คำพูดว่า ‘ไม่อยากกิน’ ที่เกือบหลุดออกจากริมฝีปาก พลันถูกกลืนหายลงในลำคอ วางมือที่กุมศีรษะอยู่ลง ริมฝีปากผลิยิ้มอ่อนบางแล้วพยักหน้าอนุญาตให้นางเข้ามา
ดวงตาของโม่เสวี่ยถงฉายแววยินดี ออกแรงหิ้วปิ่นโตใบใหญ่เข้ามาวางบนโต๊ะหนังสือ แล้วยื่นมือช่วยโม่ฮว่าเหวินเก็บหนังสือฎีกาต่างๆ ที่วางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะ จัดให้เป็ระเบียบแล้ววางไว้บนชั้นด้านข้าง ซึ่งเป็ชั้นวางเอกสารราชการประจำวันของโม่ฮว่าเหวิน
“ท่านพ่อเ้าขา... เมื่อคืนท่านยายส่งอาหารว่างเรียกน้ำย่อยมาให้สองสามกล่อง ถงเอ๋อร์เห็นท่านพ่อหลับแล้ว ไม่กล้ามารบกวน จึงตั้งใจเก็บไว้ให้ เมื่อครู่ให้บ่าวอุ่นร้อนมาแล้ว หากรับประทานกับโจ๊กร้อนๆ จะเข้ากันที่สุด ท่านพ่อชิมโจ๊กฝีมือของถงเอ๋อร์สิเ้าคะว่าอร่อยหรือไม่ อย่าให้ลูกเสียความตั้งใจเชียวนะเ้าคะ” แม้สีหน้าของโม่ฮว่าเหวินจะราบเรียบ แต่มิได้ตำหนิที่ตนเข้ามา โม่เสวี่ยถงก็ลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอก แล้วนำอาหารว่างออกมาวางเรียงทีละถ้วยๆ
มีแต่อาหารจานโปรดของโม่ฮว่าเหวินทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็เป็ดทอดกรอบ ขนมไป่เหอ ปลาดองเหล้า แตงกวาดอง ยำเต้าหู้... แล้วยังมีโจ๊กขาวเนียนนุ่มที่ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกอยากอาหาร โม่เสวี่ยถงตักโจ๊กใส่ชามจนเต็มแล้ววางไว้ด้านหน้าโม่ฮว่าเหวิน ยามนี้นางกลับมาสงบนิ่ง ยิ้มอ่อนหวานกล่าวกับบิดา “ท่านพ่อ ลองชิมสิเ้าคะ โจ๊กนี้ถงเอ๋อร์เคี่ยวเองกับมือ ไม่รู้ว่ารสชาติใช้ได้หรือไม่” สีหน้าของโม่เสวี่ยถงเต็มไปด้วยความอยากรู้และเฝ้ารอคำตอบ
โม่ฮว่าเหวินยกชามซดคำหนึ่ง เนื้อโจ๊กไม่ใสและไม่ข้นจนเกินไป อุ่นกำลังดีไม่ร้อนลวกหรือเย็นชืด ทุกอย่างกำลังพอเหมาะ โม่ฮว่าเหวินอดพิจารณาบุตรสาวอย่างละเอียดไม่ได้ เห็นนางดื่มโจ๊กของตนเองก็ยิ้มตาหยีเต็มไปด้วยความสุข ภายในใจพลันรู้สึกละอาย
“ถงเอ๋อร์...” โม่ฮว่าเหวินวางชามลงด้วยสีหน้าหนักใจ ทั้งความละอายและความปวดใจเอ่อท้นในแววตา
“ท่านพ่อ โจ๊กของถงเอ๋อร์ใช้ได้หรือไม่ หากยังไม่ดี วันหลังถงเอ๋อร์จะได้แก้มือใหม่ ถึงอย่างไรตนเองก็อยากกินอยู่แล้ว ยิ่งได้มานั่งกินกับท่านพ่อถงเอ๋อร์ยิ่งชอบที่สุด”
โม่เสวี่ยถงกะพริบตาที่ฉายแววซุกซนปริบๆ คล้ายไม่รู้สึกถึงบรรยากาศอึดอัดที่อวลอยู่ในห้อง แล้วเสชวนคุยไปเื่อื่น
