หลังจากพูดประโยคยืดยาวนี้จบไป รอบข้างก็เงียบสงัด แม้แต่ลมก็ราวกับจะพัดอย่างระมัดระวัง คนรอบข้างเงียบสนิทราวกับจักจั่นในฤดูใบไม้ร่วง
ส่วนหนุ่มน้อยคนนั้นก็ถูกทำให้โกรธถึงขีดสุด ราวกับว่าโยนไฟขนาดใหญ่ลงไปบนกองฟืนที่ราดน้ำมันไว้ “ปัง!” เสียงดังปังปะทุขึ้น น่ากลัวเป็อย่างยิ่ง
อ๋าวหรานไม่ได้หวาดกลัวท่าทางราวกับั์มารของเขาเท่าไร เพียงมองเขานิ่งๆ กรามของหนุ่มน้อยคนนั้นกระทบกันดังกึกๆ พูดเสียงเย็นะเืว่า “เ้ามันรนหาที่ตาย!”
อ๋าวหรานยิ้ม “งั้นหรือ?”
จิ่งเซิ้งไม่ได้ดึงมือที่ถูกอ๋าวหรานยึดไว้ออก แต่ข้อมือกลับหมุนไปครึ่งรอบแล้วพลิกกลับไปเป็ฝ่ายกุมมืออ๋าวหรานไว้แน่นแทน ส่วนมืออีกข้างก็ซัดไปที่หน้าของอ๋าวหรานเต็มกำลังในทันทีจนเกิดลมกระทบ อ๋าวหรานเอียงศีรษะหลบอย่างรวดเร็วจึงคลาดกับมือนั้นไป เป็เหตุให้หนุ่มน้อยคนนั้นกับคนรอบข้างประหลาดใจ แต่หนุ่มน้อยคนนั้นปฏิกิริยาว่องไว หมัดแรกไม่เข้าเป้าก็กำหมัดแน่นสะสมพลังอีก ตั้งใจจะปล่อยออกไปอีกหมัด แต่อ๋าวหรานไม่้าจะให้โอกาสเขาอีก
อ๋าวหรานไม่รอให้เขาสะสมพลังอีกครั้งด้วยการเลียนแบบวิธีการของเขา พลิกข้อมือไปจับแขนเขาไว้ ส่วนแขนอีกข้างก็ออกแรงบีบไปบนไหล่เขาแปดส่วน แล้วบิดแขนเขาไปด้านหลัง จิ่งเซิ้งถูกกดเอาไว้ หน้าห่างจากพื้นไม่กี่ชุ่น
จิ่งเซิ้งไม่ยอมอยู่เฉยๆ พยายามจะสลัดออก แต่กลับขยับไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว เขาหันศีรษะมาอย่างฝืนๆ จ้องอ๋าวหรานอย่างเอาเป็เอาตาย “ปล่อย!”
อ๋าวหรานกดเขาไว้ได้อย่างสบายๆ สีหน้าดูเหมือนไม่ได้ออกแรงอะไรเลย แม้จิ่งเซิ้งจะทำหน้าเหี้ยมเกรียม แต่ในใจกลับตกตะลึง เขาคิดว่าอ๋าวหรานมาจากตระกูลเล็กๆ ที่ไม่สลักสำคัญอะไร วรยุทธ์คงไม่เท่าไร ไม่คิดเลยว่าคนผู้นี้จะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ถึงขั้นทำให้เขาไม่สามารถโต้กลับไปได้เลย ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น คนที่อยู่รอบๆ ที่ไม่เคยเห็นฝีมือของอ๋าวหรานเองก็ใไปตามๆ กัน
อ๋าวหรานไม่สนใจความสงสัยของคนพวกนี้ “เ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก เ้าคงรู้จักจิ่งจื่อสินะ ข้าสามารถสู้ได้ทัดเทียมกับเขา ไม่รู้ว่าเ้าเคยประมือกับเขาหรือยัง? ว่าแต่เ้าสองคนใครมีฝีมือร้ายกาจกว่ากัน?” จิ่งจื่อในนิยายต้นฉบับก็มีบทอยู่เหมือนกัน และเคยบอกไปแล้วด้วยว่าเขาถือเป็อัจฉริยะคนหนึ่งของตระกูลจิ่ง ในเมื่อสถานการณ์เป็เช่นนี้ แน่นอนว่าต้องแข็งแกร่งกว่าคนที่ไม่แม้แต่จะมีชื่อผู้นี้แน่
เป็จริงดังนั้น จิ่งเซิ้งแค่ได้ยินชื่อของจิ่งจื่อ ทั้งร่างก็ถึงกับแข็งค้างไป รูม่านตาหดลงทันใด “เ้าสามารถสู้ได้ทัดเทียมกับเขา!”
