี้พูดเกินจริงไป
ที่นี่คือวัง วังคือที่ใดกัน? เป็สถานที่ที่มีกฎชั้นที่เข้มงวดที่สุดในใต้หล้า!
แม้ว่าซูเมี่ยวเออร์จะเกลียดชังนางมากเท่าใด ถึงนางจะมีกล้า ทว่านางคงมิกล้าพอที่จะฆ่าหรือจุดไฟเผาผู้ใด ในตอนที่อยู่ภายใต้สายตาองค์ฮ่องเต้เด็ดขาด
กู่ซือฝานรู้สึกว่าสิ่งที่นางคิดมีเหตุผล จึงใช้คำเหล่านี้ปลอบอวิ๋นอี้
ที่ไหนได้ นางกลับสูดจมูก มุมปากคว่ำลง พูดเตือนนาง "เ้าลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในเทศกาลล่าสัตว์แล้วหรือ?"
เมื่อพูดถึงเื่นี้ สีหน้าของทั้งคู่ก็มืดมนลง
ซูเมี่ยวเออร์ปล่อยงูมากมายเช่นนั้นเข้าไปในกระโจมของนาง คิดถึงเื่นี้ก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
ครานี้กู่ซือฝานพูดกระไรมิออก มีเพียงอวิ๋นอี้เท่านั้นที่ะโว่า "ชีวิตข้าช่างน่าสังเวช!"
"......"
ฝนโปรยปรายลงมาบนกิ่งไม้และใบไม้อันเขียวชอุ่ม ตอกย้ำปลายวสันต์
ผู้คนเดินทยอยเข้ามาในหอพัก เสียงฝีเท้าบนทางเดินฟังดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
อวิ๋นอี้หยุดคร่ำครวญ
คำบางคำสามารถพูดกับกู่ซือฝานได้ แต่พูดกับผู้อื่นมิได้ บางทีมันอาจจะถูกกระจายข่าวออกไป ทำให้เกิดเื่อีกก็เป็ได้
นางกับกู่ซือฝานมองหน้ากัน ทั้งสองเดินไปที่ห้องโถงหน้าทางเข้าหลัก เพื่อรอการจัดสรรห้อง
เนื่องจากพวกนางล้วนมีตำแหน่งสูง พวกแม่นมจึงให้บริการด้วยความเคารพและระมัดระวัง
ทุกคนมีห้องส่วนตัวแยกกัน หากแต่สามารถเลือกเพื่อนห้องข้างๆ ได้ นางกับกู่ซือฝานสนิทกัน ย่อมอยู่ด้วยกันเป็ธรรมดา เมื่อได้เลขห้องแล้ว ก็กลับห้องไปพักผ่อน
อวิ๋นอี้นอนอยู่บนเตียงแข็งๆ รู้สึกอึดอัดไปทั่วทั้งร่าง
นางคิดถึงที่นอนนุ่มๆ ที่จวน คิดถึงอิสระที่จะทำกระไรก็ได้ รวมทั้งใบหน้าหล่อๆ ของหรงซิว
พูดถึงเื่นี้ เขาทิ้งนางไว้ที่นี่โดยลำพังจริงๆ ไม่สนว่านางจะเป็จะตายเลยหรือ?