แท้จริงแล้วที่นางทำอาหารเป็มิใช่เรียนรู้ขณะที่อาศัยอยู่อวิ๋นเฉิง ฮูหยินผู้เฒ่าฉินแม้จะไม่ชอบนางนัก แต่ก็ต้องให้เกียรตินาง จะให้นางลงครัวทำอาหารด้วยตนเองได้อย่างไร นอกจากนั้นแม่นมเสวี่ยยังอยู่ข้างกายตลอดเวลา อยากจะทานอะไรแค่บอกคำเดียวก็ได้กิน ไม่ต้องเหนื่อยลงมือทำเอง
ชาติที่แล้วหลังจากที่นางแต่งให้ซือหม่าหลิงอวิ๋น มารดาใจร้ายของเขา้าให้โม่เสวี่ยถงปรนนิบัติตนเอง ข่มเหงนางทุกอย่างเพื่อฝึกทำอาหารออกมาให้ถูกปากฮูหยินเจิ้นกั๋วโหว นางต้องเสียน้ำตาไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ถูกลวกจนมือพองไปไม่รู้กี่ร้อยครั้ง แต่ทุกครั้งซือหม่าหลิงอวิ๋นก็แค่เอ่ยเรียบๆ อย่างไม่นำพาว่าครั้งหน้าให้ระวังเพียงประโยคเดียว ไม่เคยกล่าวสิ่งใดมากไปกว่านั้น
เมื่อก่อนนึกว่าอยู่ต่อหน้ามารดาเขาจึงไม่สะดวกจะเอ่ยคำใด ยามนี้เพิ่งเข้าใจว่าที่แท้เขาไม่เคยแยแสตนเองอยู่แล้วต่างหาก จะาเ็หรือไม่แล้วอย่างไร
คิดถึงเื่นี้ เบื้องลึกในดวงตาพลันเย็นเยียบ นางกลับมาเพื่อแก้แค้น ชาตินี้คนที่ทำให้นางต้องตายอย่างทรมานในกองเพลิงต้องชดใช้อย่างสาสม นางไม่มีวันปล่อยใครไปแม้แต่คนเดียว
“ถงเอ๋อร์ทำอร่อยแล้ว แต่ต่อไปก็อย่าทำอีกเลย สาวใช้บ้านเรามีตั้งมากมายก็ให้พวกนางทำไป ไฉนถงเอ๋อร์ต้องลงครัวทำเองด้วยเล่า มิเช่นนั้นจะเลี้ยงพวกนางไว้ทำไม เ้าเพิ่งเข้ามาเมืองหลวง ยังไม่รู้จักมักคุ้นกับคุณหนูตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ควรทำความรู้จักกันไว้ให้มากถึงจะถูก อย่ามัวอุดอู้อยู่แต่ในครัว” โม่ฮว่าเหวินยื่นมือมาลูบศีรษะของนางอย่างรักใคร่ เห็นรอยยิ้มเจิดจ้าบนใบหน้าของบุตรสาว อารมณ์กลัดกลุ้มในหัวใจค่อยคลายลงมากแล้ว จึงหยิบตะเกียบคีบอาหารเข้าปากคำโตอีกหลายคำ
โม่เสวี่ยถงเห็นสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและห่วงใยของผู้เป็บิดา จึงพยายามปรับอารมณ์ความรู้สึกแล้วยิ้มให้ นางเติมโจ๊กให้ตนเองอีกหนึ่งถ้วยแล้วนั่งกินเป็เพื่อนบิดาไปเงียบๆ ทั้งสองรักษามารยาทบนโต๊ะอาหารไม่พูดคุยกัน ไม่ช้าภายในห้องก็มีเพียงเสียงรับประทานอาหาร ความว้าวุ่นอึดอัดใจของโม่ฮว่าเหวินจึงค่อยๆ ผ่อนคลายภายใต้ความเงียบสงบยามนี้
หลังจากโม่ฮว่าเหวินรับประทานอาหารเสร็จแล้ว โม่เสวี่ยถงก็วางชามลงและเดินไปเรียกโม่อวี้มาเก็บสำรับ บ่าวรับใช้ของโม่ฮว่าเหวินชงชาหลงจิ่งสองถ้วยยกเข้ามาให้ หลังจากช่วยโม่อวี้เก็บถ้วยชามและตะเกียบเรียบร้อยแล้วก็ถอยออกไป