อ๋าวหรานยิ้มเฉยเมย ไม่พูดอะไร
จิ่งเซิ้งอึ้งไปนาน จู่ๆ ก็หัวเราะเย็นะเืออกมา เสียงหัวเราะช่างบาดใจคนฟังเสียเหลือเกิน เขาเกร็งคอ ถลึงตามองอ๋าวหรานแล้วพูดว่า “เป็เช่นนั้นแล้วยังไง? ต่อให้เ้าแข็งแกร่งกว่าเขาแล้วจะทำไมงั้นหรือ? เขาเป็คนของตระกูลจิ่ง มีตระกูลจิ่งคอยคุ้มครองอยู่ แล้วคุณชายอ๋าวท่านนี้เล่า เ้ามีอะไรบ้าง? จิ่งฝานคงปกป้องเ้าไปไม่ได้ตลอดหรอก ทำให้ข้าโกรธแบบนี้ เ้าตายแน่แล้ว!”
อ๋าวหรานเดาะลิ้น รู้สึกว่าเ้าเด็กบ้านี่จะพูดถูก จิ่งเซิ้งสู้เขาไม่ได้ แต่สามารถใช้อำนาจรังแกเขาได้ เขาไม่มีใคร แต่คนอื่นยังมีตระกูลจิ่งคอยหนุนหลังอยู่ อย่างไรเสียตอนนี้เขาก็แค่มาอาศัยพึ่งใบบุญคนอื่นเท่านั้น
แน่นอน เขายังมีศิษย์พี่ที่มีวรยุทธ์ล้ำเลิศอยู่ทั้งคน แต่จะเอาแต่เรียกหาศิษย์พี่คงไม่ได้
อ๋าวหรานถอนหายใจแล้วปล่อยหนุ่มน้อยคนนั้น พูดอย่างคนจนตรอก “เ้าพูดมีเหตุผล”
เมื่อหนุ่มน้อยคนนั้นถูกปล่อยตัวก็รีบยืนขึ้นทันใด เขาไม่ได้ถอยหลังหนีแต่อย่างใด กลับยื่นมือไปตบๆ หน้าของอ๋าวหรานเบาๆ แล้วยิ้มอย่างโอหัง “มาขอร้องให้ตระกูลจิ่งของข้าปกป้อง เ้าก็ต้องรู้จักท่าทีในการขอร้องหน่อย เข้าใจหรือไม่?”
พูดแล้วก็ยื่นมือไปชกท้องอ๋าวหรานอย่างแรงจนอ๋าวหรานอดตัวงอไม่ได้ ยังไม่ทันได้ดึงสติกลับมา จิ่งเซิ้งก็ซัดเข้าไปอีกหนึ่งหมัดแล้วยิ้มโอหังยิ่งกว่าเดิม จากนั้นกระชากคอเสื้ออ๋าวหราน ดึงเขาขึ้นมาชกเข้าไปอีกหนึ่งหมัด แล้วพูดว่า “วันหน้าหากพบเ้า ข้าก็จะชกอีก”
หนุ่มน้อยที่ได้ระบายความโกรธออกไปก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาทันใด จากนั้นพูดกับกลุ่มคนที่ยังอึ้งอยู่ด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “อยากช่วยมันไปฟ้องก็เชิญ ตัวข้าอาจจัดการจิ่งฝานไม่ได้ แต่จัดการกับพวกเ้านั้นง่ายเหมือนบี้มด”
พูดจบก็พูดอย่างสง่างามว่า “ไปนะ” แล้วจากไปอย่างโอหัง ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์รีบเดินตามเขาไปเกินกว่าครึ่ง เอาแต่พูดคำยกยอปอปั้นเขาราวกับพวกสุนัขรับใช้ รวมถึงบอกว่ายินดีระบายความโกรธแทนเขาอะไรเทือกนี้
อ๋าวหรานเอามือกุมท้อง สงสัยว่าคนคนนี้ท่าทางน่าจะมีตำแหน่งสูง เป็คนสายหลักอย่างนั้นหรือ?