อวิ๋นอี้เศร้าใจ
สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าบุรุษ ผู้ใดจะรู้ว่าจริงๆ แล้วในใจเขามีนางอยู่เท่าใด เช่นหรงซิว ปกติแม้ว่าเขาจะบอกว่ารักนาง เป็ห่วงนางต่างๆ นานา แต่อวิ๋นอี้มักจะรู้สึกว่าความรู้สึกของเขาเป็สิ่งที่ผิวเผินนัก
อาจเป็เพราะนางคิดมากไปเอง
อวิ๋นอี้ลูบผม รู้สึกหดหู่เล็กน้อย ผลจากอาการซึมเศร้าก็คือหิว เมื่อหิวก็จะหงุดหงิดง่ายตามมา
นางนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียง นอนไม่หลับ มีแต่เื่ไร้สาระ อยู่ภายในใจ
สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไปจนถึงเวลาอาหารกลางวัน
ระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน พระชายาอีกหลายองค์ที่ถูกส่งไปศึกษา ก็มาอยู่รวมกัน
ทุกคนล้วนเป็ผู้เฉลียวฉลาดรอบรู้ รู้ได้โดยธรรมชาติว่าที่พวกนางต้องมาประสบเื่นี้ ย่อมเป็เพราะอวิ๋นอี้ แม้แต่แววตาที่ใช้ตอนเดินผ่านนางยังน่ากลัวนัก
อวิ๋นอี้เห็นแล้วทว่าทำเป็เมินเฉย มิใช่เพราะนางใจกว้าง เป็เพราะนางไม่รู้จักคนเ่าั้ นางจึงไม่รู้สึกโกรธ
นางเอาเวลาไปทานข้าวยังดีเสียกว่า เตรียมตัวพบกับการทรมานในตอนบ่าย
รับประทานทานไปได้สักพัก ซูเมี่ยวเออร์ก็มา
นางทักทายพระชายาองค์อื่นอย่างสุภาพและสนิทสนม แม้พระชายาคนอื่นจะมิได้ชอบนางนัก แต่เมื่อคิดได้ว่านางกำลังจะเป็ผู้ดูแลในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จึงจำเป็ต้องทำดีด้วย
ครู่หนึ่ง ซูเมี่ยวเออร์ก็กลายเป็ที่จุดสนใจอีกครา
ท่ามกลางฝูงชน นางพูดจาฉะฉาน เป็ผู้รู้มากด้วยเหตุผล ค่อนข้างเป็ที่โปรดปรานของผู้คน
อวิ๋นอี้ทานข้าวพลางมองนางที่ได้ใจสีหน้ามีความสุขและยิ้มแย้ม ทำให้แอบคลื่นไส้อยู่ในใจหลายครา
หลังจากมื้ออาหาร ซูเมี่ยวเออร์ก็ยืนขึ้นและมองอวิ๋นอี้ นางยิ้มและพูดอย่างยียวนว่า “ข้าจะดูแลพระชายาเจ็ดอย่างดีเลยเพคะ”
ดูแลกระไร ผู้ใดให้นางดูแลมิทราบ?
มิมีเสียหน่อย
ที่จริงแล้ว ซูเมี่ยวเออร์ตั้งใจจะหาเื่จัดการนาง ท่าทีนี้ ั้แ่เมื่อบ่ายก็เริ่มแสดงออกมาใช้เห็นแล้ว
มีผู้เข้าร่วมการเรียนมารยาทร่วมเจ็ดคน ่บ่ายเป็การเรียนมารยาทและความรู้ การเรียนมารยาทนั้นจะมีการสอนการยืนและท่านั่งตลอดจนท่าเดิน
ตอนก่อนเริ่มเรียน อวิ๋นอี้เห็นว่าซูเมี่ยวเออร์ยิ้มมุมปากชั่วร้ายให้นาง พลันรู้ว่านางรอดยากเป็แน่
เป็เช่นนั้นจริงๆ นางเพิ่งเรียนท่ายืน ก็ถูกบอกว่าพื้นฐานแย่ที่สุด ยืนไม่น่าดู เพื่อให้นางยืนได้สง่างาม ซูเมี่ยวเออร์ให้นางไปยืนใต้ชายคาโดยวางถ้วยชาไว้เหนือหัวเป็เวลาสองชั่วยาม หากนางหลังค่อม ก้มลงหรือชาหก จะต้องตั้งเวลาใหม่
อวิ๋นอี้โกรธในใจ จ้องไปที่ซูเมี่ยวเออร์
ซูเมี่ยวเออร์ขบขันกับรูปร่างหน้าตาของนางจึงเอาผ้าเช็ดหน้าปิดปาก ยิ้มเยาะทำเป็พูดปลอบนาง “พระชายาเจ็ด ทั้งหมดนี้ข้าทำเพื่อท่านนะเพคะ!”
