ต่อจากนั้นพ่อบ้านซุนก็พาเด็กติดตามไปที่บ้านของหลิวซานกุ้ย แต่เดิมทีเื่นี้ให้เด็กติดตามทำเองก็ได้ แต่ในเมื่อนายท่านจิ่วกำชับมาเป็พิเศษ นายของตนให้ความสำคัญกับครอบครัวที่พักห้องปีกตะวันตก และเกรงว่าครอบครัวฝั่งอื่นจะเกิดความคิดไม่ดี ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่มอบของให้ก็มักจะนึกถึงอรรถประโยชน์ที่เหมาะสมกับครอบครัวหลิวซานกุ้ย
หลังจากพ่อบ้านซุนเดินตามหลิวซานกุ้ยเข้าไปในห้อง ก็ส่งสัญญาณให้เด็กติดตามนำของออกมา แล้วเอ่ย “นายท่านของข้าบอกว่า คุณชายหลิวสามเป็คนซื่อตรง วันนี้ได้มาเห็น ที่มากไปกว่านั้นคือข้าน้อยกลับรู้สึกว่าคุณชายสามมีความสง่างาม”
คำพูดที่ดีใครเล่าจะไม่ชอบฟัง หลิวซานกุ้ยได้ยินดังนั้นก็ยิ่งมีความมั่นใจ และยิ่งเปล่งประกายออกมา เขาหัวเราะแล้วโบกมือ “ข้าหรือจะกล้ารับคำชมเชยเหล่านี้จากพ่อบ้านซุน”
เมื่อพ่อบ้านซุนเห็นว่าคำพูดและท่าทางของเขาแตกต่างจากคนในห้องโถง จึงรู้ว่าการเรียนของเขามีการพัฒนา เมื่อนึกถึงนายท่านจิ่วที่กำชับเป็พิเศษว่าให้สังเกตการพูดจาของหลิวซานกุ้ย นี่ก็ทำให้เขารู้สึกวางใจ
“อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ของขวัญที่นายน้อยบอกให้ข้าน้อยนำมามอบให้ ขอเชิญคุณชายสามดูก่อน” พูดจบก็มอบรายการของกำนัลให้
หลิวซานกุ้ยรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย แม้ว่าในบ้านจะมีเงินอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจรับคำเรียกคุณชายได้ จึงเอ่ยอย่างกระมิดกระเมี้ยน “พ่อบ้านซุนอย่าได้เรียกข้าเช่นนี้เลย ข้าว่าท่านาุโกว่าข้าหลายปี หรือไม่ก็เรียกข้าว่าน้องชายดีกว่า”
พ่อบ้านซุนรู้สึกเพียงว่าปวดใจ เรียกน้องชายอะไรกันเล่า ลำพังนิสัยหวงแหนของกินของนายท่าน หากเขาเรียกหลิวซานกุ้ยว่าน้องชาย รับรองได้เลยว่า นายท่านต้องฟาดเขาตายคาที่แน่นอน
“คุณชายสาม ท่านคือผู้มีการศึกษา ย่อมรู้ว่ามิควรปล่อยให้การสรรเสริญนั้นไร้ค่า”
เอาเถิด คำชมว่าผู้มีการศึกษาทำให้หลิวซานกุ้ยตัวลอยได้แล้ว เขายิ่งทวีความมั่นใจ รู้สึกว่าตนเองมีกำลังใจ ต่อให้ต้องเรียนตำราอีกยี่สิบสามสิบเล่มก็ไม่เป็ปัญหา
ขณะนี้พ่อบ้านซุนให้เด็กติดตามนำของมามอบไว้ตรงหน้า
เขาชี้ไปยังสิ่งที่คล้ายจาน ยิ้มแล้วเอ่ย “นายท่านของข้ารู้สึกว่าคุณชายสามต้องชื่นชอบของสิ่งนี้ พู่กันหนึ่งชุดที่ทำจากขนหมาป่าของร้านแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อในเมืองหลวง หมึกสองก้าน เป็หมึกถ่านต้นลวดลายนกสีทอง บวกกับมีดตัดกระดาษชั้นดีสองเล่ม”
อาจกล่าวได้ว่าของเหล่านี้เป็ที่ถูกใจหลิวซานกุ้ยยิ่งนัก