คนเดินจากไปค่อนข้างเยอะแล้ว ในสวนสมุนไพรเองก็เงียบลงไปมาก คนที่ยังรั้งอยู่ที่ไม่รู้จักอ๋าวหรานก็สนใจแต่เื่ของตนเอง คนที่รู้จักก็ยิ้มให้อย่างกระอักกระอ่วนแล้วจากไป
อ๋าวหรานถอนหายใจหนักหน่วง ปกติแล้วเขาจะรู้จักอดทนมากกว่านี้ เหตุใดวันนี้ถึงอดรนทนไม่ไหวไปสร้างปัญหาได้ อายุปูนนี้แล้วยิ่งอยู่ยิ่งกลับไปเป็เด็ก อยากจะอยู่ที่ตระกูลจิ่งอย่างสงบๆ ไม่ก่อเื่วุ่นวาย เขาอยากจะเป็เพียงตัวประกอบเล็กๆ ที่คอยช่วยเหลือโลกอย่างเงียบๆ แค่นั้น
การที่ถูกหนุ่มน้อยคนนั้นหาเื่เข้าก็มีทั้งดีและร้าย อย่างน้อยตอนนี้ก็คงไม่มีใครมารบกวนอีกแล้ว อ๋าวหรานนวดท้องบริเวณที่ปวดแล้วหยิบ “ตำรายา” หนาหนักนั้นขึ้นมา
——
ตอนเที่ยงแสงจากดวงอาทิตย์ส่องลงมาอย่างเต็มที่ ไม่ใช่เพื่อหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตอย่างอ่อนโยนเหมือนเมื่อเช้านี้ ราวกับว่ามันได้หันเข้าสู่ด้านมืดเสียแล้ว เปล่งความร้อนแสนชั่วร้ายออกมาเสียดแทงจนทำให้ผู้คนแสบตาไปหมด
อ๋าวหรานตอนแรกก็ยังมีสมาธิหนักแน่น ไม่ได้สนใจความร้อนของดวงอาทิตย์เลยแม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งรู้สึกตัวอีกทีก็ถูกเผาเสียจนเงยหน้ามองอะไรไม่ชัด เห็นแต่แสงสีขาวโพลนไปหมด เมื่อทำอะไรไม่ได้จึงทำได้แค่เพียงหลับตาเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายลง รอสักพักถึงกลับมาเป็ปกติ
เขาพยายามนวดไหล่ สะบัดคอ คลายความปวดตึงบริเวณหลัง เมื่อมองไปรอบตัวถึงได้รู้ว่าตอนนี้ไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว ทั้งที่ตอนเช้ายังมีคนอยู่ในสวนสมุนไพรบ้างแท้ๆ ตอนนี้มีเพียงเสียงนกร้องเท่านั้น อ๋าวหรานกุมท้องแล้วลุกขึ้นยืน บิดี้เีไปมา ท้องร้องโครมคราม
เขารู้สึกหิวแล้ว เผอิญกับได้เจอคนที่มาทำความสะอาดสวนสมุนไพร อ๋าวหรานจึงถามเวลาไป คาดว่าพวกจิ่งเซียงคงกำลังใกล้หมดคาบเรียนแล้ว ที่โรงเรียนมีข้าวเที่ยงให้กินซึ่งห่างจากสวนสมุนไพรไปไม่ไกล พอดีเลย เขาจะได้ไปขอข้าวสักมื้อ