“ถงเอ๋อร์ยังจำสาวใช้ประจำตัวของแม่เ้าสี่คนที่ชื่อ ชุน เซี่ย ชิวและตง ได้หรือไม่” โม่ฮว่าเหวินยกถ้วยชาขึ้นจิบก่อนวางลง แล้วถามด้วยสีหน้าคล้ายหนักใจ
โม่เสวี่ยถงย่อมรู้จักพวกนางทั้งสี่คน แต่ไม่ทราบว่าโม่ฮว่าเหวินถามขึ้นเพราะอะไร จึงพยักหน้าด้วยสีหน้าฉงน “พวกอิ๋งชุนน่ะหรือ ถงเอ๋อร์ย่อมจำได้ พวกนางปรนนิบัติท่านแม่อย่างสุดจิตสุดใจ เมื่อก่อนท่านป้าิยังเล่าถึงพวกนางให้ฟัง แต่เื่ที่ได้ฟังมาไม่ค่อยดีนัก”
อิ๋งชุนวิ่งพุ่งชนโลงศพของท่านแม่จนตาย ไม่นานหลังจากนั้นเซียงชิวก็ล้มป่วยแล้วจากไป เหอเซี่ยหายสาบสูญไม่รู้ว่าไปไหน เสวี่ยตงก็กลายเป็คนสติฟั่นเฟือน แม้แต่พ่อแม่ของตนจำไม่ได้
“ตอนที่แม่เ้าเสียชีวิต พวกนางก็อยู่ด้วยมิใช่หรือ” สีหน้าของโม่ฮว่าเหวินเรียบเฉย น้ำเสียงค่อยๆ กดลงต่ำ แต่แม้จะเป็เช่นนั้นโม่เสวี่ยถงยังััได้ว่าเสียงของเขาสั่นพร่าเล็กน้อย ความจริงนางก็อยากจะรู้เื่ราวในครานั้นอย่างชัดเจนมาโดยตลอด เมื่อโม่ฮว่าเหวินกล่าวนำเช่นนี้ จึงรู้สึกะเือารมณ์เล็กน้อย นางขบริมฝีปาก
“ท่านพ่อ ทำไมตอนนั้นท่านไม่มาส่งท่านแม่เป็ครั้งสุดท้าย” คำถามนี้คือสิ่งที่นางข้องใจมาโดยตลอดั้แ่ชาติที่แล้วจนกระทั้งบัดนี้ แต่กลับหาโอกาสที่เหมาะสมไม่ได้ ยามนี้เมื่อถูกโม่ฮว่าเหวินกระตุ้นให้นึกถึงครั้งเก่าก่อน จึงคิดว่าหากเก็บกดไว้ในใจไม่พูดออกมาก็มีแต่ต้องเ็ป และเป็สาเหตุทำให้เกิดช่องว่างระหว่างบิดากับตนเอง เมื่อก่อนนางคิดว่าโม่ฮว่าเหวินเป็บิดาและสามีที่แย่ที่สุด แต่หลังจากผ่านเื่ราวมาหลายเื่ โม่เสวี่ยถงจำต้องพิจารณาบิดาของตนใหม่อีกครั้ง
หลังจากมาถึงเมืองหลวง โม่ฮว่าเหวินมอบความรักและเมตตาให้ตนเองอย่างแท้จริง แม้แต่โม่เสวี่ยิ่ที่เคยเห็นความสำคัญมาโดยตลอดยังต้องอยู่หลังนาง บางครั้งยามที่บิดามองตนเองก็เห็นได้ชัดว่าเขายังคิดถึงท่านแม่อยู่ บิดาที่เป็เช่นนี้จะเป็คนใจไม้ไส้ระกำ ไม่ยอมแม้กระทั่งไปดูใจมารดาเป็ครั้งสุดท้ายได้อย่างไร
“ตอนนั้น พ่อ... มีธุระต้องจัดการในเรือนของฟางอี๋เหนียงจริงๆ ไม่รู้ว่าแม่ของเ้าจะด่วนจากไปกะทันหันเยี่ยงนั้น... สุขภาพของแม่เ้าแม้ไม่ดีก็จริง แต่เป็ไปไม่ได้ที่จะแย่ถึงขั้นนั้น... เวลาเพียงไม่กี่ชั่วยามไฉนนางจึงรอพ่อไม่ได้... แม่ของเ้า นาง...” มีคำกล่าวว่าบุรุษไม่อาจหลั่งน้ำตา ต้องเก็บความเ็ปไว้ในใจ สองมือของโม่ฮว่าเหวินบีบมุมโต๊ะไว้แน่น ด้วยกลัวว่าจะเผยความอ่อนแอต่อหน้าบุตรสาว