มันยิ่งสอดคล้องกับความคิดของหลิวเต้าเซียง สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถใช้เงินหาซื้อได้ในอำเภอถู่หนิว
หลิวซานกุ้ยหยิบหมึกสองก้านขึ้นมาดูเล่น กลิ่นหอมจางของสนลอยออกมา ชัดเจนว่าคือหมึกชั้นดี
ส่วนตำราเกษตรที่พ่อบ้านซุนเอ่ยถึง หลิวซานกุ้ยกลับไม่เห็นมันสักเล่ม
จางกุ้ยฮัวได้รับกําไลลวดลายดอกบัวใบบัวคู่หนึ่ง ส่วนสามพี่น้องได้รับอิ๋นสั่ว หลิวชิวเซียงได้รับอิ๋นสั่วโปร่งลายดอกไม้ หลิวเต้าเซียงได้อิ๋นสั่วลายสาลิกาปากดำเกาะบนกิ่งไม้ ส่วนหลิวชุนเซียงได้รับอิ๋นสั่วอักษรมั่งคั่งสงบสุข
หลิวเต้าเซียงเห็นแล้วชอบอิ๋นสั่วนี้อย่างมาก ตัวอิ๋นสั่วไม่ได้ใหญ่มาก เพียงแต่เวลาหยิบจับกลับมีน้ำหนัก เดาว่าคงมีมูลค่าหลายตำลึง นางเก็บอิ๋นสั่ว กำไลเงินและต่างหูไว้ ของเหล่านี้ห้ามให้หลิวเสี่ยวหลันเห็นเด็ดขาด อย่างน้อยก่อนแยกบ้านนางก็ไม่คิดจะเอาออกมาอวด
เมื่อพ่อบ้านซุนมอบของขวัญให้ครอบครัวของหลิวซานกุ้ยเสร็จ จึงพาเด็กติดตามไปที่ห้อง้า
จางกุ้ยฮัวถือกำไลเงินอันหนักอึ้งแล้วถามหลิวซานกุ้ยเงียบๆ ว่าของขวัญเหล่านี้จะมากเกินไปหรือไม่
หลิวชิวเซียงซึ่งอยู่ข้างๆ บอกนางว่า หลิวฉีซื่อและหลิวเสี่ยวหลันได้รับเครื่องประดับทองทั้งคู่
หลังจากหลิวซานกุ้ยได้ยินจึงเอ่ย “เห็นที คุณชายซูที่มาจากตระกูลร่ำรวยปานนั้น ของเหล่านี้คงธรรมดาทั่วไป ของขวัญมาถึงที่แล้ว จะปฏิเสธกลับไปคงเป็ไปไม่ได้ พวกเ้าสวมใส่อย่างสบายใจเถิด”
หลังจากพูดแบบนี้ เขาก็เลื่อนสายตาไปทางผลไม้แล้วเอ่ยอีกว่า “ลำไย ลิ้นจี่ต้องแบ่งครึ่งหนึ่งไปให้ท่านแม่”
หลิวเต้าเซียงพูดว่า “ข้าเห็นท่านย่าได้ของกินมากกว่าพวกข้าอีก หากจะแบ่งก็ควรแบ่งขนมไหว้พระจันทร์ขนมกุ้ยฮัวออกมา ที่เหลือสามอย่างจะเก็บไว้ให้ท่านแม่บำรุงร่างกาย”
นับั้แ่จางกุ้ยฮัวให้กำเนิดหลิวชุนเซียงก็ผอมลงอย่างมาก แม้นว่าหลิวเต้าเซียงจะนำไข่ พุทราจีนแล้วก็น้ำตาลมาบำรุงร่างกายให้ แต่นางก็ไม่ได้มีเนื้อหนังขึ้นมา แต่สีหน้าก็ดูดีขึ้นไม่น้อย ตอนนี้เมื่อได้ของกินมา หลิวเต้าเซียงจึงไม่ได้มีความคิดจะแบ่งให้หลิวฉีซื่อ
หลิวชิวเซียงเองก็ไม่พอใจเช่นกัน “ใช่แล้ว ข้าเห็นพี่ชายที่ขนของ วิ่งเข้าออกหลายรอบยิ่งนัก ไม่เพียงแต่มีสุรา ยังมีเป็ด อืม แล้วก็มีปู ตัวโตกว่าที่เราจับในแม่น้ำมากนัก”
“ท่านพ่อ ข้าว่าไม่ต้องแบ่งอะไรเลยดีกว่า หากท่านนำไป ท่านย่าถามขึ้นมาว่า คนเขามอบขนมไหว้พระจันทร์ให้ด้วยหรือ? ท่านจะตอบอย่างไร หรือท่านจะบอกกับท่านย่าว่า อ้อ ไม่ใช่ เขายังให้ขนมสี่มงคลด้วย เพียงแต่ข้าไม่ได้เอามาให้ ดังนั้นจึงแบ่งเพียงขนมไหว้พระจันทร์ให้ท่าน!”