อ๋าวหรานเดินไปอย่างช้าๆ จิ่งเซียงยังคงเรียนอยู่ คนสอนเป็คนมีอายุเกินครึ่งร้อยไปแล้ว เขาไว้เครายาวครึ่งดำครึ่งขาว อ๋าวหรานอยากจะแอบฟังสักหน่อย แต่ทำเช่นไรได้ อาจารย์เฒ่าผู้นี้มีความสามารถทำให้คนหลับใหลได้ แค่ครู่เดียวก็ทำให้คนง่วงซึมอยากจะหลับแล้ว เมื่อมองไปก็เห็นว่าคนในห้องหลับไปเกินครึ่งแล้ว ศีรษะของจิ่งเซียงก็กำลังสัปหงก อ๋าวหรานมองหาอยู่พักหนึ่งกลับไม่เห็นเงาของจิ่งจื่อ
พอกำลังคิดว่าคนคนนี้คงไม่มาเรียนก็ถูกคนตีจากด้านหลัง อ๋าวหรานหันศีรษะไปเห็นจิ่งจื่อยืนอยู่หลังเขา ผมเผ้ายุ่งเหยิง มีเหงื่อเต็มหน้าไปหมด บ้างก็เหือดแห้งไปแล้ว อ๋าวหรานอึ้ง “เ้าเป็อะไร? อย่างกับถูกลักพาตัว”
จิ่งจื่อถลึงตามองเขา กดเสียงต่ำว่า “เ้าสิถูกลักพาตัว!” พูดแล้วก็ลากเขาออกมาห่างๆ พูดต่อว่า “อย่าให้มารนิทราคนนั้นได้ยิน”
“มารนิทรา?”
จิ่งจื่อพูดอย่างเ็ปนิดๆ ว่า “ก็ตาเฒ่าที่สอนอยู่นั่นไง ลูกหลานตระกูลจิ่งไม่ได้ออกไปไหนมาไหนบ่อยๆ เื่ข่าวคราวด้านนอกจึงไม่ค่อยทันใคร ดังนั้นในตระกูลจึงได้สร้างห้องข่าวไวขึ้นมาเป็พิเศษ รับผิดชอบรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากทั้งแผ่นดินใหญ่ ตาเฒ่านี่เป็ผู้รับผิดชอบห้องข่าวไวนั่น และรับผิดชอบหน้าที่มาเล่าให้ลูกหลานในตระกูลฟังทุกวันว่ามีอะไรเกิดขึ้นบนแผ่นดินใหญ่นี้บ้าง”
อ๋าวหรานเข้าใจแล้ว ก็คงคล้ายๆ กับวิชาข่าวสารและการเมืองในปัจจุบันนั่นเอง จึงอดรู้สึกเ็ปขึ้นมาเหมือนกันไม่ได้ พูดอย่างอ้อมค้อมว่า “เ้าแน่ใจหรือว่ามีคนฟัง?”
จิ่งจื่อรีบส่ายหน้าทันใด ตอบอย่างตัดตะปูตัดเหล็กว่า “ไม่มี!”
จิ่งจื่อถอนหายใจแล้วพูดว่า “คนผู้นี้สอนไม่เก่งเท่าไร แต่ก็ดูแลห้องข่าวไวได้ไม่เลว นับว่ามีความสามารถมาก” คนทั้งสองมองตาเฒ่าที่ยังสอนอยู่อย่างปลงๆ
จากนั้นอ๋าวหรานก็มองหน้าจิ่งจื่อ “เพราะเหตุนี้เ้าจึงโดดเรียนหรือ? แล้วเหตุใดถึงได้มีสภาพดูไม่ได้เช่นนี้?”