เื่ราวในวันนั้น คิดขึ้นมาคราใดก็ได้แต่นึกเสียใจ หากรู้ั้แ่แรกว่าความคิดของนาง... ลั่วเสียคงไม่ต้องจากไปั้แ่อายุยังน้อย ไม่รู้จะบอกว่าตนเองโง่งมหรือว่าอะไร เป็สามีภรรยากันมาหลายปีขนาดนั้น ไฉนจึงไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง... เมื่อคิดถึงความรักที่มีให้กันมาตลอดหลายปี เขาก็ยิ่งเ็ปและเศร้าใจ
แสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างสะท้อนให้เห็นใบหน้าของโม่ฮว่าเหวินที่พยายามข่มกลั้นความโศกเศร้าอย่างถึงที่สุด หางตากระตุกสั่น ริมฝีปากระบายยิ้มขมขื่น ไม่อาจดิ้นหลุดไปจากความทรมานในหัวใจ โม่ฮว่าเหวินที่เป็เช่นนี้ไม่เหมือนกับที่โม่เสวี่ยถงจินตนาการไว้เลยแม้แต่น้อย หัวใจของนางย่ำรัวอย่างประหลาด คล้ายจู่ๆ ก็พบเื่สำคัญที่เมื่อก่อนตนเองมองข้ามไป
“ท่านพ่อ ท่านแม่ตายได้อย่างไร” น้ำเสียงเบาหวิวสั่นพร่าอย่างไม่อาจควบคุม ริมฝีปากพลันเปลี่ยนเป็ขาวซีด รู้สึกได้ถึงทุกข้อกระดูกที่กดลงไปบนโต๊ะทำงาน เสียงหนึ่งในหัวใจพร่ำบอกนางครั้งแล้วครั้งเล่าว่าการตายของมารดามีเงื่อนงำ และปัญหาอาจไม่ใช่แค่ฟางอี๋เหนียง มิเช่นนั้นแล้วบิดาคงจัดการไปนานแล้ว หรือแม้ว่าไม่จัดการ ก็ไม่น่าจะเก็บนางไว้ข้างกาย ชาติที่แล้วตนเองรู้เพียงว่ามารดาป่วยตาย ดังนั้นจึงไม่นึกถือโทษโกรธเคืองผู้ใด
แต่ชาตินี้นางมั่นใจว่ามารดาของตนถูกฟางอี๋เหนียงสังหาร จึงแค้นเคืองยิ่ง
แต่ตอนนี้ นางพบว่าเื่นี้ยังมีปัญหาอื่นซ่อนเร้นอยู่ และเป็ความลับที่ท่านพ่อไม่ยอมแย้มพรายออกมาแม้แต่คำเดียว และดูเหมือนไม่อาจบอกได้ด้วย แต่สาเหตุคืออะไรนางอยากรู้เป็ที่สุด พยายามระงับความรู้สึกหวิวไหวและหวาดหวั่นที่กระตุกหัวใจอยู่เป็พักๆ เฝ้ารอคำตอบของโม่ฮว่าเหวินอย่างตั้งใจ
เมื่อเห็นความทุกข์ระทมระบายเกลื่อนบนดวงหน้าอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาของบุตรสาว เห็นความหวาดผวาจนเนื้อตัวสั่นเทาของนางกับสีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ ทว่ากลับยังคงจับยึดโต๊ะหนังสือไว้อย่างมั่นคง ประคองตนไม่ให้ล้มลงไป โม่ฮว่าเหวินสูดหายใจลึก ตัดสินใจอย่างแน่วแน่
“ถงเอ๋อร์ แม่ของเ้าจากไปเพราะล้มป่วย พ่อไม่ดีเอง ตอนนั้นมาไม่ทันดูใจแม่เ้าเป็ครั้งสุดท้าย เื่นี้เ้าไม่ต้องตรวจสอบอีกแล้ว แต่พ่อมีเื่อยากถามเ้า การตายของอิ๋งชุน... เป็เ้าที่ให้คนทุบตีนางจนตายใช่หรือไม่”
เื่นั้นเขาจะไม่พูดให้ถงเอ๋อร์ฟังเด็ดขาด ลั่วเสียไม่พูด เขาก็ไม่เอ่ยถึง ให้นางเป็คุณหนูสกุลโม่ที่เรียบง่ายแบบนี้ก็ถูกต้องแล้ว