คำพูดนี้ นางมิเชื่อแม้แต่ครึ่งเดียว
แต่นางมิเชื่อแล้วจะทำอย่างไรได้ ตอนนี้นางเป็ปลาบนเขียง ต้องทนให้ผู้อื่นฆ่าแกง
นางหายใจแรงสองสามครา อาการโกรธเคืองรุนแรงในอกถึงได้สงบลงได้ ถึงแม้ว่าอวิ๋นอี้จะหัวร้อนง่าย แต่นางก็มิใช่คนโง่เขลาไร้ความคิด
หากผลการเรียนการสอนมิเป็ที่พอใจ เกรงว่านางจะมีเล่ห์กลอื่นๆ อีก เพื่อป้องกันการทรมานที่ไร้มนุษยธรรมมากที่มากไปกว่านี้ ไม่ว่าอย่างไร นางก็ต้องอดทนไปให้ได้
นางตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ลงมือทำทันที
ดวงตาที่ใสสีเข้มคู่หนึ่งกะพริบ ภายใต้การจ้องมองของซูเมี่ยวเออร์ นางลุกขึ้นเดินไปที่ชายคาแล้วยืนนิ่ง
“ยังทำกระไรอยู่อีก? รินชาให้พระชายาเจ็ดสิ!” ซูเมี่ยวเออร์พูดด้วยรอยยิ้มจอมปลอม
ไม่นานหลังจากนั้น อวิ๋นอี้ยืนตัวตรงท่ามกลางหยาดฝนโปรยปราย พร้อมกับถ้วยชาบนหัวของนาง ราวกับต้นไป๋หยางต้นน้อยที่ตั้งตรง
หยาดฝนตกลงมาบนเสื้อผ้าของนางเป็ระยะๆ นางกัดฟันเป็เวลาสองชั่วยาม แม้ว่าเสื้อผ้าจะเปียก ตัวสั่นเพราะความหนาวเย็น แต่โชคดีที่นางผ่านการทดสอบนี้ไปได้
ผมของนางชื้นและกลายเป็เกลียว ช่างดูน่าสมเพชยิ่งนัก ทว่าดวงตาของนางราวกับมีแสงสะท้อนของมีดที่ถูกชำระล้างด้วยน้ำ
ซูเมี่ยวเออร์เห็นว่านางผ่านไปได้ก็ยอมสอนท่านั่งและท่าเดินให้นาง
ท่านั่งนั้นมิมีกระไรมาก เมื่อถึงท่าเดิน นางให้อวิ๋นอี้ยืนรักษาท่าคำนับไม่เคลื่อนไหวอยู่นาน
วิธีการของนางมิมีกระไรใหม่ แม้ว่าอวิ๋นอี้รำคาญนัก แต่นางอดทน
หลังจากยืนได้ประมาณหนึ่งชั่วยาม ขานางก็เริ่มสั่น ซูเมี่ยวเออร์เห็นเช่นนั้น จึงยิ้มหน้าบาน ราวกับว่านางเบื่อที่จะเล่นแล้ว สะบัดมือประกาศจบการเรียนของวันนี้
กู่ซือฝานเห็นมาตลอดทั้งบ่าย รู้สึกสงสารนาง ทันทีที่ซูเมี่ยวเออร์กลับไป อดใจไม่ไหวที่จะเข้ามาหาอวิ๋นอี้ คอยพยุงนางอย่างระมัดระวัง
“เหนื่อยใช่หรือไม่เพคะ?” กู่ซือฝานมองหน้าซีดเซียวของนาง ถามด้วยความเป็ห่วง
อวิ๋นอี้เหนื่อยมาก มิต้องพูดเื่ขาสั่น ทั้งฝ่าเท้าเ็ปราวกับถูกสิ่งใดทับ
นางไม่พูดอยู่นาน เมื่อถูกส่งกลับเข้าห้องพัก พลันนอนอ้าแขนขาอยู่บนเตียง กัดฟันแล้วพูดว่า "ซูเมี่ยวเออร์ คิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะลุกขึ้นมิได้แล้วหรือไร? ฮึ่ม ข้ามิมีวันยอมแพ้แน่ รอให้ข้าปรับตัวได้ก่อนเถิด...ให้ข้าปรับตัวได้แล้ว ดูสิว่าข้าจะฆ่านางอย่างไร”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้