จิ่งจื่อก้มหน้ามองเสื้อผ้าที่ดูไม่เรียบร้อย แล้วจึงเอามือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “ข้าไปฝึกซ้อมการต่อสู้กับคนสิบคนที่สนามฝึกมา”
อ๋าวหราน “...” ดูเหมือนเขาจะถูกกระทบกระเทือนมากเกินไปแล้ว
อ๋าวหราน “สู้เขาล่ะ หวังว่าเ้าจะพัฒนาไปได้ไกลนะ”
จิ่งจื่อ “ข้าไม่อาจรับรู้ได้ถึงความจริงใจแม้แต่น้อย”
แต่แล้วจู่ๆ เขาก็นึกถึงจิ่งเซิ้งขึ้นมา อ๋าวหรานอดถามไม่ได้ว่า “คนตระกูลเ้าที่ชื่อจิ่งเซิ้งนี่เป็ใครกัน?”
จิ่งจื่อใ “เ้าปะทะกับเ้าเด็กนั่นแล้วหรือ?”
อ๋าวหราน “...” เยี่ยม ดูท่าว่านิสัยของเ้าเด็กนั่นทุกคนจะรู้กันไปทั่วแล้ว
จิ่งจื่อ “เขาเป็ลูกชายคนเล็กของจิ่งเหวินซาน แสร้งทำเป็มีมารยาทแค่สามส่วนต่อหน้าพี่จิ่งฝานเท่านั้น ส่วนคนอื่นเขาล้วนไม่เห็นอยู่ในสายตา”
อ๋าวหรานส่งเสียงดังอ้อออกมาทีหนึ่ง ในหนังสือบอกไว้จริงๆ ว่าจิ่งเหวินซานมีลูกชายสี่คน แต่มีแค่สองคนเล็กเท่านั้นที่แม้แต่ชื่อในหนังสือก็ไม่ได้บอกไว้
“เ้าไปทำให้เขาโกรธหรือ?” พูดจบก็ถอนหายใจว่า “คาดว่าเ้าไม่ต้องไปหาเื่เขา เขาก็คงมาหาเื่เ้าก่อนสินะ กับคนคนนี้เ้าไปหลับให้ไกลสักหน่อยก็ดี ถึงเขาจะอายุยังน้อย แต่จิตใจเลวทรามเป็ที่สุด เป็จอมมารน้อยที่มีชื่อเสียงของตระกูลจิ่ง คนที่ทำให้เขาโกรธไม่เคยมีจุดจบที่ดีเลยสักคน”
อ๋าวหราน “...” เขาถึงกับนึกถึงชีวิตอันวุ่นวายในอนาคตของตนออกได้เลย
จิ่งจื่อเห็นสีหน้าเขาทดท้อก็ปลอบอีกว่า “วรยุทธ์เ้าเหนือกว่าเขา แค่ต้องสู้กลับไปก็พอ เมื่อก่อนเขาก็แกล้งข้า ถูกข้าซ้อมไปหลายที ตอนนี้สงบเสงี่ยมขึ้นมาก เวลาเห็นข้าถึงจะยังทำท่ายโสโอหัง แต่ก็ไม่กล้าคิดชั่วร้ายใดๆ แล้ว”
อ๋าวหรานพยักหน้า วันหน้าก็คอยหลบหน้าเอาแล้วกัน ถ้าหลบไม่ได้ก็ค่อยว่ากันอีกที
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง เห็นตาเฒ่านั่นยังพูดไม่หยุด อ๋าวหรานจึงทนไม่ไหว “ปกติเขาจะพูดจบตอนไหน?”
อ๋าวหรานยักไหล่ “ขึ้นอยู่กับดวง”
อ๋าวหราน “...”
“ค่อยๆ รอไปเถอะ…” จิ่งจื่อเพิ่งพูดจบก็เห็นอ๋าวหรานเอามือกุมหัวใจ มือที่กระดูกเห็นเป็ลายเส้นชัดเจนมีเอ็นเขียวขึ้น ทั้งร่างทรุดลง คุกเข่าอยู่บนพื้นข้างเดียว สีหน้าเ็ปเจียนตาย แววตาเลื่อนลอย จิ่งจื่อใขึ้นมาทันที “เ้าเป็อะไร? อ๋าวหราน?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้