เสียงของหลิวเต้าเซียงนั้นยั่วยุอารมณ์ยิ่งนัก จางกุ้ยฮัวได้ยินถึงกับจะร้องไห้หรือจะหัวเราะก็เลือกไม่ถูก จึงรีบดึงนางมาไว้ในอ้อมกอด เอื้อมมือออกไปตบก้นนางหลายที ยิ้มแล้วด่า “ไปหัดมาจากไหนกันลูกไม้เหล่านี้”
“ท่านแม่ ข้าพูดไม่ผิดเสียหน่อย ท่านย่าใจกว้างนัก ในใจของนางมีทั้งครอบครัวลุงใหญ่ ครอบครัวลุงรอง อาสี่แล้วก็อาเล็ก แต่ไม่เคยมีครอบครัวเราแม้แต่น้อย”
นางอยากจะถามว่า ท่านพ่อของเราคงไม่ได้ถูกเก็บมาจากหลังเชิงเขาจริงๆ ใช่หรือไม่!
จางกุ้ยฮัวคิดดูแล้วเอ่ย “พ่อบ้านซุนได้นำผ้าฝ้ายมาหลายผืน ข้าเห็นว่ามันหนากว่าครั้งที่แล้ว ประจวบเหมาะกับนำมาทำเสื้อเหมียนอ๋าวให้ครอบครัวเรา ตัดเสื้อเหมียนอ๋าวตัวหนากับเหมียนอ๋าวตัวบาง ตัวหนึ่งไว้สวมใส่ฤดูหนาว ตัวหนึ่งไว้สวมใส่ฤดูใบไม้ร่วงจะดีที่สุด หากว่านำของไปให้ท่านพ่อท่านแม่ แต่เด็กสองคนที่เพิ่งกลับมาบ้าน ข้าว่าพวกเขาสวมใส่ผ้าไหมกันทั้งนั้น เกรงว่าคงไม่เหลียวแลผ้าฝ้ายนี้ หากไม่มอบของอะไรให้ เกรงว่าลับหลังคงหาว่าป้าสามอาสามไม่รู้กาลเทศะ ได้ของดีมาไม่แบ่งทั้งสองคนอีก แต่ของขวัญที่คุณชายยกให้ลูกสาวทั้งสาม เ้าอย่าได้คิดแตะต้องเชียว”
หลิวซานกุ้ยพูดไม่ออก ในใจเขาเพียงแต่นึกถึงบิดามารดา ได้ของดีมาก็นึกอยากตอบแทน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจางกุ้ยฮัวคิดได้รอบคอบกว่าเขา แต่การไม่แบ่งของเหล่านี้ให้บิดามารดาเลย ในใจเขาเองก็รู้สึกแย่เล็กน้อย
หลิวเต้าเซียงคิดดู จึงเอ่ย “เช่นนั้นก็เอาพุทราจีนห่อนั้นกับขนมไหว้พระจันทร์ขนมกุ้ยฮัวไปเถิด”
ขนมไหว้พระจันทร์นางกินมาเยอะแล้วในโลกปัจจุบัน อีกทั้งในโลกยุคโบราณนั้นทำมาจากน้ำมันหมู ด้านในก็มีแต่ไส้ส้มหวานกับเนื้อหมูเค็ม กลิ่นหอมพอสมควร แต่กินไม่กี่คำต้องเลี่ยนแน่นอน
“อา เอาขนมไหว้พระจันทร์ไปด้วยหรือ ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าก็้ากินนะ” หลิวชิวเซียงให้ตายก็ไม่ยอม อย่างน้อยปีนี้ก็มีขนมไหว้พระจันทร์ให้กินแล้ว อีกอย่าง ทางหลิวฉีซื่อเองก็ได้รับหนึ่งกล่องเช่นกัน
หลิวเต้าเซียงรู้สึกขำหลิวชิวเซียง เช่นนี้ถึงจะเหมือนกับเด็กสาววัยเก้าขวบธรรมดาทั่วไป
“ท่านพี่ รอวันรุ่งขึ้นให้ท่านพ่อไปซื้อมาให้เ้าสักสองอัน”
“แต่วันรุ่งขึ้นไม่ใช่เทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว” หลิวชิวเซียงอดคิดไม่ได้
หลิวเต้าเซียงขยิบตาใส่นาง “การกินขนมไหว้พระจันทร์ก็เพียงเพื่อรับกับเทศกาล วันรุ่งขึ้นไม่ใช่เทศกาล ใครยังจะซื้อเล่า!”