การตายของอิ๋งชุน? อิ๋งชุนตายอย่างไร ไม่ใช่ว่านางเห็นแก่ความสัมพันธ์นายบ่าวจึงตายตามมารดาของนางไปหรอกหรือ ไฉนกลายมาเป็ตนเองสั่งคนให้โบยนางจนตายเล่า โม่เสวี่ยถงนึกฉงน ดวงตาสดใสมองโม่ฮว่าเหวินอย่างงุนงง ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ
“ไม่ใช่เ้าใช่หรือไม่... ถงเอ๋อร์” เห็นบุตรสาวมองตนเองด้วยดวงตาใสแจ๋วปานสามารถมองทะลุไปถึงหัวใจของตนเองก็ตะลึงงัน ยังมีสิ่งใดไม่กระจ่างชัดอีกเล่า เพราะจู่ๆ ลั่วเสียก็จากไปกะทันหันทำให้หัวใจว้าวุ่น แค่คำพูดยุยงของอี๋เหนียงสองสามประโยค เป็เหตุให้ตนเองทิ้งบุตรสาวที่รักสุดหัวใจไว้ที่เมืองอวิ๋นเฉิงนานถึงปีกว่า ยามนี้นึกเสียใจจนแทบปรารถนาความตาย
บุตรสาวที่น่ารักและเฉลียวฉลาดจะทำเื่ต่ำช้าอย่างการบีบคั้นสาวใช้ประจำตัวของมารดา หรือทุบตีจนร่อแร่ สุดท้ายก็ตัดสินใจจบชีวิตด้วยการวิ่งชนโลงศพของลั่วเสียได้อย่างไร ตอนนั้นนางเพิ่งสิบเอ็ดขวบ แม้จะเป็เด็กเงียบๆ เก็บความรู้สึก ไม่เอาอกเอาใจตนเองเหมือนิ่เอ๋อร์ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่อาจเป็สาเหตุให้นางกลายเป็คนมีจิตใจโเี้อำมหิตไปได้
บุตรสาวของตนเองกับลั่วเสียจะทำเื่ชั่วช้าเยี่ยงนั้นได้อย่างไร ยามนั้นเป็เพราะตนเองถูกฟางอี๋เหนียงทำให้ตามืดบอด นางพูดอะไรก็เชื่อหมด ยามนี้เมื่อมาใคร่ครวญดูตอนนั้นที่นางไปคุกเข่าที่เรือนชิงเวยของถงเอ๋อร์ เห็นชัดว่าไปเพื่อยั่วยุ เด็กที่มารดาเพิ่งเสียชีวิตไหนเลยจะทนได้
ถูกน้ำสาดไปถังหนึ่งยังเบาไปด้วยซ้ำ
ยิ่งคิดถึงเื่ที่ตนเองส่งจดหมายไปถึงถงเอ๋อร์ แต่สุดท้ายไม่เคยได้รับจดหมายตอบมาสักฉบับ ตนเองคิดว่าถงเอ๋อร์คงไม่ยอมให้อภัย และด้วยเข้าใจว่านางมีจิตใจโเี้ จึงคิดทิ้งนางไว้ที่เมืองอวิ๋นเฉิงคนเดียวเพื่อกล่อมเกลานิสัยและไม่สนใจไยดีนางอีก คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดจะเป็แผนการของฟางอี๋เหนียง นังหญิงแพศยานั่นที่คิดร้ายต่อถงเอ๋อร์ ไม่รู้ว่ายามอยู่นอกสายตาเขา ถงเอ๋อร์จะถูกกดขี่ขมเหงได้รับความไม่ยุติธรรมมามากแค่ไหน
ฟางอี๋เหนียงจิตใจเลวทรามถึงเพียงนี้ มีหรือจะหวังดีต่อถงเอ๋อร์ แต่เขากลับหลงเชื่อถ้อยคำใส่ไคล้ว่าถงเอ๋อร์เป็เด็กยโสโอหัง ดื้อรั้นเอาแต่ใจ ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน ไร้ความกตัญญูรู้คุณ... ทั้งหมดล้วนเป็คำโกหกที่ฟางอี๋เหนียงแต่งขึ้นมาทั้งสิ้น
หัวใจพลันถูกบีบรัดอย่างรุนแรงจนรวดร้าว...
เขาผิดไปแล้ว เขาปล่อยให้ฟางอี๋เหนียงสอดมือเข้ามาจัดการเื่ของถงเอ๋อร์ได้อย่างไร