หลิวซานกุ้ยยังกล่าวอีกว่า “ใช่แล้ว ชิวเซียง วันรุ่งขึ้นพ่อรับรองว่าต้องซื้อขนมไหว้พระจันทร์กลับมาให้เ้ามากมาย” เขานึกได้แล้วว่าหลังผ่านพ้นเทศกาล ร้านค้าต้องมีขนมไหว้พระจันทร์เหลือบ้าง แม้ไม่เยอะ แต่ขอเพียงต่อรองราคา ก็น่าจะซื้อได้ในราคาถูก
ในที่สุดหลิวชิวเซียงก็ยอมประนีประนอม เมื่อคิดว่าวันรุ่งขึ้นยังได้กินขนมไหว้พระจันทร์ หากว่าถูกแบ่งลำไยกับลิ้นจี่ไปนางคงยิ่งปวดใจ ของแห้งเหล่านี้ในตำบลราคาสูงยิ่งนัก แม้ว่าหลิวเต้าเซียงที่ใช้จ่ายเงินดุจน้ำไหลก็ยังไม่เคยจ่ายเงินซื้อของเหล่านี้
ท้ายที่สุด หลิวซานกุ้ยก็หิ้วพุทราจีนกับขนมไหว้พระจันทร์ไปให้หลิวฉีซื่อที่อยู่ในห้องโถง
หลิวฉีซื่อเห็นเขาถืออะไรบางอย่างมาก็ยิ้มแย้มอย่างยากที่จะได้เห็น และกระซิบกับเขาอีกครั้งว่า “แค่นี้หรือ?”
“ส่วนที่เหลือเป็เพียงตำราเกษตรทั้งหมดและผ้าฝ้ายหนาๆ” เมื่อหลิวซานกุ้ยตอบคำถามนี้ หัวใจของเขายังคงกังวล แต่เมื่อเขาเห็นว่าหลิวฉีซื่อไม่ได้ถามต่อ จึงโล่งอกไปเปราะหนึ่ง
หลิวฉีซื่อตอบว่า “นั่นสิ น้องเล็กเ้าต่างหากที่เป็ผู้ช่วยชีวิตเขาที่แท้จริง เต้าเซียงของเ้าก็เพียงแค่ได้วาสนาจากการเดินตามอาเล็กของนาง คนเขาเคยชินกับการกินอาหารรสเลิศ พอได้ลิ้มชิมรสอาหารป่า จึงรู้สึกว่าแปลกใหม่ เต้าเซียงอาศัยแสงสว่างจากอาเล็กของนาง ได้รับของขวัญเหล่านี้นับว่าล้นเหลือไม่น้อย”
ดวงตาของหลิวซานกุ้ยนั้นแปลกไปหน่อย แต่เขาไม่ได้บอกว่าซูจื่อเยี่ยไม่ได้ให้ของขวัญเพียงแค่นี้
“ท่านแม่ เหตุใดน้องสี่กับพี่รองจึงยังไม่กลับมาอีก?” หลิวซานกุ้ยขี้คร้านฟังคำพูดชมเชยหลิวเสี่ยวหลันจากปากของมารดา ในความคิดของเขา แม้ว่าหลิวเสี่ยวหลันจะเป็ผู้มีพระคุณช่วยชีวิต แต่บุตรสาวคนรองทำอาหารอร่อย ในอนาคตคนผู้นั้นก็เพียงแค่้ากลับมากินอาหารรสมือของนางอีกครั้งก็เท่านั้น จึงไม่้าฟังคำพูดเ่าั้ของผู้เป็แม่
ความสุขของหลิวฉีซื่อก็ลดทอนลงทันที เมื่อเห็นว่าเวลาก็สายแล้ว เสียงขัดหม้อของจางกุ้ยฮัวในโรงครัวดังขึ้น
“น่าจะใกล้แล้ว ก่อนหน้านี้ข้าส่งจดหมายไปบอกว่าพี่ใหญ่เ้าให้เด็กๆ กลับมา”
คำพูดของนางฟังดูไม่ถูกต้องนัก
เพราะไม่ว่าจะเทศกาลเชงเม้งหรือไหว้บะจ่าง หลิววั่งกุ้ยก็ไม่เคยกลับมาเยี่ยมเยียนแต่อย่างใด
หลิวซานกุ้ยคิดแล้วเอ่ย “ท่านแม่ จะให้ข้าไปรับที่หน้าหมู่บ้านหรือไม่ บางทีคนเยอะ รถเข็นวัวอาจจะเดินทางได้ช้า”
หลิวฉีซื่อเองก็ไม่ค่อยวางใจเื่การเดินทาง จึงเอ่ย “เช่นนั้นเ้าไปดูบ้างก็ดี”
หลิวซานกุ้ยออกไป แต่ยังไม่ทันเดินไปถึงหน้าหมู่บ้าน ก็เห็นครอบครัวหลิวเหรินกุ้ยกับหลิววั่งกุ้ยนั่งรถเข็นวัวมาพร้อมกัน
“พี่รอง น้องสี่”
หลิวซานกุ้ยไม่ได้เห็นทั้งสองมานานแล้ว และมีความสุขพอสมควร
“น้องสาม”
“พี่สาม!”
ต่อมาก็ได้ยินเสียงลูกๆ ของหลิวเหรินกุ้ยขานเรียกอาสาม
หลิวซานกุ้ยตอบทีละคน เดินตามรถเข็นวัวแล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ท่านแม่คอยแต่นึกถึงพวกจ้า พอพวกเ้ากลับมา ท่านแม่ต้องดีใจเป็แน่”
หลิววั่งกุ้ยที่นั่งอยู่บนรถเข็นวัวแหงนศีรษะขึ้นฟ้า สำหรับคำพูดของหลิวซานกุ้ย เขาไม่ได้พูดต่อแต่อย่างใด
ส่วนหลิวเหรินกุ้ยเพียงแค่ยิ้มแย้ม หันศีรษะแล้วมองดูภรรยากับลูกๆ “นั่นสิ พี่สะใภ้รองของเ้าเองก็ไม่สบายใจยิ่งนัก ข้าพูดเกลี้ยกล่อมอยู่นานกว่าจะโน้มน้าวนางได้ ถึงได้เสียเวลาไปสักพัก”
“พี่สะใภ้รองกลับมา ท่านแม่ต้องดีใจมากแน่” หลิวซานกุ้ยเห็นหลิวซุนซื่อไม่ได้กล่าวอะไร จึงเลือกพูดอะไรที่น่าฟัง
ชั่วพริบตา หลิวซุนซื่อก็กลับไปบ้านตระกูลซุนครึ่งปีแล้ว อย่างน้อย ในครึ่งปีนี้นางก็ไม่เคยเหยียบเข้าประตูบ้านตระกูลหลิวแต่อย่างใด
หลิวซานกุ้ยได้ยินข่าวว่าหลิวซุนซื่อกลับบ้านที่ตำบลเป็ครั้งคราว เขาเองก็แสร้งทำเป็ไม่รู้เื่
“อืม พูดยาก นิสัยของท่านแม่พวกเ้าเป็เช่นไร ใช่ว่าพวกเ้าจะไม่รู้?” ชัดเจนว่าหลิวซุนซื่อมาโดยไม่ได้ยินยอมนัก
หลิวเหรินกุ้ยเกลี้ยกล่อมนางไม่กี่คำ จึงเอ่ย “เถาฮัว อีกเดี๋ยวเจอท่านแม่ข้า เ้าก็อดทนไว้หน่อย”
“เหตุใดข้าต้องทน? นางก็ช่างทำกันได้ หลานชายก็โตป่านนี้แล้ว เป็ถึงผู้าุโแต่กลับพูดออกมาได้ว่าจะหาบ้านเล็กให้ลูกชาย ใช่ว่าข้าให้กำเนิดบุตรไม่ได้หรือว่าเลี้ยงไม่ได้ ลำพังที่ข้าคลอดหลานชายให้กับตระกูลหลิว นางก็ไม่สามารถปลดข้าได้แล้ว ถึงแม้จะขึ้นศาลที่จังหวัด ข้าก็มีเหตุผลของตนเอง”
หลิวซุนซื่อมีจุดยืนของตนเอง และตั้งข้อสังเกตต่อตัวหลิวฉีซื่ออย่างใหญ่หลวง
-----
